DND.823 – รับเข้าสำนัก
ซือหยูพลันโกรธขึ้นมาเมื่อถาม
“ข้าสิที่ต้องถามเจ้า!ทำไมจู่ๆเจ้าถึงหายไปเล่า?”
เพราะเขาพาจื่อเสวียนไปเพื่อให้นางปกป้องและสังหารคนที่ตระกูลเฉาส่งมาแต่ใครจะไปคิดว่านางจะหายตัวไปในเวลาที่สำคัญที่สุด?
จื่อเสวียนยักไหล่
“คนของข้าก็ตามหาซือหยูเช่นกันพวกนั้นไปที่นั่น ข้าไม่อยากจะให้พวกนั้นเจอก็เลยหนีออกมา”
คนของนางที่พูดถึงก็คือองครักษ์แสงกระจ่างทั้งห้าเมื่อได้ฟังซือหยูจึงเข้าใจว่านางมิได้แอบหนีมาจากวังของราชาเขตกลางมาตามหาซือหยูเพื่อแก้แค้นด้วยตัวเอง…
ซือหยูครุ่นคิด
“ครั้งหน้าอย่าลืมทิ้งจดหมายให้ข้าสักหน่อยก็แล้วกันคนจะเป็นห่วงเจ้าได้”
ซือหยูดีดหน้าผากนางด้วยความโมโห
จื่อเสวียนลูบหน้าผากที่เจ็บเล็กน้อยดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย
“ทำไมเจ้าต้องเป็นห่วงข้าล่ะ?”
ซือหยูตกใจเขาไม่เข้าใจความคิดของตัวเองในเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยมองนางในฐานะศัตรูเลย…
เป็นเพราะดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ของนางที่ไร้เดียงสาต่อโลกใบนี้หรือ?
แววตาของซือหยูอบอุ่นเมื่อมองจื่อเสวียนเขานั่งข้างนาง
“บอกข้าได้ไหมว่าเจ้ามีวิธีใดในการล้างแค้นนอกจากสังหารซือหยู?”
จื่อเสวียนพูดอย่างจริงใจ
“ข้าไม่รู้อาจารย์สอนว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการสังหาร ถึงข้าจะไม่ชอบ แต่ข้าก็ต้องแก้แค้นให้ลุงจักรพรรดิโลหิตของข้า”
แววตาซือหยูเต็มไปด้วยความเศร้าเขาไม่อยากจะเป็นศัตรูกับจื่อเสวียน
“เจ้าคิดว่าลุงเจ้าคือคนที่สมควรแก้การแก้แค้นให้หรือ?”
จักรพรรดิโลหิตนั้นกำจัดทุกสิ่งมีชีวิตในเฉินหลงมาก่อนในอดีตนั่นคือทำลายโลกเฉินหลง เขาสังหารผู้คนและสิ่งมีชีวิตไปมหาศาล มือของเขาเปรอะไปด้วยเลือด!
จากนั้นเมื่อมาถึงยุคสมัยของซือหยู จักรพรรดิโลหิตก็ได้กลับมาล้างสังหารทำลายโลกเฉินหลงอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายที่ถูกสังหารเสียเอง!
“ข้าไม่รู้…แล้วข้าก็ไม่อยากจะรู้ด้วยข้าแค่รู้ว่าเขาดีกับข้า ข้าจะต้องแก้แค้น”
แววตาของจื่อเสวียนหนักแน่น
ซือหยูเห็นว่าไร้ประโยชน์ที่จะเกลี้ยกล่อมนางเขาจึงพูดเบาๆ
“เอาเถอะหวังว่าหัวใจเจ้าจะเป็นอิสระหลังจากที่ได้สังหารซือหยู”
จื่อเสวียนพยักหน้าและมองซือหยู
“ขอบคุณที่ช่วยข้าตอนนี้ข้าจะไม่รบกวนเจ้าแล้ว ข้าเจอเบาะแสของซือหยูแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะปรากฏตัวในเขาวิญญาณจรัสและสังหารภูติผีไปหนึ่งตน!”
ซือหยูคิ้วกระตุก
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเป็นเขา?”
จื่อเสวียนตอบ
“นั่นล่ะเขาข้ารู้เพราะซือหยูใช้มุกสีครามอำพันกับพลังควบคุมเวลาสังหารท่านลุง นั่นคือวิชาเฉพาะของซือหยู ไม่มีใครในจิวโ๗วอีกแล้วที่จะมีพลังทั้งสองนอกจากเขา ชายหนุ่มผมขาวที่ผ่านเขาวิญญาณจรัสต้องเป็นซือหยูแน่นอน”
นางพูดต่อ
“ถ้าข้ารู้เร็วกว่านี้ถ้าเขาจะปรากฏตัวข้าก็คงไม่ออกจาเขาวิญญาณจรัสหรอก!”
จื่อเสวียนพูดด้วยความเสียใจ
“ข้าตัดสินใจจะกลับเขาวิญญาณจรัสอีกครั้งเพื่อไปหาเขาข้าจะต้องเจอแน่ ข้ารออยู่ที่นี่เพื่อกล่าวลาเจ้า”
เมื่อได้ฟังจิตใจของซือหยูผ่อนคลายขึ้น ตอนนี้ เขาน่าจะสบายใจขึ้นขณะที่อยู่แห่งอื่นนอกจากเขาวิญญาณจรัส
“ขอให้แผนเจ้าสำเร็จนะ”
ซือหยูตบบ่านาง
จื่อเสวียนยิ้มและพยักหน้า
“ข้าจะไปแล้วถ้าข้าฆ่าเขาได้ ข้าจะกลับมาขอบคุณเจ้า”
เพื่อนางพูดจบร่างของนางก็หายไป นางทะยานขึ้นฟ้า ซือหยูมองเขาอสูรที่ว่างเปล่า ความเดียวดายกัดกินหัวใจ
จากนั้นไม่นานเขาก็ปลอบใจตัวเองยืนขึ้นและเดินทางไปยังห้องตำราเขาตั้งตารอวิชาเพลงกระบี่เก้าสุริยามาเป็นเวลานานแล้ว
หลังจากออกมาจากเขาอสูรกลิ่นหอมหวานได้จู่โจมจมูกก่อนที่เขาจะเข้าห้องตำรา เขามองไปยังต้นกลิ่นและพบสตรีที่มีร่างกายยั่วยวน
นางสวมชุดแดงเพลิงลำคอของนางขาวราวกับหิมะ มังเปล่งประกายราวกับอัญมณีเพราะเสื้อผ้าสีสด ถ้าหากมีใครเหลือบมองนางเร็วๆก็อาจจะคิดได้ว่ามีโฉมงามบินอยู่ท่ามกลางอาทิตย์อัสดง
“หึหึอสูรเรือนกลางกลับมาแล้วหรือ?”
