ตอนที่ 825-826

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.825 – ห้องฝึกเงามายา
  “ปล่อยมันไปจะอย่างไรเวลาของมันก็เหลืออีกไม่กี่วันเท่านั้น”
  เล่าอ๋ายกล่าวอย่างใจเย็น
  เฉาฉิงเฟิงใจเย็นลงและตะคอกเบาๆขณะจ้องซือหยู
  “ก็จริงการทดสอบประจำฤดูจะมาถึงแล้ว ดีกว่าที่เข้าจะใช้เวลาที่เหลือบ่มเพาะพลัง”
  การทดสอบประจำฤดูนั้นเป็นการทดสอบที่จะจัดขึ้นทุกๆสามเดือนมันคือการทดสอบที่ตำหนักนอกให้ความหวังไว้สูง การทดสอบประจำฤดูครั้งแรกจะเกิดขึ้นในเวลาสองเดือนหลังจากที่ศิษย์ใหม่เข้าสู่ตำหนัก
  ตำหนักซ้ายขวาจะส่งคนมาชมการประลองและเลือกศิษย์ใหม่ที่มีพรสวรรค์ที่สุดเชิญสู่ฝ่ายตัวเองหลังจากนั้น ผู้ถูกเลือกก็จะได้ทรัพยากรที่ไม่มีวันหมด พวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องการขาดคะแนน พวกเขาสามารถจะบ่มเพาะพลังอย่างสงบสุขและก้าวข้ามเหนือกว่าคนอื่นๆได้ต่อไป!
  ศิษย์ใหม่มักจะพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะแสดงพลังให้ต้องตาคนที่สำนักซ้ายขวาส่งมาการทดสอบแรกคือการทดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะมันไม่ต่างจากการจัดลำดับศิษย์ตำหนักนอก
  ซือหยูไม่สนใจคำขู่ของเฉาฉิงเฟิงเขาส่ายหน้าเบาๆและเดินไปยังห้องฝึกสู้ นี่เป็นครั้งที่สองที่ซือหยูมายังห้องนี้ มันคือสถานที่ที่ศิษย์นอกจะต่อสู้กัน และมันยังมีพลังวิญญาณหนาแน่นอยู่ด้วย หลายคนจึงจ่ายสิบคะแนนมาบ่มเพาะที่นี่
  เมื่อซือหยูมาถึงประตูห้องเขาสอดบัตรประจำตัวลงไป มีสองตัวเลือกปรากฏบนกำแพง…
  ห้องต่อสู้ทั่วไป…สิบคะแนน
  ห้องฝึกเงามายา…เต็มแล้ว
  ซือหยูสงสัยกับคำว่า“ห้องฝึกเงามายา” ครั้งที่แล้วมีคนใช้อยู่ ครั้งนี้ก็มีคนใช้อยู่อีก เขาสงสัย…ห้องฝึกเงามายาคืออะไรกัน?
  น่าเสียดายที่ห้องฝึกเงามายาทั้งสิบห้องเต็มแล้วเขาทำได้แค่มาดูใหม่ครั้งหน้า เมื่อเขากำลังจะเลือกห้องต่อสู้ทั่วไปนั้นเอง เสียงแหลมก็ดังใกล้หู ขณะที่ข้อความบนกำแพงเปลี่ยนไป
  ห้องฝึกเงามายา…ว่างหนึ่งห้อง…ค่าเข้าเจ็ดพันคะแนน
  ซือหยูตกตะตึงกับจำนวนคะแนนที่ต้องใช้ภูติชั้นต้นจำเป็นต้องทำงานหนักถึงเจ็ดปีเพื่อที่จะได้เข้าห้องราคาแพงระดับนี้สักครั้ง! มันทำให้ซือหยูสงสัยยิ่งกว่าเดิม เขาเลือกที่จะลองห้องฝึกเงามายาและเลือกมันทันที
  แต่ตอนที่เขายืนยันก็มีเสียงไม่พอใจดังมาจากห้องฝึก
  “คนตาบอดที่ไหนกันมาขโมยห้องที่ข้ากำลังจะเข้า?”
  ในเวลานั้นชายหนุ่มร่างอวบที่ร่างกายกำยำและขนขาดกได้ปรากฏตัวหน้าซือหยู เขาคือกะเทย!
