‘หากทำให้น้องของข้าเสียใจ ข้าไม่ปล่อยท่านไว้แน่ โปรดทำให้อูรึมมีความสุขด้วย’
เสียงของมินกุงยังคงแว่วอยู่ข้างหู คำฝากฝังที่แฝงคำเตือนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ในตอนแรกตนรู้สึกกลัวเสียด้วยซ้ำ คิดว่าเก็บซ่อนมันไว้อย่างดีแล้วแท้ๆ แต่กลับถูกล่วงรู้ได้ง่ายดายนัก ทว่าหากผู้ที่ล่วงรู้คือมิน
กุงย่อมต้องไม่เป็นอะไร กลับกันคำฝากฝังของเขานั้นทำให้ตนคิดบางอย่างได้
การทำให้กโยซึลมีความสุขนั้น แน่นอนว่ารูแฮเองก็อยากจะทำให้ได้นัก ทว่าสิ่งที่เขาทำกับนางไม่ได้ และไม่สามารถทำให้นางได้นั้นมีมากมายเหลือเกิน และยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่สามารถให้คำสัญญาเกี่ยวกับอนาคตของทั้งคู่ได้ แต่ถึงกระนั้นรูแฮก็มั่นใจว่าในตอนนี้เขาสามารถทำให้นางมีความสุขยิ่งกว่าสตรีนางใดได้ หากไม่เช่นนั้นแล้ว เขาคงไม่กล้าเข้าหานางเป็นแน่
รูแฮนั้นตั้งใจไว้แล้วว่าในตอนนี้ ณ ขณะนี้ ในช่วงเวลานี้ ตนจะมอบความสุขเหนือสิ่งใดให้แก่นาง จะพยายามทำให้นางมีความสุขอย่างเต็มที่ ไม่จำเป็นต้องคิดสิ่งใดให้ซับซ้อน ความสัมพันธ์ของเขากับกโยซึลนั้น หากยิ่งคิดอย่างซับซ้อน ก็จะยิ่งหาทางออกไม่ได้ รูแฮจึงตั้งใจจะแค่มีความสุขอยู่กับปัจจุบัน
“เราไปเที่ยวชมงานฉลองกันเถิด”
งานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดขององค์จักรพรรดิ และองค์ฮวังฮูนั้นดำเนินมาได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว ทว่าขึ้นชื่อว่างานเฉลิมฉลองแล้วนั้น ไม่ว่าจะยาวนานเพียงใดก็ไม่เคยเพียงพอ ในช่วงเวลาที่ยาวนานนี้ ผู้คนต่างมีความสุขและสนุกเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศรอบตัว ตลาดสองข้างทางที่เดิมทีก็ครื้นเครงอยู่แล้ว พอมีงานเฉลิมฉลองก็ยิ่งอลหม่าน แต่ถึงแม้ว่าตลาดจะวุ่นวายเพียงใด ก็ยังมีผู้คนที่ยังยิ้มแย้มเต็มไปหมด และคู่รักคู่หนึ่งที่มีใบหน้างดงามสะกดสายตา ก็กำลังเดินฝ่าตลาดที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายนั้น
ทั้งคู่ใส่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าแพรเนื้อดี ที่หากไม่ใช่บุคคลชั้นสูงแล้วคงไม่มีทางได้แตะต้องมัน เครื่องประดับนั้นถึงแม้จะเรียบง่าย ทว่าล้วนต่างเป็นอัญมณีมีค่าที่เมื่อเห็นจะต้องเบิกตาโพลง พวกเขาเดินกันอยู่เพียงสองคน ไร้แม้เงาขององครักษ์ ณ สถานที่แห่งความวุ่นวายนี้ ไม่มีผู้ใดสังเกตุถึงเครื่องแต่งกายชั้นสูงของพวกเขา และไม่มีผู้ใดให้ความสนใจแก่พวกเขาทั้งสิ้น