เสียงหัวเราะทรงเสน่ห์ดังบทเพลงอันยอดเยี่ยมขับขานออกมา
ซือหยูยิ้มจางๆ
“ท่านจ้าวหอไม่เจอกันนานนะ”
คนที่เข้ามาหาเขามิใช่ใครอื่นนอกจากจ้าวหอเพลิงคลั่งแม้เขาจะไม่ได้เจอนางมาครึ่งเดือน นางก็ยังคงทรงเสน่ห์และน่าหลงใหลอย่างเคย
“ไปที่เรือนข้ากันเถอะ”
นางเดินเข้ามาจับแขนซือหยู
ซือหยูงุนงง
“ครั้งที่แล้วยังสร้างความเข้าใจผิดไม่พออีกรึ?”
จ้าวหอเพลิงคลั่งยิ้มเบาๆ
“เจ้าพูดถึงโฉมงามน้ำแข็งขี้หึงรึ?หึหึ ข้าไม่กลัวนางหรอก ข้ายินดีจะต่อสู้กับนางเพื่อความรักของเจ้าด้วยนะ”
ซือหยูกลอกตาใส่นางคือนังจิ้งจอกจริงๆ! เขาย่อมไม่เชื่ออยู่แล้วว่านางรักเขา สตรีเช่นนี้อาจจะดูเหมือนคนที่รักคนง่าย แต่คนอย่างนางไม่เคยหวั่นไหวกับใครอย่างแท้จริง
“พูดมา!ทำไมต้องชวนข้าไปที่เรือนท่าน? ฝ่ายปรุงยาก็เริ่มทำโอสถชีพโกลาหลจนราคาต่ำลงแล้ว ปรุงต่อไปก็ไม่ได้กำไรอีก”
ซือหยูพยายามจะหลบแขนนางขณะที่พูด
จ้าวหอเพลิงคลั่งนั้นคล่องแคล่วนางจับแขนของซือหยูแน่นราวกับกาว
“น้องหยูเซี่ยนเจ้าลืมเร็วขนาดนี้เชียวรึ? ก่อนจะไปเขาวิญญาณจรัส ข้าบอกเจ้าว่าจะแนะนำคนให้เจ้ารู้จักหลังจากเจ้ากลับมา…คนที่จะช่วยให้เจ้าได้ดีในอนาคตน่ะ”
จ้าวหอเพลิงคลั่งหัวเราะเบาๆอย่างมีเสน่ห์พอถึงตอนนี้ซือหยูจึงนึงขึ้นได้ว่านางเคยพูดถึงมาก่อน แต่ซือหยูในตอนนั้นไม่ได้ใส่ใจนัก
“ท่านจ้าวหอจะแนะนำคนแบบไหนให้ข้ากัน?ตอนนี้ข้ามีเรื่องสำคัญต้องทำ ข้าไม่มีเวลา”
ซือหยูขมวดคิ้ว
เขาสงสัยว่าจ้าวหอเพลิงคลั่งกับเสวี่ยฉีเป็นหนึ่งในส่วนหนึ่งของสำนักในตำหนักโลหิตและเขาก็ไม่ยินดีที่จะเข้าไปยุ่งกับเรื่องภายในของตำหนัก เขากลับอยากจะบ่มเพาะพลังอย่างสงบ
จ้าวหอเพลิงคลั่งผู้ยั่วยวนยื่นมือแตะจมูกซือหยู
“น้องหยูเซี่ยนเดี๋ยวไปถึงเรือนข้าแล้วเจ้าก็รู้ไม่ใช่หรอกรึ?”
ซือหยูหยุดคิดเมื่อนางพูดอย่างมีลับลมคมในจากนั้นเขาก็พยักหน้า เขาจะไปเจอกับคนผู้นั้น แต่ก็เพื่อจ้าวหอเพลิงคลั่งเท่านั้น
เมื่อไปถึงเรือนของนางนางหยุดยืนหน้าเรือนและทำใบหน้าเคร่งเครียด พฤติกรรมเจ้าชู้ที่เคยทำแทนที่ด้วยความจริงจัง มันตรงข้ามกับที่เคยเคยเป็นโดยสิ้นเชิง
“คนที่ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักนั้นมีอำนาจในตำหนักในถ้าเจ้าได้รับการยอมรับจากเขา ไม่ว่าเจ้าจำเป็นศิษย์นอกหรือใน เจ้าจะได้รับประโยชน์มหาศาล อนาคตเจ้าอาจจะได้เป็นจ้าวเทวะด้วยซ้ำ…”
นางกล่าว
“เจ้าเป็นหนึ่งในศิษย์ที่ตำหนักนอกดูแลอย่างดีอยู่แล้วแม้เจ้าจะมีอนาคตอันสดใสรออยู่ แต่ถ้าเจ้าอยากจะไปได้ไกลกว่านี้ มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะได้โอกาสนี้หรือไม่”
คนผู้นั้นจะช่วยให้ข้าไปเป็นจ้าวเทวะรึ?ซือหยูตกใจเล็กน้อย เขาสงสัย…ใครกันที่มีอำนาจมากเพียงนี้?