  ซือหยูรู้ว่าเป็นเพราะเทียนเหรินเหยาฝึกวิชาบ่มเพาะแบบพิเศษเขาจึงมีร่างกายที่ค่อนข้างประหลาดที่จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เขานั้นมีรูปลักษณ์งดงามที่แม้แต่สตรียังริษยา แม้ซือหยูจะเคยเห็นร่างที่งดงามของเขา เขาก็มีความรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่เจอกับเทียนเหรินเหยา
  แต่เมื่อเทียนเหรินเหยาใช้วิชาของเขาร่างกายจะเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งตั้งแต่กระดูกจนถึงเนื้อหนังจะเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขามีสองรูปลักษณ์ ซึ่งมันต่างกันราวฟ้ากับเหว
  “อ๊ะ!เจ้านี่เอง! น้องหยูเซี่ยน!”
  เทียนเหรินเหยาที่กำลังโกรธนั้นตกใจเขาทำหน้าเจ้าชูและเดินส่ายเอวเข้ามาหา
  “ทำไมเจ้าไม่มาบอกข้าก่อนล่ะ?ถ้าข้ารู้ว่าเป็นเจ้า ข้าจะจ่ายค่าเข้าให้เจ้าเสียด้วยซ้ำ ข้ารักเจ้าขนาดนั้นเลยนะน้องหยูเซี่ยน”
  ซือหยูสั่นไปทั้งตัวเขารีบหลบทางเมื่อเห็นว่ามีโลหิตไหลซึมมาจากท้องของเทียนเหรินเหยา ซือหยูตกใจที่เห็นบาดแผล
  “เจ้าบาดเจ็บรึ?เจ้าไปสู้กับใครมา?”
  เทียนเหรินเหยาเลิกคิ้วและมองต่ำ
  “อืม…ข้าพลาดอีกแล้ว”
  จากนั้นเขาจึงเงยหน้ามองซือหยู
  “น้องหยูเซี่ยนพยายามเพื่อข้าเอาชนะนางให้ได้นะ”
  เกิดอะไรขึ้น?ซือหยูเดินเข้าไปยังห้องฝึกด้วยความสงสัยว่าเทียนเหรินเหยาพูดอะไร
  เขามองรอบๆและพบว่ามียอดฝีมืออยู่มากมายแต่เส้นทางที่เทียนเหรินเหยาเพิ่งจะผ่านนั้นว่างเปล่า ศิษย์ทุกคนซ่อนตัวตามมุมอย่างกระวนกระวายราวกับแกะที่หวาดกลัว
  เมื่อเห็นว่าซือหยูเข้ามาเหล่าศิษย์ผู้ชายหลายคนก็ขยับตัวเข้าไปปกป้องศิษย์สตรีโดยกำบังไว้ด้านหลัง เพราะอสูรทั้งห้าในสายตาพวกเขานั้นน่ากลัวอย่างกับผี
  ซือหยูส่ายหน้าอย่างสิ้นหวังเขารู้ว่าทุกคนมองเขาเป็นอสูรเรือนกลางที่กล้าขมขื่นทุกคน ฉายาเช่นนี้ทำให้ซือหยูงุนงงเป็นอย่างยิ่ง
  ซือหยูละสายตาจากพวกเขาและมองไปยังห้องฝึกเงามายาที่เปิดเพียงห้องเดียวอีกเก้าห้องนั้นปิดสนิท เมื่อเข้าไปยังห้อง ประตูก็ปิดด้วยตัวเอง เขาถูกแจ้งว่าจะบ่มเพาะได้หนึ่งวันเต็ม
  เมื่อซือหยูมองรอบๆก็พบว่ามีลวดลายซับซ่อนสลักเอาไว้บนกำแพงแม้จะดูน่าฉงนสำหรับคนหลายคน มันยังทำให้รู้สึกหวาดกลัวอีกด้วย
  ในตอนนั้นเองซือหยูได้เห็นร่างเงาถือกระบี่หนึ่งร่าง จากนั้นร่างก็สลายหายไปราวกับไม่เคยอยู่ตรงนั้นเลย! ซือหยูพบว่ามันแปลกมาก
  “ใครกัน?”
  ซือหยูพยายามเพ่งสมาธิมอง
  ซึ่งแน่นอนว่าร่างเงานั้นปรากฏขึ้นอีกครั้งยิ่งเขาเพ่งสมาธิเท่าใด ยิ่งอยู่นาน มันก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาถูกปิดตายอยู่ที่นี่!
  ในตอนนั้นเองร่างเงาบนกำแพงพูดออกมา
  “เจ้าอยากประลองกับข้าหรือ?”
  ซือหยูตกตะลึงเขาเข้าใจในวันนี้ว่าห้องฝึกเงามายาเกินจากอะไร พวกเขาใช้ลวดลายประหลาดเพื่อทิ้งร่างเงาเอาไว้ที่นี่ คนที่มาบ่มเพาะจะต่อสู้ได้ตลอดเวลาเพื่อเพิ่มฐานพลังของตัวเอง
  “ไม่แปลกเลยที่ห้องพวกนี้มันแพงมันไม่ได้แพงอย่างไร้เหตุผล!”