นับว่าดียิ่งที่ไม่ให้ทหารองครักษ์ตามมาเพื่อที่จะหลบเลี่ยงความสนใจ ชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมตัวนอกสีกรมท่าเข้มนั้น รวมผมขึ้นเพียงครึ่งหัวแล้วเอาปิ่นปักไว้ ผิวขาวที่ไม่เคยต้องแสงแดด ที่ราวกับว่าเขาถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมอยู่แต่ภายในพระราชวัง ทำให้ยิ่งขับให้ริมฝีปากแดงนั่นเด่นชัดขึ้น และสาวน้อยที่เดินเกาะแขนชายรูปงามผู้นั้นไว้แน่น ก็รวบผมขึ้นเพียงครึ่งหัว แล้วปักปิ่นที่ห้อยเครื่องประดับรูปผีเสื้ออยู่ ชุดของนางนั้นเป็นชุดผ้าแพรสีม่วงอ่อนตัดกับชุดของชายผู้นั้น และที่ชายผ้าก็ถูกปักลายด้วยด้ายทอง นางมีสีหน้าเป็นกังวล ทว่าก็ยังคงเดินเซไปเซมาราวกับกำลังจะล้มเพราะฝูงชนที่เบียดกัน มองซ้ายมองขวาด้วยสองตากลมโตที่เป็นประกายเพราะความตื่นตาตื่นใจ
“เป็นอย่างไรบ้าง แม้มันจะเอะอะวุ่นวายไปนิด แต่ถูกใจหรือไม่”
เมื่อนางได้ยินคำที่ชายผู้นั้นก้มลงมากระซิบถามเสียงเบา นางก็พยักหน้าอย่างแรงทันที
“รูแฮ รูแฮ เราเพิ่งเคยเห็นผู้คนมากมายถึงเพียงนี้! อีกทั้งยังมีสิ่งของสวยงาม และน่าสนใจมากนัก!”
ชายผู้นั้น ไม่ใช่สิ รูแฮเมื่อได้เห็นหญิงสาวยิ้มกว้างมีความสุขราวกับเด็กน้อย เขาก็แย้มยิ้มออกมา รูแฮลูบหัวหญิงสาวที่เกาะแขนตนอยู่ช้าๆ
“หากอยากได้สิ่งใดขอให้บอก ข้าจะซื้อให้กโยซึลทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด”
“จริงหรือ”
“แน่นอน” รูแฮยืนยันอย่างกระหยิ่มใจ
กโยซึลหันซ้ายหันขวามองสิ่งต่างๆ แผงลอยถูกตั้งเรียงกันเต็มสองข้างทาง แคร่ที่ตั้งโชว์สินค้า และแม้กระทั่งแผงลอยชั่วคราวของร้านค้าแต่ละร้าน เต็มไปด้วยเครื่องประดับ สินค้า และของเล่นหลากหลายชนิด กโยซึลที่ขยับสายตาสอดส่องไปมา ดึงแขนของรูแฮให้เขาขยับเข้ามาใกล้ที่ใบหน้าตนแล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงเขินอายที่ข้างหู
“เราหิว”
รูแฮชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากได้ยินคำพูดที่ไม่คาดคิด เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา กโยซึลก้มหน้าลงพร้อมกับใบหน้าที่แดงขึ้น พวกเขาเดินชมตลาดมาก็สักพักหนึ่งแล้ว อีกทั้งยังเลยเวลาอาหารแล้วด้วย จะรู้สึกหิวก็ไม่แปลกนัก รูแฮเองก็ท้องว่าง และต้องการจะหาอะไรกินเช่นเดียวกัน ทว่าเมื่อได้เห็นกโยซึลที่กระซิบกระซาบตนอย่างน่าเอ็นดู ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“หยุดหัวเราะได้แล้ว ไม่เห็นจะน่าขันเลยสักนิด” กโยซึลยกกำปั้นน้อยๆ ของตนชกไปที่ข้อศอกของรูแฮ