จ้าวหอเพลิงคลั่งนำเขาไปยังห้องที่ตกแต่งอย่างดีเพื่อพบคนผู้นั้นเขาเป็นชายหนุ่มอายุเพียงยี่สิบห้า เขาสวมชุดขาวและมีผิวขาวเนียน ใบหน้านั้นไร้ริ้วรอย เขาถือถ้วยชาที่ขาวดั่งหยก
“เสวี่ยเหลียนเจ้ากลับมาแล้ว”
ชายหนุ่มหันไปยิ้มเขามองข้ามซือหยูในทันทีก่อนจะให้ความสนใจทั้งหมดกับจ้าวหอเพลิงคลั่ง
“เว่ยเจิงนี่คือซือหยูเซี่ยน ศิษย์นอกที่ข้าแนะนำให้เจ้า เจ้าควรจะมองดูเขาให้ดี ข้าเชื่อว่าเขามีคุณสมบัติเข้าสู่สำนักตำหนักซ้าย”
จ้าวหอเพลิงคลั่งทำใบหน้าที่ดูเป็นทางการไม่เหมือนกับท่าทางเจ้าชู้แต่เดิม
เว่ยเจิงตอบ
“มานั่งก่อนสิ”
ทั้งสองจึงเดินไปนั่งลงเว่ยเจิงหยิบกาชารินอย่างสบายใจ จากนั้นจึงยื่นชาให้ทั้งสอง
จ้าวหอเพลิงคลั่งรับแก้วชาและพูดอย่างใจเย็น
“ข้าเชิญเจ้ามาที่นี่ให้สังเกตซือหยูเซี่ยนเพื่อดูว่าเขามีคุณสมบัติหรือไม่ถ้าเขามีก็จงพูด ถ้าไม่ ก็จงพูด เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”
เว่ยเจิงไม่ได้โกรธจากการตัดบทของนางเขานั้นดูไม่อารมณ์ร้อน
“ก็ได้…”
ตอนนั้นเองเว่ยเจิงมองซือหยูอยู่นานราวกับจะตรวจดูอะไรบางอย่าง
“ได้ที่หนึ่งในการสอบเข้าไปถึงขั้นห้าสิบในมัจฉาข้ามประตูมังกร ปรุงโอสถระดับสาม…เจ้าควรจะถูกนับว่าโดดเด่นในตำหนักนอก เจ้าเข้าร่วมกับสำนักเจ้าตำหนักซ้ายได้”
ซือหยูขมวดคิ้ว
“เจ้าตำหนักซ้ายรึ?เขาเป็นใคร? เจ้าตำหนักม่อเทียนฉวนรึ?”
เว่ยเจิงหัวเราะเบาๆพลางส่ายหน้าแต่ก็ไม่อธิบายอะไรกับซือหยูดังนั้นจ้าวหอเพลิงคลั่งจึงเป็นฝ่ายอธิบายกับเขา
“เจ้าเพิ่งจะเข้าตำหนักเจ้าคงไม่รู้ถึงโครงสร้างอำนาจ กล่าวโดยรวมก็คือตำหนักแบ่งเป็นสามสำนักและนำโดยคนสามคน อย่างแรกคือตำหนักในที่นำโดยเจ้าตำหนักม่อเทียนฉวนที่ดูแลทั้งตำหนักโลหิต คนผู้นั้นปกครองทั้งตำหนักนอกใน”
นางพูดต่อ
“มีเจ้าตำหนักอีกสองคนในตำหนักในพวกเขาคือเจ้าตำหนักซ้ายและขวา พวกเขาทำหน้าที่ช่วยเจ้าตำหนักจัดการดูแลตำหนัก เจ้าตำหนักนั้นเพียงแค่สนใจเรื่องฐานพลัง นางจึงมิได้ยุ่งเกี่ยวกับภาระของตำหนักมากนัก ส่วนมากจึงเป็นหน้าที่ของเจ้าตำหนักซ้ายและขวา”
นางจิบชาและพูดต่อ
“ทั้งสองมีอำนาจมากอยู่ในมืออาจจะพูดได้ว่าพวกเขาคือผู้ปกครองที่แท้จริงของตำหนักโลหิต ไม่มีใครในตำหนักใต้อาณัติตำหนักโลหิตที่กล้าดูหมิ่น การต่อสู้ระหว่างทั้งคู่นั้นเข้มข้น พวกเขาพยายามซื้อใจยอดฝีมือในสำนักเพื่อที่จะทำให้อำนาจตัวเองเพิ่มขึ้น”
นางพูดเสริม
“อัจฉริยะที่โดดเช่นที่มีคุณสมบัติจะถูกทั้งสองต่อสู้แย่งชิงเพื่อนบ้านสี่คนของเจ้าก็ถูกเชิญ แต่ก็น่าเสียดายที่พวกนั้นปฏิเสธ”
นางส่ายหน้า
“เว่ยเจิงในตอนนี้เป็นตัวแทนของเจ้าตำหนักซ้ายเขามาเพื่อเชิญหน้าเข้าสำนัก เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องทรัพยากรในการบ่มเพาะอีกเลยหากเข้าร่วมกับพวกเขา อย่างน้อยเจ้าจะได้รับสามแสนคะแนนต่อปี และเจ้าจะได้โอสถวิญญาณอีกมาก ความเร็วในการบ่มเพาะของเจ้าจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว…นี่เป็นโอกาสดีของเจ้า!”
นางพูดเพื่อเกลี้ยกล่อมเขา
“ข้าเป็นหนึ่งในคนของสำนักเจ้าตำหนักซ้ายมีเหตุผลส่วนตัวที่ข้าออกมาและเริ่มใช้ชีวิตในตำหนักนอก หวังว่าเจ้าจะตัดสินใจและไม่พลาดโอกาสนี้!”
DND.824 – ได้วิชากระบี่
ซือหยูตกใจในสิ่งที่ได้ฟังเล็กน้อยเห็นทีว่าจะมีเจ้าตำหนักซ้ายขวาในตำหนัก ซึ่งทั้งคู่มีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้นซือหยูยังรู้ในสิ่งที่จ้าวหอเพลิงคลั่งมิได้บอกเพราะถ้าหากจ้าวหอเพลิงคลั่งกับเสวี่ยฉีมาจากฝั่งตำหนักซ้าย ตลาดมืดของตำหนักนอกและตัวแทนอย่างนักเลงหลงก็คือคนของฝ่ายตำหนักซ้ายด้วย
หรือพูดอีกอย่างก็คือตลาดมืดที่เฉาฉิงเฟิงเป็นตัวแทนนั้นมาจากตำหนักขวา ทั้งคู่นั้นเป็นฝ่ายอำนาจสาขาของตำหนักนอก ขณะที่อำนาจที่แท้จริงมาจากตำหนักใน
เว่ยเจิงรอก่อนจะหยิบปฏิญาณสัตย์ดวงใจออกมายื่นให้ซือหยูเขาไม่มองซือหยูแม้แต่ครั้งเดียว เขาเพียงหยดโลหิตลงไปหนึ่งหยด
“หยดโลหิตเจ้าตรงนี้”
เขาไม่ถามความเห็นของซือหยูอย่างกับกำลังมอบสิ่งที่ดีให้ส่วนซือหยูเองก็มิใช่คนอารมณ์ร้อน เขาไม่ได้โมโหเพราะถูกเมิน
แต่ซือหยูคิดว่าเขาต้องตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยความระมังระวังด้วยเรื่องทรัพยากร ตอนนี้เขามีสมบัติภูติวิถีอสูรอยู่ในมือ ถ้าเขาขายมันไป เขาก็ไม่ต้องห่วงเรื่องทรัพยากรอีกแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นตำหนักในมีอัจฉริยะมากมาย เขาต้องประเมินว่าศิษย์ตำหนักนอกอย่างเขาจะได้แบ่งปันทรัพยากรมาเท่าใดหลังจากเข้าฝ่ายตำหนักซ้าย ซือหยูในตอนนี้มิได้ขาดแคลน เขาย่อมต้องไม่ลงหลักปักฐานกับปฏิญาณสัตย์ดวงใจ เขาอำลาสำนักตำหนักซ้ายเสียดีกว่า!