  ซือหยูพยักหน้าช้าๆแต่เขาก็ไม่รู้ว่าร่างเงาตรงหน้าเขาแข็งแกร่งเพียงใด
  หลังจากที่ซือหยูรู้ว่าห้องนี้มีไว้เพื่อสู้เขาก็เลิกล้มความสนใจไปเลย เพราะสิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการเรียนรู้วิชาใหม่ซึ่งก็คือวิชาเก้ามังกรอสูร เขาจะต้องเรียนรู้มันโดยเร็วแล้วจึงค่อยมาลองสู้กับร่างเงาในภายหลัง
  หลังจากซือหยูปฏิเสธการต่อสู้ร่างเงาก็สลายไปเอง ซือหยูนั่งสมาธิและวางผ้าคลุมนักบวชลงบนเข่า เขาอ่านสิ่งที่เขียนไว้อย่างละเอียด
  ความต่างระหว่างวิชาอสูรและวิชาธรรมดาก็คือการรวมรวบพลังอสูรในการก่อพลังพลังอสูรนี้จำเป็นสำหรับวิชาบ่มเพาะ ขณะที่วิชาธรรมดานั้นต้องการแค่พลังชีวิตเท่านั้น
  ด้วยเหตุนี้เขาจึงจำเป็นต้องมีสิ่งเก็บพลังอสูรเพื่อที่จะเริ่มบ่มเพาะวิชาอสูร สิ่งเก็บพลังเป็นได้หลายอย่างเช่นโอสถวิญญาณ สมบัติวิเศษ หรือบางอย่างที่ใกล้เคียง
  แต่มันยากที่จะหาสิ่งของอสูรเช่นนั้นโดยเฉพาะกับภูติชั้นต้นที่มีเพียงโอสถชั้นต่ำจากตำหนักในแต่ละเดือน
  “พลังอสูรรึ?”
  ซือหยูสัมผัสแหวนมิติของตัวเองเส้นขนปรากฏออกมา เส้นขนนี้มีสีดำสนิทและแข็งราวกับเข็ม มันคือเส้นขนของอสูร
  ในอดีตเขาเคยสู้กับอสูรในกระโจมเทพสวรรค์ และเมื่อเขาสังหารมัน มันก็ทิ้งเส้นขนของมันเอาไว้หนึ่งเส้น ว่ากันว่าเส้นขนจากโลกอสูรที่มีพลังเทียบเท่าจ้าวเทวะระดับเก้า!
  ซือหยูมองเส้นขนอสูรเขาบอกได้เลยว่ามันมีพลังอสูรที่บริสุทธิ์และเข้มข้น พลังนี้เหนือกว่าพลังอสูรจากผู้บ่มเพาะวิถีอสูรทุกคน…
  หรือว่าสิ่งนี้จะมาจากโลกอสูร?
  ซือหยูคาดหวังในเรื่องนี้และเมื่อวางขนอสูรลงบนมือ เขาก็เริ่มดูดซับพลังอสูรที่แผ่ออกมาไปสู่สายพลังโลหิตภายใน เมื่อพลังอสูรเข้าสู่ร่าง เขารู้สึกเย็นยะเยือกและร้อนรุ่มรวมถึงเจ็บปวดอย่างรุนแรง ความรู้สึกเหล่านั้นถาโถมในสายพลังโลหิต
  ซือหยูขมวดคิ้วแน่นความรู้สึกเมื่อดูดซับพลังอสูรเป็นครั้งแรกนั้นยากที่จะรับไหว
  ยิ่งพลังอสูรเข้าสู่ร่างกายมากเท่าใดซือหยูก็ยิ่งรู้สึกแปลกและไม่สบายใจมากเท่านั้น เหมือนกับว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามารุกล้ำ เมื่อมองดูผิวหนังตัวเองก็พบว่ามันเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำอ่อน หัวใจของเขากระสับกระส่ายโดยไม่มีเหตุผล ยากที่เขาจะใจเย็นลงได้
  หลังเวลาผ่านไปครึ่งถ้วยชาซือหยูเบิกตาโพลง รังสีพลังอันป่าเถื่อนรุมล้อมดวงตาคู่นั้น
  “มันส่งผลต่อจิตใจข้า”
  ซือหยูพูดเบาๆและหายใจเข้าลึกเพื่อทำให้สมองโล่ง
  ว่ากันว่าผู้ที่บ่มเพาะวิถีอสูรนั้นจะอารมณ์ร้อนโหดร้าย และกระหายเลือด ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องจริง วิถีอสูรอยู่มาช้านานตั้งแต่โบราณ แม้แต่ต้นกำเนิดก็ยังไม่มีใครรู้ ผู้คนได้แต่คาดเดาว่ามันเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายและอำมหิต
  พลังอสูรในร่างกายซือหยูนั้นมากพอแล้วที่เขาจะเริ่มบ่มเพาะวิชาซือหยูมองผ้าคลุมนักบวชและเริ่มใช้พลังตามที่มันบันทึกเอาไว้
  เมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วยามในที่สุดซือหยูก็พยายามอย่างยากลำบากจนหมุนเวียนพลังอสูรในร่างกายได้หนึ่งรอบใหญ่และเก้ารอบเล็ก ตามที่วิชาบอก ร่างกายของเขาควรจะพบกับการเปลี่ยนแปลงในตอนนี้ แต่เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย!