หลังจากนั้นรูแฮก็หยุดหัวเราะ แล้วพยักหน้ารับ
“ความพิเศษของงานเฉลิมฉลองนั้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องอาหาร เช่นนั้นเราไปตรอกที่ขายอาหารกันเลยดีหรือไม่”
“ดี!” กโยซึลยกมือขึ้น พร้อมตอบรับ
รูแฮที่ยิ้มให้กับท่าทางไร้เดียงสาของนางเดินฝ่าฝูงชนออกไป เป็นครั้งแรกที่ได้เดินแทรกอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มากมายถึงเพียงนี้ ร่างกายนั้นเคลื่อนไหวก่อนที่ตนจะออกแรงด้วยแรงของคนอื่นที่ส่งมา จะทรงตัว จะเดินฝ่าออกไประหว่างช่องว่างก็ล้วนเป็นเรื่องที่ยากนัก กโยซึลทำเพียงเกาะแขนของรูแฮไว้แน่น และรูแฮที่เดินฝ่าฝูงชนอยู่พักใหญ่ ก็เดินเข้ามาที่ตรอกหนึ่ง กลิ่นของอาหารลอยอบอวลไปทั่วทุกทิศทันทีที่เดินเข้ามา ไม่สิ ก่อนที่จะเดินเข้ามาข้างในเสียอีก
เพราะเป็นถนนที่มี ‘อาหารให้กิน’ ทั่วทุกทิศจึงมีแต่อาหารวางขายเต็มไปหมด และคนน้อยกว่าตลาดที่เดินผ่านมา ถือว่าโล่งอกไปที เพราะหากที่นี่มีผู้คนมากมายอย่างในตลาด คงจะไม่สามารถกินอะไรได้เป็นแน่ กโยซึลที่ถูกกระตุ้นความหิวด้วยกลิ่นของอาหาร และเพราะที่นี่มีผู้คนไม่มากนัก นางจึงเดินนำออกไปคนเดียวอย่างกล้าหาญ รูแฮที่ตกใจกับการกระทำอันหุนหันพลันแล่นของกโยซึลรีบเดินตามไป แล้วจับชายเสื้อของนางไว้
“ออกเดินไปคนเดียวเช่นนี้ได้อย่างไรกัน หากผลัดหลงกันจะทำอย่างไร”
“ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด รูแฮก็ต้องหาเราเจออยู่แล้ว เหตุใดจะต้องกลัว” กโยซึลหันมาตอบในทันที
รูแฮเมื่อได้ฟังคำตอบซื่อๆ ก็ส่ายหัวอย่างทำอะไรไม่ได้ กโยซึลออกเดินอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะรอรูแฮ
“กโยซึล!”
รูแฮรีบเดินตามนางไป กโยซึลมองซ้ายมองขวา พร้อมกับเปล่งเสียงอุทานออกมาอยู่เนืองๆ แม้สายตาจะสอดส่องดูเหล่าร้านขายอาหารที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ ทว่าก้าวเดินของนางก็ไม่ได้ช้าลงเลย
เนื้อ ผลไม้ อาหารทะเล และของกินเล่น รวมทั้งกลิ่นเผ็ด กลิ่นเค็ม และกลิ่นหวาน กระตุ้นประสาทสัมผัสในการรับกลิ่นและรับรสมากนัก และสิ่งที่ทำให้กโยซึลหยุดเดินได้นั้นก็คือร้านไก่ย่างที่มีไก่ถูกเสียบไม้ไว้ทั้งตัว นางหันไปมองรูแฮ แล้วกระพริบตาอยู่สองสามครั้ง หลังจากนั้นรูแฮก็พยักหน้า แล้วนางก็เดินเข้าไปในร้านและหาที่นั่งทันที เมื่อรูแฮค่อยๆ เดินไปนั่งที่นั่งข้างๆ ก็มีเด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ทานอะไรดีเจ้าคะ”