“ศิษย์พี่เว่ยขอบคุณที่เอื้อเฟื้อ แต่ข้าไม่คิดจะเข้าสำนักใด ลาก่อน”
ซือหยูประสานมือและปฏิเสธข้อเสนออย่างนิ่มนวล
เว่ยเจิงนิ้วกระตุกดูเหมือนว่าเขาจะไม่คิดถึงการถูกปฏิเสธจากซือหยู เพราะมีศิษย์นอกมากมายนักที่อยากจะได้โอกาสเข้าสำนักตำหนักซ้ายแต่ก็ล้มเหลว แต่ซือหยูกลับปฏิเสธ!
จ้าวหอเพลิงคลั่งตกตะลึงนางพูดอย่างร้อนใจ
“เจ้ายังไม่รู้ว่าเจ้าตำหนักซ้ายขวาเป็นใคร!พวกเขา…”
ซือหยูยกมือขึ้นและพูดขัดนาง
“ข้ารู้แต่ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าไม่คิดจะเข้าร่วมทั้งสองสำนัก ข้าเพียงอยากจะบ่มเพาะอย่างสงบสุข แต่ข้าก็ขอขอบคุณน้ำใจของท่าน”
เมื่อพูดจบเขารีบมุ่งหน้าออกไปยังหอตำรา เว่ยเจิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็แต่มิได้รั้งซือหยู
เขาเพียงแค่เก็บปฏิญาณสัตย์ดวงใจด้วยรอยยิ้มพลางส่ายหน้า
“ก็ดี…ไม่เป็นไรถ้าเขาไม่ตกลงนี่เป็นสิ่งที่ข้าหวังอยู่แล้ว ข้าไม่พอใจกับคุณสมบัติแค่นั้นหรอก”
เขาพูดต่อ
“ทีแรกเขาก็ดูยอมรับได้แต่ถ้าเทียบกับศิษย์ในที่มียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่มากมาย เขาก็เป็นแค่คนธรรมดา เขาเพียงแต่จะได้อาหารกับทรัพยากรที่ไม่ดีไปเท่านั้นถ้าเข้าร่วมกับสำนักตำหนักซ้าย”
“เสวี่ยเหลียนข้ามารับเขาเพื่อเจ้าเท่านั้น ข้าถึงกับหาข้อยกเว้นให้ แต่หากถูกปฏิเสธ ข้าก็รามือจากเรื่องนี้แล้ว”
นี่คือความเห็นที่แท้จริงของเว่ยเจิงเขาไม่ชอบซือหยูเท่าใดนัก
จ้าวหอเพลิงคลั่งมองซือหยูที่เดินจากไปพลางกระทืบเท้าด้วยความโมโหนางหาโอกาสนี้ให้เขาอย่างยากลำบาก แต่เขากลับปฏิเสธ!
“ขอโทษที่ทำให้เจ้ามาโดยไม่ได้อะไร”
จ้าวหอเพลิงคลั่งกล่าว
เว่ยเจิงหัวเราะเบาๆและยิ้มอย่างสดใส
“หากเป็นคำขอของเจ้าข้ายิ่งกว่าเต็มใจที่จะมาโดยไม่ได้อะไร ข้าทำซ้ำอีกได้มากกว่าสิบครั้ง! อีกอย่าง ตอนนี้ก็เกือบจะถึงการทดสอบประจำฤดูแล้ว ข้าจะไปชมการทดสอบ ได้ยินว่ามีอัจฉริยะมากมายปรากฏตัวในการคัดเลือกภายใน คนเหล่านั้นต้องเข้าร่วมการทดสอบแน่ อาจจะมีหลายคนที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยม”
เขาพูดต่อ
“แต่คนจากตำหนักขวาก็จะไปชมการทดสอบด้วยเราจะได้เห็นกันว่าใครมาสายตาเฉียบคมกว่า”
หลังซือหยูออกจาเรือนเขาไปยังห้องตำราและเดินตรงไปยังชั้นตำรากระบี่ เขารู้ตัวว่าตอนที่ออกจากเรือน มีสองคนที่ออกมาจากมุมมืด
หนึ่งในนั้นหน้าซีดเขาดูไม่มีแม้กระทั่งโลหิตภายในใบหน้า เขาเดินมาถามอย่างเย็นชา
“เว่ยเจิงมาที่นี่เพื่อดูการทดสอบประจำฤดูจริงๆรึ?มีหน้าใหม่หลายคนจะเข้าร่วมต่อสู้ งานนี้สนุกแน่!”
ในขณะนั้นซือหยูกำลังจ้องมองตำราเล่มหนึ่งที่มีฝุ่นปกคลุมในชั้นล่างสุดของชั้นตำรา ซือหยูหยิบตราประจำตัวออกมาจากอย่างตื่นและประทับที่แท่นข้างชั้น มีข้อความหลายบรรทัดเล็กๆปรากฏขึ้นมา ในข้อความนั้นเขียนรายชื่อวิชานับไม่ถ้วนเอาไว้
เมื่อเขาเลือกตำราตรงนี้ผนึกก็จะหายไปทันที ซือหยูมองดูคะแนนของตัวเองและเห็นว่ามีราวสองแสนเก้าหมื่นคะแนน ซือหยูพบตำราเพลงกระบี่เก้าสุริยาในบรรทัดสุดท้ายและเลือกมันทันที
เกิดเสียงดังจากชั้นตำราข้อความอีกบรรทัดปรากฏขึ้น…เพลงกระบี่เก้าสุริยา ระดับ ไม่ระบุ ผ่านการประเมินแล้วมีพลังอยู่ในระดับตำนานชั้นกลาง แต่เนื่องจากเหลือเพียงครึ่งเล่มจึงนับเป็นระดับตำนานชั้นต้น ต้องจ่ายหนึ่งแสนคะแนนเพื่อยืม
เมื่อซือหยูยืนยันขั้นตอนหนึ่งแสนคะแนนของเขาก็หายไปในทันที ผนึกป้องกันของตำราก็หายไปด้วย ซือหยูโบกมือเรียกตำราเข้าหามือ
ซือหยูเปิดตำราในมือด้วยความคาดหวังผลจากการประเมินวิชาจากผู้ทดสอบถูกบันทึกไว้บนหน้าแรกๆ บันทึกกล่าวถึงวิชาในรายละเอียด และยังกล่าวถึงพลังที่ปล่อยออกมาขณะทดสอบอีกด้วย
เพลงกระบี่เก้าสุริยาเป็นวิชากระบี่พิเศษที่จะแบ่งเป็นสองกระบวนส่วนที่สองนั้นชื่อว่าเพลงกระบี่เก้าสุริยา ส่วนแรกชื่อว่าเพลงกระบี่จักรวาล บทแรกนั้นหายไปแล้วจึงเหลือเพียงเพลงกระบี่เก้าสุริยาเท่านั้น ซือหยูตกใจเมื่ออ่านถึงตรงนี้ เขาคิดมาโดยตลอดว่าเพลงกระบี่เก้าสุริยานั้นเป็นแค่เพียงกระบี่เดี่ยว!