  ขณะที่ซือหยูเริ่มสงสัยว่าเขาเหมาะสมกับการบ่มเพาะวิชานี้หรือไม่นั้นเองความเจ็บปวดที่ไม่รุนแรงนักได้เกิดขึ้นที่ระหว่างคิ้ว พร้อมกับความร้อนสูงที่แผ่ออกมาจากเนตรอสูร มันส่งผ่านไปถึงสายพลังของเขา
  มันคือโลหิตมังกรที่หลอมรวมกับเนตร!มันกระจายสู่แขนขาทั้งสี่ของซือหยูและกระดูกหลายร้อยชิ้น
  พร้อมกันนั้นเองสีดำบนผิวร่างของเขาได้เข้ามาหลอมรวมกันบริเวณอกอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงก่อตัวเป็นภาพมังกร ภาพนั้นไม่ค่อยชัดเจนเพราะยังไม่สมบูรณ์
  สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปตามที่วิชาบันทึกเอาไว้!มีแค่คนที่ครอบครองโลหิตมังกรเท่านั้นที่จะสร้างภาพของมังกรขึ้นมาได้!
  เมื่อเกิดขึ้นเช่นนี้นั่นก็หมายความว่าเขาทำสำเร็จ ตอนนี้เขาเพียงแค่ต้องดูดซับพลังอสูรและใช้วิชาก่อร่างตัวมังกรเพื่อสร้างมังกรอสูรตัวแรก!
  ซือหยูใจเย็นลงจากนั้นจึงดูดซับพลังอสูรจากขนอสูรต่อไป ขั้นตอนนี้เกิดขึ้นนานมาก ต้องใช้เวลาถึงสิบเอ็ดชั่วยามกว่าที่ซือหยูจะลืมตาขึ้นมา
  มีภาพมังกรหมอบบนหน้าอกของซือหยูมันมีสีดำทั้งตัว มันทั้งดูดุร้ายและสง่างาม ภาพมังกรนี้มีชีวิตชีวาราวกับมังกรของจริง! โดยเฉพาะดวงตาของมันก็ดูทรงปัญญา
  “ข้าบ่มเพาะมังกรตัวแรกสำเร็จแล้ว!”
  ซือหยูดีใจมาก
  วิชานี้บ่มเพาะง่ายกว่าที่เขาคิดหลายเท่าตัวนักแต่ส่วนมากก็เพราะร่างกายพิเศษของซือหยูและเพราะพลังอสูรอันบริสุทธิ์จากขนอสูรที่ทำให้เขาบ่มเพาะอย่างรวดเร็วจนสร้างมังกรตัวแรกได้สำเร็จ
  ซือหยูยืนขึ้นหันไปมองลวดลายบนกำแพงตอนนี้เขาจะทดสอบพลังของวิชาใหม่ได้เสียที!
DND.826 – กระบี่ทิศประจิม
  ไม่เคยมีใครได้ทดลองวิชานี้มาก่อนตั้งแต่มันมาอยู่ในตำหนักโลหิตเมื่อซือหยูเพ่งสมาธิเต็มพิกัด ร่างเงาที่ถือกระบี่ก็ได้ปรากฏขึ้นมา
  เขาเห็นสตรีที่ตัวสูงเป็นอย่างมากเขาคิดว่านางคือปิงหวูชิงเมื่อเหลือบมองครั้งแรก แต่อารมณ์นั้นมิได้เย็นชาไร้หัวใจดั่งเจ้าของร่างเงา นางดูอ่อนโยน สุขสงบไร้พิษภัยและใจเย็นดั่งแม่น้ำ
  “เจ้าอยากจะประลองกับข้าใช่ไหม?”