กโยซึลที่ไม่รู้ชื่ออาหาร หันไปมองรอบๆ แล้วชี้ไปที่อาหารจานหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ
“อาหารที่ทำจากไก่จานนั้น”
“ได้เจ้าค่ะ รอสักครู่นะเจ้าคะ!” เด็กสาวตอบอย่างกระตือรือร้น แล้วเดินหายไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปราวสิบห้านาที เด็กสาวก็ยกอาหารมาให้ ไก่ย่างที่ถูกราดด้วยซอสสีดำฉ่ำไปทั้งตัวถูกวางบนโต๊ะ กโยซึลที่ใช้ปลายนิ้วจิ้มซอสแล้วลองเอามาชิม นางดูจะถูกอกถูกใจจึงยิ้มออกมา พร้อมกับพยักหน้าหงึกหงัก
“ถูกปากหรือไม่”
“เราชอบมาก รสชาติหวานปนเค็มเล็กน้อย แถมยังมีรสเผ็ดนิดๆ ทำให้เราอยากอาหารยิ่งนัก”
ซอสสีดำที่ไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใดนั้นถูกใจกโยซึลเป็นอย่างมาก รูแฮหั่นไก่ย่างเป็นชิ้นพอดีคำ เนื้อนุ่มที่ถูกย่างจนสุกอยู่ตรงหน้า
“กินกับน้ำจิ้มก็อร่อย หรือจะกินเพียงแค่เนื้อก็ได้”
รูแฮฉีกน่องไก่ข้างหนึ่งในกโยซึล ทั้งคู่นั่งเติมเต็มท้องที่ว่างอยู่ระหว่างไก่ตัวหนึ่งที่วางอยู่ตรงหน้า ซอสที่มีรสชาติหวานปนเผ็ดเข้ากันได้ดีกับไก่เนื้อนุ่ม เนื้อสีขาวไม่รู้ว่าย่างอย่างไรถึงได้ส่งกลิ่นหอมน่ากินเช่นนี้ แม้จะกินเพียงเนื้ออย่างเดียวก็มีรสชาติกลมกล่อม อร่อยยิ่ง ในตอนที่กโยซึลและรูแฮใกล้จะกินไก่ย่างตัวนั้นหมดแล้ว เด็กสาวคนหนึ่งก็ถือขนมปังก้อนโตเท่าสองกำปั้นผู้ใหญ่เข้ามา
“ขนมปังน้ำผึ้ง ของว่างขึ้นชื่อของร้านเราเจ้าค่ะ มันถูกเคลือบด้วยน้ำตาลเชื่อมจึงยังร้อนมาก ระวังด้วยนะเจ้าคะ” เด็กสาวคนนั้นวางขนมปังสองก้อนลงบนโต๊ะ พร้อมกับอธิบายเสริม
บนขนมปังก้อนใหญ่เท่าสองกำปั้น ถูกเคลือบหนาด้วยน้ำตาลจนมันขลับ กโยซึลที่มองมันอยู่ครู่หนึ่ง หยิบตะเกียบขึ้นมาลองจิ้มดู น้ำตาลเหนียวหนืดติดมาที่ปลายตะเกียบ มันคงจะร้อนกว่าที่คิด กโยซึลที่เอาตะเกียบเข้าปากจึงถึงกับสะดุ้ง แล้วรีบเอาตะเกียบออก
“มันเพิ่งถูกเคลือบด้วยน้ำตาลเชื่อมจึงยังร้อนอยู่มาก คอยอีกเดี๋ยวเถิด”
รูแฮที่ทำเพียงแค่มองกโยซึลอยู่เมื่อครู่ยกยิ้มขึ้น พร้อมพูดออกมา กโยซึลที่ยอมพยักหน้ารับโดยง่ายรอให้น้ำตาลแข็งตัว แล้วนำตะเกียบไปผ่าครึ่งขนมปัง ด้านในดูนุ่มราวกับกำลังจะละลาย ต่างกับด้านนอกที่น้ำตาลแข็งตัวแล้วโดยสิ้นเชิง ตรงกลางนั้นมีน้ำผึ้งสีเหลืองอัดแน่นจนมันไหลลงมาที่ถาดรอง
“ว้าว” กโยซึลอุทานออกมา พร้อมกับยื่นมือไปหยิบขนมปัง นางเป่าให้หายร้อน หลังจากนั้นก็เอาขนมปังเข้าปากโดยทันที
“รสชาติดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