เขาอ่านต่อไป…พวกเราคิดว่าเพลงกระบี่เก้าสุริยากับเพลงกระบี่จักรวาลสามารถผสมผสานกันจนเป็นเพลงกระบี่จักรวาลเก้าสุริยาได้พลังของมันไม่เคยมีเขียนไว้ในบันทึกใดและไม่สามารถหาข้อมูลเรื่องเพลงกระบี่นี้ในประวัติศาสตร์หรือต้นกำเนิดได้ การบ่มเพาะเพลงกระบี่เก้าสุริยานั้นต้องการผู้ที่มีวิญญาณแข็งแกร่ง…
เมื่ออ่านมาถึงบทสรุปเขาก็ตกใจ เรื่องที่ต้องใช้พลังวิญญาณที่สูงในเพลงกระบี่นั้นเกินความคาดหมายไป
เขาอ่านต่อ…หลักการของเพลงกระบี่คือการใช้พลังดวงวิญญาณหลอมรวมกับกระบี่ผู้ที่มีวิญญาณแข็งแกร่งย่อมควบคุมพลังวิญญาณได้ดี จำเป็นต้องใช้วิญญาณควบคุมกระบี่ทั้งเก้าเพื่อต่อสู้ มิเช่นนั้นก็มิอาจใช้เพลงกระบี่ได้ หากวิญญาณอ่อนแอเกินไปก็มิอาจควบคุมกระบี่ทั้งเก้าได้ง่ายๆ
หลังอ่านถึงตรงนี้ซือหยูก็เข้าใจในทันทีเขาแปลกใจที่รู้ว่ามันทำงานอย่างไร
เขาอ่านต่อไปอีก…พลังของเพลงกระบี่เก้าสุริยาขึ้นอยู่กับพลังของกระบี่ยิ่งกระบี่คมเท่าใด เพลงกระบี่ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ตามที่ข้าประเมิน หากเพลงกระบี่เกิดขึ้นจากสมบัติวิญญาณระดับกลางเก้าชิ้นและผู้ใช้ควบคุมกระบี่ได้ทุกเล่ม มันก็อาจสังหารจ้าวเทวะชั้นต้นได้ ส่วนวิธีการใช้…
บทบันทึกต่อไปนั้นกล่าวถึงหลักการของเพลงกระบี่และวิธีการที่ต้องใช้รวมถึงตำแหน่งในการตั้งกระบวนหลังจากอ่านจนจบ ซือหยูก็อ่านถึงสรุปในท้ายสุด
เขาอ่านบทสรุปด้วย…วิชานี้เหมาะสำหรับจ้าวเทวะชั้นต้นโดยเฉพาะกับจ้าวเทวะระดับหนึ่ง มันจะส่งผลน้อยลงไปหากเป็นจ้าวเทวะระดับสองและไร้ประโยชน์กับจ้าวเทวะระดับสาม และการตีกระบี่เก้าเล่มต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ผู้ที่ไม่ร่ำรวยไม่ควรจะบ่มเพาะวิชานี้
เมื่ออ่านถึงบรรทัดสุดท้ายซือหยูถึงเข้าใจว่าเหตุใดวิชาที่แข็งแกร่งถึงได้ถูกฝุ่นเกาะจนหนาในมุมชั้นตำรา นั่นก็เพราะวิชากระบี่นี้ค่อนข้างจะอ่อนแอและไม่มีประโยชน์นั่นเอง!
หากใครจะใช้กระบี่ทั้งเก้าคนผู้นั้นก็ต้องนำวิญญาณออกจากร่าง นี่เป็นเหตุให้มีเพียงจ้าวเทวะที่จะบ่มเพาะได้
เป็นเพราะวิญญาณของภูตินั้นมิอาจออกจากร่างได้เหล่าศิษย์นอกจึงไม่มีทางบ่มเพาะมันได้เลย
และกระบี่สมบัติวัญญาณระดับกลางเก้าเล่มยังต้องการใช้ในการสังหารเพียงแค่จ้าวเทวะระดับสามถ้าหากจ้าวเทวะระดับหนึ่งครอบครอง พลังของเขาจะแข็งแกร่งมาก
ดังนั้นถึงมันจะดีกับจ้าวเทวะระดับสอง มันก็ไร้ประโยชน์กับจ้าวเทวะระดับสาม เพราะไม่ยากที่พวกเขาจะหาวิชาที่แข็งแกร่งกว่าสังหารคนในระดับเดียวกัน และยังไม่มีเหตุผลที่จะมีใครลงทุนมากมายเพื่อใช้เพลงกระบี่นี้
และมันยากเป็นอย่างยิ่งสำหรับจ้าวเทวะชั้นต้นที่จะได้สมบัติวิญญาณชั้นกลางมาสักชิ้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะได้กระบี่มาเก้าเล่ม ต่อให้บังเอิญหาได้สำเร็จ ถ้าหากเลื่อนขั้นเป็นจ้าวเทวะระดับสอง พลังของมันก็จะอ่อนลงไป และมันก็จะเปล่าประโยชน์เมื่อเป็นจ้าวเทวะระดับสาม
หลังจากอ่านทั้งหมดซือหยูสงสัย…เหตุผลกลใดกันถึงจะมีคนธรรมดาบ่มเพาะมัน?