  คนในภาพบนกำแพงถามด้วยเสียงไพเราะ
  ซือหยูพยักหน้า
  “ใช่แล้ว”
  สตรีบนภาพในกำแพงพยักหน้า
  “ตกลงข้าเป็นแค่ร่างเงาที่ถูกออกแบบจากตัวจริง ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ประมือกับข้าแค่กระบวนท่าเดียว และถ้าเจ้าเอาชนะข้าได้ มันก็นับว่าสำเร็จ”
  “เข้าใจแล้วมาเริ่มกันเถอะ…”
  ซือหยูพยักหน้า
  นางชักกระบี่ช้าๆสีหน้าสุขสงบและอ่อนโยนหายไปโดยพลัน พลังอันคมกริบและรังสีที่บ่งบอกถึงการมิอาจเอาชนะได้ปะทุมาจากนาง ไม่ต่างกับว่านางกลายเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ในมือ และนางก็คือกระบี่ที่จะทำลายทุกสิ่งบนเส้นทาง!
  ซือหยูตกตะลึงในพลังอันเข้มข้นเขาสัมผัสได้ชัดเจนว่าฐานพลังของนางเทียบเท่าเขา แต่เขาก็ยังสัมผัสได้อีกว่ามีวิถีกระบี่พุ่งเข้ามาจากนาง
  “กระบี่จากประจิม…”
  ร่างเงาตะโกนและฟันกระบี่เข้าใส่
  การเคลื่อนไหวของนางค่อนข้างช้าและนางก็มิได้ใช้วิชาอื่นใดนางเพียงแค่ฟันกระบี่ใส่เขาเท่านั้น แต่ต่อหน้าท่ากระบี่นี้ ซือหยูคิดว่าไม่มีทางที่เขาจะหลบได้ไม่ว่าเขาจะพยายามหนีเท่าใด
  เขาตกตะลึงและก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อยก่อนจะตะโกน
  “มังกรเขย่าสวรรค์!”
  ซือหยูทำท่ามือทำให้พลังอสูรเอ่อล้นออกมาจากร่างอกของเขาร้อนไหม้เมื่อมังกรคำรามออกมา
  พร้อมกันนั้นมังกรดำยาวสามสิบเมตรได้บินออกมาจากร่างของซือหยู มันดุร้ายป่าเถื่อน พลังของมันนั้นโดดเด่นในเผ่ามังกรด้วยกัน ร่างของมันปกคลุมทั้งห้อง
  แม้แต่ซือหยูเองก็ตกใจกับรังสีพลังอันมหาศาลมังกรอสูรแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เขาคาดคิด และมันก็ทำให้ซือหยูรู้สึกคุ้นเคยราวกับเคยสัมผัสสิ่งนี้มาก่อนจากที่ไหนสักแห่ง
  เมื่อกระบี่และมังกรปะทะกันพลังกระบี่ได้แล่นผ่านพลังอสูรและทำลายทุกสิ่งในเส้นทาง พร้อมกันนั้นมังกรอสูรก็บินเข้าไปอย่างโกรธเกรี้ยว มันระเบิดคลื่นพลังกระบี่ที่หนาแน่น
  ปั้ง!ปั้ง! ปั้ง!
  ทั้งห้องฝึกเงามายาสั่นสะเทือนผู้คนด้านนอกที่อยู่ห้องฝึกทั่วไปถึงกับตกใจ พวกเขามองไปยังห้องฝึกของซือหยูด้วยความแปลกใจ
  สีหน้าของเทียนเหรินเหยาที่กำลังพูดคุยอยู่กับชายหนุ่มรูปงามเปลี่ยนไปเขามองไปยังห้องฝึกด้วยความตกใจ
  “ทำไมถึงสั่นแบบนี้ล่ะ?ซือหยูเซี่ยนทำอะไร?”
  มังกรอสูรท้าทายพลังอยู่กับกระบี่ร่างเงาได้ประกาศอย่างใจเย็น
  “เสมอกัน”
  หากทั้งสองมิอาจทำอะไรกันได้การต่อสู้ก็จบลงด้วยการเสมอ ร่างเงาสลายไปหลังจากพูดจบ
  ซือหยูที่มิอาจเอาชนะนับว่าล้มเหลวแต่ซือหยูเพียงแค่อยากจะพัฒนาฝีมือในวิชาใหม่ผ่านการฝึก เขาจึงไม่สนใจกับการประลองนี้มากนัก มิเช่นนั้น ถ้าเขาใช้พลังทั้งหมด ร่างเงาก็คงสลายไปง่ายๆแล้ว
  กริ๊ง!