กโยซึลไม่แม้แต่จะเอ่ยปากตอบคำถามของรูแฮ นางทำเพียงพยักหน้าเท่านั้น เพราะปากของนางมัวแต่เคี้ยวขนมปังน้ำผึ้ง รูแฮที่มองกโยซึลด้วยสีหน้าพอใจ เมื่อเห็นนางกินขนมปังหมดแล้วก็เลื่อนส่วนของตัวเองไปให้ด้วย
“นี่มันส่วนของรูแฮไม่ใช่หรือ”
“ขนมปังนี้หวานเกินไปสำหรับข้า ดูท่ามันจะถูกปากกโยซึลนัก ช่วยกินส่วนของข้าด้วยได้หรือไม่”
“เช่นนั้นก็ขอบใจท่านมาก” กโยซึลไม่ปฏิเสธอีก นางยิ้มให้กับรูแฮที่ส่ายหน้าอยู่
ในที่สุดกโยซึลก็กินขนมปังหมดทั้งสองก้อน ไม่รู้ว่ายังไม่หนำใจหรืออย่างไรถึงได้เลียแม้กระทั่งน้ำตาลเชื่อมที่ติดอยู่ที่ตะเกียบ หลังจากที่ทั้งสองคนกินจนอิ่มแล้ว พวกเขาก็ออกมาเดินชมถนนของกินต่อ และลองชิมของว่างต่างๆ ที่วางขายอยู่ด้วย และเมื่อกินผลไม้เสียบไม้ที่ถูกเคี่ยวจนแห้งเป็นอย่างสุดท้าย ทั้งคู่ก็ออกมาเดินชมตลาดอย่างจริงจังเสียที ในตลาดสองข้างทางนี้ มีสิ่งของล้ำค่าที่ปกติไม่มีขายตามตลาดทั่วไปวางขายอยู่มาก มันเป็นของที่เหล่าคนขายรับมาจากต่างแดนเพื่อนำมาขายที่งานนี้โดยเฉพาะ สินค้าหลากชนิดดึงดูดสายตาเป็นอย่างยิ่ง และเสียงเอะอะโวยวายก็ทำให้หนวกหูมากเช่นกัน
“รูแฮ ดูสิ่งนี่สิ” กโยซึลกระโดดโลดเต้นไปมา พร้อมหัวเราะ เจื้อยแจ้วเจรจา
รูแฮเดินตามนางไป พร้อมกับถามคำถามเดิมอยู่ทุกครั้ง
“ว้าว ช่างงดงามนัก”
“ข้าซื้อให้เจ้าดีหรือไม่”
“ไม่ ไม่เป็นไร จะซื้อของทุกอย่างที่เราดูเลยหรือ”
“เพราะกโยซึลชอบ ข้าจึงอยากซื้อให้”
“ดูพูดเข้าเถอะ เหตุใดถึงพูดอะไรอย่างนั้นโดยไม่เขินอายได้เก่งนัก”
“เพราะข้าพูดจากใจจริง”
อีกแล้ว รูแฮมักพูดสิ่งที่ทำให้กโยซึลหน้าแดงอยู่เสมอ และสุดท้ายรูแฮก็ซื้อของกระจุกกระจิกให้กับ
กโยซึลสองสามอย่าง นางปักเครื่องประดับที่มีกระดิ่งเสียใสห้อยอยู่ และถือกังหันลมที่มีขนนกปลิวสยาย ช่อดอกไม้ที่ถูกทำให้แห้งอย่างประณีต และรูปปั้นไก่ที่ขยับไปมาไว้ในมือ หากให้เลือกว่าผู้ใดที่สนุกสนานกับการเดินชมตลาดมากที่สุด ก็คงต้องเป็นกโยซึลแล้ว
นางมัวแต่เพลิดเพลินกับงานเฉลิมฉลองจนในตอนนี้ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี และเงาก็เริ่มทอดยาวขึ้น
“ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว…” กโยซึลแหงนมองท้องฟ้าด้วยดวงตาที่สั่นเครือ “เราคงต้องกลับกันแล้ว”
“เปล่าเลย ยังเร็วไปนัก”
รูแฮจับมือกโยซึลที่หันหลังให้อย่างกังวลอยู่ นางหันมามองเขาด้วยดวงตากลมโต รูแฮกำลังยกยิ้มที่ทำให้กโยซึลคล้อยตามโดยง่าย
“การเริ่มต้นที่แท้จริงของงานเฉลิมฉลองย่อมเป็นยามค่ำคืน”