ยังมีเงื่อนไขสุดท้ายอยู่อีกข้อที่กล่าวถึงคนที่มีพรสวรรค์วิญญาณเท่านั้นที่จะบ่มเพาะได้แค่เงื่อนไขนี้เพียงอย่างเดียวก็กำจัดคนไปเกือบหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นคนที่มีพรสวรรค์วิญญาณ พวกเขาบ่มเพาะวิชาจู่โจมวิญญาณจะแข็งแกร่งว่าวิชากระบี่ไร้ค่านี้อย่างมากทีเดียว
ซือหยูมิได้ผิดหวังแต่กลับยินดี เหตุก็เพราะวิชานี้ดูไม่เหมาะและไร้ค่า ด้วยเหตุผลที่มันถูกตีค่าเป็นวิชาระดับตำนานชั้นกลาง
แต่พวกเขาก็ดันมาสรุปพลังของมันจากการทดสอบด้วยกระบี่เก้าเล่มที่เป็นสมบัติวิญญาณชั้นกลางเท่านั้นดังนั้นถ้าหากระดับของกระบี่ทั้งเก้าสูงขึ้น พลังของมันก็จะแข็งแกร่งไม่ผิดแน่!
ซือหยูคิดจะใช้ไผ่เทวะที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกตีกระบี่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ขึ้นมามันขึ้นชื่อในด้านความคมอยู่แล้ว พอถึงตอนนั้น หากกระบี่ทั้งเก้าบินพร้อมกัน สมบัติวิเศษทั้งหมดก็คงอ่อนแอดั่งโคลนต่อหน้าความคมกริบนั้น ไม่ว่าใครจะต้องถูกบดขยี้เป็นแน่!
แต่ซือหยูก็ไม่ลืมว่าเพลงกระบี่นี้มีเงื่อนไขที่โหดร้ายซึ่งคือการมีวิญญาณที่ทรงพลัง ซือหยูนั้นใช้วิญญาณจู่โจมเองได้อยู่แล้ว แต่ผู้ทดสอบสรุปว่าวิชานี้ต้องการผู้มีวิญญาณของจ้าวเทวะระดับหนึ่งจึงจะควบคุมกระบี่ทั้งเก้าได้พร้อมกัน
พลังวิญญาณของซือหยูในตอนนี้มีระดับแค่ภูติระดับสี่นั่นหมายความว่าเขามิอาจควบคุมกระบี่ทั้งเก้าได้พร้อมกัน และยิ่งกระบี่ระดับสูงเท่าใด วิญญาณก็ต้องยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะควบคุมได้
ซือหยูคิดจะใช้กระบี่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ดังนั้นเขาจึงต้องการวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างมาก เขารู้ว่าตอนนี้ต้องรีบทำวิญญาณตัวเองให้แข็งแกร่ง
ซือหยูที่ถือตำราวิชากระบี่มีความรู้สึกว่าเพลงกระบี่นี้มีพลังที่น่ากลัวแอบแฝงอยู่แต่ก็น่าเสียดายที่คนอื่นประเมินมันต่ำเกินไป
ซือหยูเก็บวิชากระบี่ไว้อย่างดีแต่ก็ไม่ออกจากห้องตำราในทันทีทันใดเขาบ่มเพาะอรหันต์แปดอักษรจนสำเร็จแล้ว เขาไม่มีวิชาที่ใช้ได้ดีนอกเหนือจากนั้น ดังนั้นนี่จึงเป็นเวลาที่เขาจะบ่มเพาะวิชาระดับตำนานอีก โชคดีที่เขายังมีคะแนนอีกหนึ่งแสนคะแนนที่มากพอจะหาได้อีกวิชา
ซือหยูเดินผ่านชั้นตำราที่เขาเคยดูมาแล้วเมื่อครั้งก่อนและค้นหาต่อเรื่อยไปสุดท้ายเขาก็ถึงชั้นที่เป็นตำราวิชาอสูร ซือหยูสงสัยเกี่ยวกับวิชาอสูรอยู่แล้วเพราะเขายังไม่เคยบ่มเพาะมันมาก่อน แต่เขาก็เคยพบผู้บ่มเพาะวิชาอสูรมาก่อน เขารู้ว่าวิชาอสูรนั้นมิเพียงแต่จะป่าเถื่อน แต่มันยังประหลาดและมิอาจคาดเดา
นี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับเขาในการทดลองเขามีคะแนนแค่แสนคะแนนซึ่งจะแลกวิชาระดับตำนานชั้นต้นได้เท่านั้น ดังนั้นจึงยากสำหรับซือหยูที่จะใช้ประโยชน์เพราะเขาเคยบ่มเพาะวิชาระดับตำนานชั้นกลางมาแล้ว
ซือหยูผ่านชั้นตำราหลายชั้นไปแต่ก็ไม่เจอวิชาที่สนใจพลังของมันไม่ถึงความต้องการของเขาในขณะนี้ แต่ตอนนั้นเอง เขาเห็นผ้าคลุมของนักบวชแขวนอยู่บนชั้นตำรา
เขาตกใจเล็กน้อยพลางสงสัย…ใยถึงมีผ้าคลุมนักบวชแขวนอยู่บนชั้นตำราล่ะ?