  เสียงเบาๆดังประตูศิลาเปิดด้วยตัวเอง เวลาหนึ่งวันของเขาจบลงแล้ว
  เร็วขนาดนี้เชียวรึ?แม้ซือหยูอยากจะประลองต่อ เขาก็รู้ตัวว่าต้องกดพลังอสูรของตัวเองและเก็บเส้นขนอสูรที่พลังหายไปมาก
  พลังอสูรจำนวนมากนั้นถูกการบ่มเพาะมังกรอสูรดูดกลืนไปเห็นทีซือหยูคงจะต้องหาสิ่งที่มีพลังอสูรมาอีก
  เขาจึงยืนขึ้นและออกจากห้องศิลาเมื่อเดินออกมาภายนอก เทียนเหรินเหยาก็เดินเข้ามาหาเขา
  เมื่อมาถึงตัวซือหยูและเห็นว่าเขาปลอดภัยดีเขาก็ถามอย่างแปลกใจ
  “น้องหยูเซี่ยนเจ้าทำอะไรในนั้นน่ะ? ข้างนอกสั่นจนข้ากลัวไปหมด”
  ซือหยูพูด
  “พข้าก็แค่ประกระบวนท่ากับร่างเงาบนกำแพงเพื่อฝึกวิชาใหม่นางแข็งแกร่งดีนะ!”
  “เจ้าประลองกับเจี๋ยนอู๋เชิงรึ?”
  เทียนเหรินเหยาตกตะลึงหลังจากมองดูซือหยูอีกครั้งเขาก็ถาม
  “ผลการประลองเป็นยังไง?เจ้ายอมแพ้รึเปล่า?”
  หลังจากถูกถามซือหยูก็คิดในใจ…ผู้หญิงคนนั้นชื่อเจี๋ยนอู๋เชิงรึ? เหมือนชื่อผู้ชายไม่มีผิด!
  ซือหยูตอบ
  “ยอมแพ้อะไร?ข้าไม่ได้ยอมแพ้”novel-lucky
  เทียนเหรินเหยาผงะไปข้างหลัง
  “แล้วผลการประลองเป็นยังไง?”
  เทียนเหรินเหยาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถ้าซือหยูไม่ได้ยอมแพ้ เขาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงปลอดภัยดีอยู่ เพราะฐานพลังของร่างเงาในภาพบนกำแพงจะถูกปรับให้อยู่ในระดับเดียวกับผู้ท้าทาย
  เทียนเหรินเหยาเองเข้าท้าประลองไปหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยเอาชนะนางได้นี่ไม่ได้เกิดกับเขาเพียงคนเดียว เพราะไม่เคยมีใครเอาชนะนางได้
  นั่นเป็นเพราะเจี๋ยนอู๋เชิงคือตำนานแห่งตำหนักโลหิตและดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปดไม่มีใครที่มีรังสีพลังเหมือนนาง และไม่มีใครที่ป้องกันกระบี่เดียวของนางได้ นางยังไร้พ่ายมาจนถึงทุกวันนี้!
  “เสมอเพราะนางแข็งแกร่งเกินไป…”
  ซือหยูตอบ
  เทียนเหรินเหยาตาแทบหลุดออกจากเบ้าเขาสูดหายใจเข้าลึก
  “เจ้าสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงแล้วเสมองั้นเรอะ?”
  เมื่อคำพูดของเขาดังออกไปสายตาหลายคู่ก็หันมามองบุรุษทั้งสองด้วยความหวาดกลัวและตกใจ ราวกับว่าพวกเขามองเห็นซือหยูเป็นสัตว์ประหลาด
  ซือหยูรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆจึงถามออกมา
  “เจี๋ยนอู๋เชิงเป็นคนพิเศษงั้นหรือ?”
  เมื่อได้ยินคำถามทุกคนเงียบสนิทและจ้องมองซือหยูราวกับมนุษย์ต่างดาว เทียนเหรินเหยาจ้องมองและถาม
  “เจ้าไม่ได้มาจากจิวโจวเรอะ?เจ้าไม่รู้จักเจี๋ยนอู๋เชิงได้ยังไง?”
  ซือหยูตกใจและรีบพูด
  “ข้าอยู่ป่าลึกมาตั้งแต่เกิดข้าไม่ค่อยรู้เรื่องราวของโลกนัก โปรดเล่าเรื่องของนางให้ข้าฟังจะได้หรือไม่?”
  ใบหน้าเทียนเหรินเหยาเต็มไปด้วยความกังขาแต่เขาก็ตัดสันใจที่จะไม่คิดอะไรมาก เพราะคนที่อาศัยอยู่ในป่าลึกย่อมเป็นธรรมดาที่จะไม่รู้เรื่องนี้
  เขาอธิบายกับซือหยู
  “หากเจ้าเป็นศิษย์ตำหนักโลหิตเจ้าก็ต้องรู้ถึงนามเจี๋ยนอู๋เชิงอันเลื่องชื่อ นางเคยเป็นหนึ่งในศิษย์ตำหนักโลหิต นางเคยเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยของนาง ไม่มาใครป้องกันกระบี่ของนางได้!”
  ยอดฝีมือไร้เทียมทานรึ?ซือหยูพยักหน้า
  เขาไม่ตกใจเมื่อได้ฟังเพราะเขาเคยเห็นยอดฝีมือไร้เทียมทานมาหลายคนแล้วกู้ไทซูก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาถึงกับเคยต่อสู้กับซือหยูไปหลายกระบวนท่า ซือหยูคิดว่าเขาไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษอะไรอย่างที่ผู้คนกล่าวถึงนัก
  “ถ้าเช่นนั้นนางยังอยู่ในตำหนักโลหิตหรือไม่?”
  ซือหยูถาม
  เทียนเหรินเหยาตอบ
  “นางออกจากตำหนักโลหิตไปเมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้วนางตอนนี้เป็นหนึ่งในราชาของเก้าเขต นางคือราชินีแห่งเขตกระบี่ไร้ใจ”
  หนึ่งในราชาทั้งเก้ารึ?ซือหยูตกใจมาก เขาไม่คิดว่าเจี๋ยนอู๋เชิงจะเป็นราชินีเขต!
  นั่นหมายความว่าเขาเพิ่งจะต่อสู้กับราชินีเขตที่มีฐานพลังของภูติระดับสาม!ไม่แปลกเลยที่ผู้คนจะตกใจเมื่อเขาเสมอกับนาง
  แม้แต่ซือหยูก็ตกใจกับความรู้ใหม่เขารีบใจเย็นลง เขารู้สึกภูมิใจที่สามารถรับมือกับราชินีได้
  “หืม…อย่างนี้เองสินะ”
  ซือหยูพยักหน้า
  เมื่อเทียนเหรินเหยาเห็นสีหน้าโอหังของซือหยูก็อยากจะบีบคอเขาให้ตาย
  “เจ้าไม่มีสีหน้าอื่นแล้วรึไง?เจ้าไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เจ้าทำไปมันน่าตกใจแค่ไหน”
  ซือหยูยักไหล่
  “โอ้จริงรึ? ห้องเปิดแล้วนะ ถ้าอยากจะประลองกับนางก็รีบไปเถอะ”
  ในขณะนี้ซือหยูกำลังขาดเงิน เขามีคะแนนเหลือเพียงแค่สองพันคะแนนที่ไม่มากพอจะเข้าไปแม้สักครั้ง
  เทียนเหรินเหยาสั่นไปทั้งตัวด้วยความโกรธเขารีบเข้าไปยังห้องฝึกเงามายา
  “ก็ได้ข้าจะลอง ร่างเงาต้องเสียหายแน่ๆ ข้าจะไปตรวจดู…”
  …..
  “อ๊าาาา!”
  หลังจากเขาเข้าไปห้านาทีเสียงกรีดร้องก็ดังมาจากภายในห้อง ทันใดนั้นเทียนเหรินเหยาก็วิ่งออกมา
  เขากรีดร้องอีกครั้ง
  “อ๊าายย!ร่างเงาไม่ได้เสียหายอะไร! เป็นน้องหยูเซี่ยนนั้นแหละที่มีปัญหา เจ้า…เจ้าคืออสูรตัวจริงแห่งเขาอสูร!”
  ข่าวแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วทุกคนตกตะลึงเมื่อได้ข่าว!
  ขณะนั้นเองในห้องที่เรือนจ้าวหอเพลิงคลั่ง เว่ยเจิงกับเสวี่ยฉีนั่งตรงข้ามกับจ้าวหอเพลิงคลั่ง
  “ท่านอาใยไม่กลับตำหนักในเสียทีเล่า?”
  เสวี่ยฉีเกลี้ยกล่อม
  จ้าวหอเพลิงคลั่งไม่สนใจนางเหลือบมองและถามกลับ
  “อะไรกัน?เจ้าก็มาตำหนักนอกเพื่อดูการทดสอบประจำฤดูเพื่อเลือกคนให้เจ้าตำหนักซ้าย!”