เมื่อสังเกตมันให้ดีจะพบข้อความเล็กๆหลายบรรทัดมันคือวิชาบ่มเพาะพลัง! แต่เป็นเพราะมันถูกผนึกเอาไว้ ข้อความที่เขียนจึงยากที่จะอ่าน หลังจากซือหยูครุ่นคิด เขาก็ประทับตราประจำตัวลงไปทำให้ข้อความส่วนหนึ่งชัดเจนขึ้น
วิชาเก้ามังกรอสูรถูกส่งต่อจากอรหันต์ที่กลายเป็นอสูรเขาบ่มเพาะในวิถีอรหันต์มาก่อนเพื่อใช้มันกรุยทางไปยังวิถีอสูร คนผู็นั้นสร้างวิชานี้ขึ้นมา ผู้ใช้ต้องดูดซับพลังอสูรและรวบรวมมันให้กลายเป็นมังกรอสูร เมื่อสร้างมังกรได้แต่ละตัว ก็จะเท่ากับว่าทะลวงระดับวิชาไปอีกขั้น
ว่ากันว่ามังกรอสูรสองตัวสามารถต่อสู้กับจ้าวเทวะได้มังกรอสูรห้าตัวเทียบเท่าจ้าวเทวะชั้นกลาง และมังกรอสูรแปดตัวต่อสู้ได้แม้กระทั่งจ้าวเทวะชั้นสูง ส่วนมังกรอสูรเก้าตัวนั้นเป็นคำสาปจากสวรรค์ สามารถเรียกวิบัติสวรรค์ได้ง่ายๆ
อรหันต์ที่บ่มเพาะวิชาอสูรนี้ลงเอยด้วยการเรียกวิบัติอัคคีขณะที่เรียกมังกรตัวที่เก้าเขาถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านทิ้งไว้เพียงวิชาที่ส่งต่อมานับจากครั้งนั้น
วิชาอสูรนี้ถูกกล่าวว่าเป็นวิชาระดับตำนานชั้นสูงแต่มันยังคงอยู่ในชั้นตำราที่ราคาต่ำเท่าวิชาชั้นต้น เป็นเพราะวิชานี้มีเงื่อนไขที่เข้มงวดยิ่งกว่าเพลงกระบี่เก้าสุริยา
ผู้ทดสอบวิชาบันทึกไว้บรรทัดแรกๆซือหยูอ่านมันทันที…วิชานี้มิได้รับการทดสอบเพราะไม่มีใครในตำหนักโลหิตที่เหมาะสมในการบ่มเพาะ วิชานี้สร้างจากวิชาของเผ่าอสูร คนที่อยากจะบ่มเพาะวิชานี้ต้องมีสายเลือดมังกรอสูร ต้นตระกูลของผู้คิดวิชานี้เป็นมนุษย์กึ่งอสูร ดังนั้นเขาจึงมีสายเลือดมังกรอยู่เล็กน้อย
การวิเคราะห์ดำเนินต่อไป…วิชาตกทอดมาจนถึงวันนี้แต่ก็ไม่เจอคนที่สองที่จะบ่มเพาะได้พวกเราเสนอในราคาต่ำเพื่อจะได้มีคนใช้มันเป็นวิชาอ้างอิง หากไม่มีสายเลือดมังกร จงอย่าเสียเวลาพยายามบ่มเพาะมัน
เมื่ออ่านถึงตรงนี้ซือหยูเดาะลิ้นด้วยความสงสัย ยากที่เขาจะคิดว่ามีมนุษย์ครึ่งมังกรอยู่ด้วย มันน่าแปลกใจยิ่งนัก! ซือหยูคิดถึงมันอย่างละเอียดเขามิใช่ลูกหลานของมนุษย์และมังกร แต่ร่างกายของเขามีสายใยมังกรอยู่ และเขายังมีเนตรอสูรที่ได้จากการสังเวยโลหิตมังกร ดังนั้นจึงน่าจะกล่าวได้ว่าร่างกายของเขามีร่องรอยของโลหิตมังกรไหลเวียนอยู่
ผู้เฒ่าที่สร้างวิชานี้ในอดีตในเพียงลูกหลานของลูกครึ่งมังกรนั่นหมายความว่าสายโลหิตของเขาค่อนข้างเจือจางเช่นกัน แต่เขาก็ยังบ่มเพาะได้ นั่นหมายความว่าซือหยูก็น่าจะบ่มเพาะมันได้เหมือนกัน
นี่เป็นวิชาระดับตำนานชั้นสูงและเป็นเพราะมันไม่เหมาะสมกับใครจึงถูกจัดให้มีราคาระดับวิชาระดับต่ำ ซือหยูไม่คิดว่าเขาจะพลาดโอกาสนี้!
ซือหยูหายใจเข้าลึกและจ่ายแสนคะแนนสุดท้ายแลกเป็นวิชาเก้ามังกรอสูรวิชาระดับตำนานชั้นกลางนั้นมีพลังอ่อนแอกว่าชั้นสูงอย่างมาก ซือหยูจึงคาดหวังในวิชานี้!
ยิ่งไปกว่านั้นวิชานี้ยังไม่มีใครได้ทดสอบพลัง ถ้าหากซือหยูบ่มเพาะสำเร็จก็จะไม่มีใครจำมันได้! นั่นหมายความว่าทุกคนจะไม่รู้วิธีรับมือจากมัน!
แต่เมื่อซือหยูได้ถือตำราเสียงแหลมของบางอย่างที่กำลิงบินได้มาถึงหู ซือหยูไม่คิดแม้แต่น้อย สายฟ้าแปลบปลาบรอบตัวพร้อมกับเขาที่ยักย้ายตัวเองหลบไปทันทีในระยะสิบศอก!
สายฟ้าที่เปล่งประกายล้อมรอบร่างมิอาจบดบังสายตาเยือกเย็นได้ที่เดิมที่เขายืนอยู่ถูกพลังชีวิตแล่นผ่าน มันไม่ได้แข็งแกร่งแต่ค่อนข้างรวดเร็ว และถ้าหากมันโดนเขา เขาคงบาดเจ็บหนัก!
เมื่อชายตามองก็พบสองคนปรากฏตัวคนทางซ้ายเป็นชายหนุ่มที่สวมชุดปักลายสีน้ำเงิน เขาอายุราวยี่สิบและมีใบหน้าแสร้งยิ้ม
“เฉาฉิงเฟิง!”
ซือหยูแววตาคมกริบเมื่อเอ่ยนามนั้นเขาจำอีกฝ่ายได้ในทันที
คนที่อยู่ด้านขวามีนิ้วซีดเขาคือคนที่เพิ่งจะจู่โจมซือหยูไม่ผิดแน่ เมื่อซือหยูเห็นใบหน้าก็ตะโกนอย่างเยือกเย็น
“เล่าอ๋าย!”
เล่าอ๋ายหน้าซีดราวกับไม่มีโลหิตแม้แต่หยดเดียวบนใบหน้าชายผู้นี้ดูเหมือนกับคนตาย
“เจ้าหนูสัมผัสเจ้ายังเร็วเหมือนเดิม ดูเหมือนเจ้าจะโชคดีเพราะข้าใช้ได้แค่พลังเพียงเท่านั้น!”
เล่าอ๋ายหัวเราะเยาะการต่อสู้ในห้องตำราเป็นเรื่องต้องห้าม เขาแค่หวังให้ซือหยูบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น
เฉาฉิงเฟิงยืนอยู่ด้านหลังเขายิ้มแย้ม
“ศิษย์น้องซือตอนนี้ใครจะมาช่วยเล่าอีกล่ะ?”
หลังซือหยูรู้สึกตัวเขาสบายใจขึ้นและพูดเชิงถากถาง
“ข้าก็สงสัยว่าเป็นใคร!กลับกลายเป็นหนูที่เอาแต่ออกคำสั่งอยู่เบื้องหลังกับงูที่นิยมชมชอบการลอบโจมตี เจ้าสองคนช่างเหมาะสมกันนัก คนสมัยก่อนพูดว่าหนูกับงูมาจากรูเดียวกัน เห็นทีจะเป็นเรื่องจริง!”