  เสวี่ยฉีหมดหวังต่อท่านอาไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรนางก็จะไม่มีวันกลับ นางจึงถอนหายใจ
  “การมาช่วยศิษย์พี่เว่ยเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ข้าต้องมาตำหนักนอกแต่เหตุที่ข้าต้องมาที่นี่ก็เพราะข้าได้ยินว่าซือหยูเซี่ยนกลับมาแล้ว ข้าอยากจะขอบคุณที่เขาช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
  เรื่องที่ซือหยูช่วยชีวิตนางนั้นมิใช่ความลับ
  “เอาเถอะตอนนี้เขาอยู่ที่เขาอสูร เจ้าไปหาได้ทุกเมื่อ”
  จ้าวหอเพลิงคลั่งพูดอย่างเรียบเฉยโดยไม่ใส่ใจนัก
  เว่ยเจิงหัวเราะเบาๆ
  “ศิษย์น้องเสวี่ยเจ้าต้องไปจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว จะดีกว่าถ้ารีบตอบแทนบุญคุณเขา เขาจะได้ไม่มาติดพันกับเราในเรื่องนี้ภายหลัง มันจะทำให้คนคิดว่าเขามาจากสำนักตำหนักซ้าย เขาจะใช้ชื่อของเจ้าตำหนักซ้ายก่อเรื่องในตำหนักนอก นั่นจะทำให้ชื่อเสียงเรามัวหมอง!”
  เสวี่ยฉีขมวดคิ้วเว่ยเจิงพูดแรงเกินไปแล้ว! ถึงนางจะรู้จักซือหยูไม่นาน นางก็รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนที่จะทำแบบนั้น!
  “ศิษย์พี่เว่ยถ้าเขาอยากจะเข้าร่วมสำนักซ้าย เขาก็คงตกลงตั้งแต่เมื่อวานไปแล้ว ทำไมเขาจะต้องใช้ชื่อของฝ่ายเราหาผลประโยชน์ด้วย? เหลวไหลสิ้นดี!”
  เสวี่ยฉีพูดอย่างไม่พอใจ
  เว่ยเจิงยังคงยิ้มตอบ
  “หึ…มันก็อาจจะรู้มาล่วงหน้าแล้วว่าไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมสำนักซ้ายจึงปฏิเสธข้อเสนอ…เพื่อที่จะให้ตัวเองดูมีค่า!ข้าเคยเห็นคนเช่นนี้มามากมาย ข้าไม่ได้แปลกใจกับพฤติกรรมแบบนั้นเลย”
  เสวี่ยฉีไม่พอใจมากถึงเว่ยเจิงจะแข็งแกร่ง เขาก็จองหองเกินไปและดูถูกผู้คนอยู่เสมอ
  ในตอนนั้นเองสาวใช้รีบเข้ามารายงานบางอย่าง นางกระซิบที่หูจ้าวหอเพลิงคลั่ง จ้าวหอเพลิงคลั่งแสดงสีหน้าตกใจ
  “มันเกิดขึ้นจริงๆรึ?”
  “ถูกแล้วท่านมีศิษย์นอกหลายคนเป็นพยาน แม้แต่เทียนเหรินเหยาก็อยู่ที่นั่น”
  เสวี่ยฉีเลิกคิ้วถาม
  “ท่านอาเกิดอะไรขึ้น?”
  นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นความตกใจบนใบหน้าของท่านอา
  จ้าวหอเพลิงคลั่งกลับมาใจเย็นและเหลือบมองเว่ยเจิงจากนั้นนางจึงแสร้งยิ้ม
  “มันไม่น่าพูดถึงหรอกก็แค่ข่าวจากห้องฝึก มีศิษย์นอกคนหนึ่งประลองเสมอกับเจี๋ยนอู๋เชิง”
  เสวี่ยฉีตกตะลึง
  “เป็นไปไม่ได้!”
  รอยยิ้มของเว่ยเจิงหายไปเขาตาเป็นประกาย
  “คนที่ประลองคือใครกัน?”
  เว่ยเจิงตกใจยินดีเพราะไม่มีใครเลยที่ต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงแล้วจะเสมอกัน
  หากคนผู้นี้ทำได้เขาก็ต้องมีคุณสมบัติที่โดดเด่นและเป็นยอดของยอดอัจฉริยะเท่านั้น หากเขารับคนผู้นั้นเข้าสำนักซ้าย เขาก็จะได้รางวัลอย่างงามจากเจ้าตำหนักซ้าย!
  จ้าวหอเพลิงคลั่งหัวเราะเบาๆ
  “เจ้าจะตกใจไปทำไม?เจ้าไม่ได้เคยเห็นเขาแล้วหรอกรึ?”
  เว่ยเจิงผงะหลังเขาเริ่มคิดถึงศิษย์ที่รับมาจากสำนักรอง เขาเริ่มครุ่นคิดว่าใครกันที่มีโอกาสสูงที่สุดที่จะทำเช่นนั้นได้…