เขาไม่คิดเลยว่าเล่าอ๋ายกับเฉาฉิงเฟิงจะร่วมมือกันแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งสองจะค่อนข้างสนิทกัน รอยยิ้มของเฉาฉิงเฟิงหายไปเมื่อได้ยินคำพูดของซือหยู
“เจ้าหนูกล้าดียังไงถึงพูดเช่นนี้แม้จะอยู่ต่อหน้าท่านเล่าอ๋าย? เจ้าจะมากเกินไปแล้ว!”
ซือหยูหัวเราะเบาๆ
“ความกล้าของข้ามันก็ต้องมากกว่าพวกหนูกับงูอยู่แล้ว!ศิษย์พี่หนู…ไม่สิ…ศิษย์พี่เฉา ข้านับถือจริงๆที่เจ้ารู้ข้อบกพร่องของตัวเอง!”
เมื่อได้ฟังซือหยูโต้เถียงเฉาฉิงเฟิงชักสีหน้า รอยยิ้มหายไป เพลิงความโกรธปะทุในดวงตา เพราะเขามาที่นี่เพื่อที่จะยั่วซือหยูให้โกรธ แต่กลับกลายเป็นฝ่ายโกรธเสียเอง!
“ซือหยูเซี่ยน!”
เฉาฉิงเฟิงโกรธแค้นเขาชี้ดวงตาตัวเอง
“เจ้าเห็นอะไรในตาข้า?”
นั่นคือคำขู่ที่อุกอาจ!ซือหยูกระพริบตาตอบ
“ข้าเห็นไฟศิษย์พี่เฉาจะใช้ไฟนั่นปรุงอาหารรึ?”
ปั้ง!
เมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยจิตสังหารของเฉาฉิงเฟิงรุนแรงยิ่งกว่าเดิม…ไอ้เด็กบัดซบ!
เมื่อเขากำลังจะจู่โจมซือหยูเล่าอ๋ายที่อยู่ใกล้กันก็ทำมือห้าม
“อย่าหลงกลมันถ้าหากเจ้าทำร้ายคนในห้องตำรา เจ้าจะถูกขับออกจากตำหนัก! พวกเขาอาจจะทำลายจุดกำเนิดพลังของเจ้าด้วย!”
เมื่อได้ฟังคำเตือนเฉาฉิงเฟิงที่โมโหร้ายถึงได้สติกลับมา เขาหายใจเข้าออกยาวๆหลายครั้ง เขาเข้าไปยืนหลังเล่าอ๋ายขณะที่มองซือหยูอย่างเยือกเย็น เล่าอ๋ายนั้นดูจะเป็นคนที่ใจเย็นกว่า
เล่าอ๋ายมองเขาและพูดอย่างไม่ยี่หระ
“หากกลับจากเขาวิญญาณจรัสมาได้เจ้าก็ยังพอโชคดีอยู่บ้าง”
ที่นี่มีเพียงพวกเขาสามคนพวกเขาจึงพูดคุยเรื่องนี้ได้อย่างอิสระ พวกเขากำลังพูดถึงเรื่องที่ซือหยูสามารถรอดจากจ้าวเทวะสองคนที่ส่งไปตามล่าได้
ซือหยูหัวเราะเบาๆ
“ข้ามีแต่พรให้โชคดีอยู่เสมอส่วนศิษย์พี่สองคนของพวกเจ้า หลังขุดสมบัติมาได้บ้าง กลับกลายเป็นหลงในเขาวิญญาณจรัส หลังจากนั้นก็กลับมาไม่ได้อีกแล้ว”
เมื่อได้ฟังเล่าอ๋ายหรี่ตามอง
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าทำได้ยังไงแต่เจ้าทำเรื่องผิดมหันต์ไปแล้ว ถ้าฆ่าสองคนนั้น ชื่อของเจ้าจะถูกลบไปจากผู้เข้าร่วมตำหนักขวา ตำหนักขวาจะไม่มีทางยอมรับเจ้า เจ้าจะเป็นศัตรูกับตำหนักขวาอีกด้วย!”
เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยกับซือหยูเพราะเขามีศัตรูมากมายอยู่แล้ว แม้แต่ราชาเขตกลางก็เป็นศัตรูของเขา!
“น่าขัน!เจ้าส่งจ้าวเทวะสองคนมาฆ่าข้า แต่ข้ากลับไม่ควรสู้กลับ! การฆ่าสองคนนั้นเป็นเรื่องโง่เขลาในสายตาเจ้า แต่รอให้ถูกสังหารคือทางเลือกที่ฉลาดสินะ?”
ซือหยูถอนหายแรง
จากนั้นเขาจึงเก็บผ้าคลุมนักบวชและมองทั้งสองอย่างใจเย็น
“ถ้าพวกเจ้ามีความสามารถก็จงเข้ามาแต่ถ้าไม่กล้าพอ ข้าจะไปตามทางของข้า”
เฉาฉิงเฟิงสีหน้าดำมืดอีกครั้ง
“ซือหยูเซี่ยนหยุดอวดดีได้แล้ว!”
ซือหยูเอามือปิดปากพลางยักไหล่
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดอะไรเจ้าสองคนเป็นฝ่ายมาหาข้าแล้วขวางทางข้าในห้องตำรา เจ้าไม่ใช่แค่ลอบโจมตีข้า แต่เจ้ายังขู่ข้าอีก! ใครกันที่อวดดี?”
เฉาฉิงเฟิงโมโหเมื่อถูกย้อนซือหยูนั้นมีลิ้นอันเฉียบคม แต่ละคำที่พูดออกมาทำให้เขาโกรธได้ทั้งสิ้น
ถ้าเขารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้เขาก็คงจะไม่มาหาซือหยูในสถานที่ที่ห้ามการต่อสู้อย่างห้องตำรา เขาควรจะเลือกที่อื่นด้านนอกที่จะทำร้ายซือหยูขณะที่ไม่มีใครเห็น!
เฉาฉิงเฟิงรู้ว่าพลังของเขามิได้ยิ่งใหญ่นักแต่เขาก็เป็นภูติระดับแปดและอยู่ในยี่สิบลำดับแรกของตำหนักนอก ดังนั้นอย่างน้อยเขาก็ทำตบภูติอย่างซือหยูให้หลาบจำได้หลายครั้ง!
แต่อย่างไรก็ตามเขาเป็นเพียงคนเดียวที่เชื่ออย่างนั้น…