ตอนที่ 827-828

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.827 – ชุมนุมล้างผลาญ
  “เสวี่ยเหลียนบอกพวกเราเถอะว่าอัจฉริยะคนนั้นคือใคร เราต้องชิงตัวเขามาที่สำนักซ้ายให้ได้!”
  เว่ยเจิงสีหน้าหนักแน่น
  จ้าวหอเพลิงคลั่งยิ้มมุมปากและตอบ
  “เขาก็คือซือหยูเซี่ยนที่ไม่มีคุณสมบัติในการเข้าสำนักซ้ายยังไงล่ะเว่ยเจิง ถ้าเจ้าไม่ชอบเขา มันก็น่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต่อสู่กับเจี๋ยนอู๋เชิงที่ระดับพลังเดียวกันได้ใช่ไหม? มันต้องเป็นข่าวลือแน่นอน…หึหึ…”
  เว่ยเจิงตัวแข็งเป็นหินในทันที…มันเป็นไปได้ยังไง?
  “ข้าไม่เชื่อ!”
  หลังกลับมาได้สติสีหน้าเว่ยเจิงเปลี่ยนไป เขาส่ายหน้า
  “ข้าตัดสินผู้คนได้แม่นยำข้าต้องไม่พลาดแน่ คนคนนั้นมีพรสวรรค์ตัดขัด ข่าวเรื่องที่เขาต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงต้องได้รับการยืนยัน”
  “หึหึเดี๋ยวเจ้าก็รู้ในวันทดสอบประจำฤดูมิใช่รึ?”
  จ้าวหอเพลิงคลั่งอารมณ์ดีนางจิบชาอย่างเป็นสุข
  เสวี่ยฉีไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน
  “ไม่ต้องพูดแล้ว!ข้าจะไปหาเขาตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เราจะต้องไม่ปล่อยให้สำนักขวามาลูบคมได้”
  เล่าอ๋ายกับเฉาฉิงเฟิงได้ข่าวเดียวกันทั้งคู่ตกตะลึง
  “เขาน่ะรึ?เป็นไปไม่ได้!”
  เฉาฉิงเฟิงส่ายหัวเขาไม่คิดจะเชื่อข่าวลือนี้
  เล่าอ๋ายครุ่นคิดอย่างหนัก
  “มีโอกาสเป็นเรื่องจริงมีหลายคนพบเห็น ไม่น่าจะเป็นแค่ข่าวโคมลอย”
  “ถ้าข้ารู้ก่อนหน้านี้ว่ามันมีพลังขนาดนี้ข้าก็คงจะเร่งรัดเรื่องหวูชิงมากขึ้น แต่ตอนนี้ข้าหยุดอะไรไม่ได้แล้ว”
  เล่าอ๋ายโศกเศร้า
  แต่ทั้งคู่นั้นเป็นดั่งไฟกับน้ำแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ซือหยูจะเข้าร่วมสำนักขวา หากเจ้าตำหนักขวาได้ยินว่าเขาพลาดยอดอัจฉริยะเพราะเรื่องบาดหมางส่วนตัว พวกเขาก็คงจะถูกลงโทษสถานหนัก! เขาทั้งหวาดกลัวและกระวนกระวายเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
  “จะชักช้าไม่ได้!ถ้าเรื่องพลังของมันถูกยืนยัน มันจะถูกเจ้าตำหนักซ้ายรับเข้าไป พอถึงตอนนั้นเจ้าตำหนักขวาต้องโกรธแน่! เราต้องไม่ปล่อยให้มันเข้าสำนักซ้าย!”
  เล่าอ๋ายพูดอย่างร้อนรน
  เฉาฉิงเฟิงพูดอย่างลึกล้ำ
  “เราจะทำยังไง?”
  ความป่าเถื่อนปรากฏในแววตาเล่าอ๋าย
  “ต้องทำร้ายมันให้เจ็บสาหัสหรือฆ่ามันก่อนการทดสอบมีวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้มันเข้าร่วมการทดสอบไม่ได้”
  หลายคนยังคงไม่เชื่อว่าซือหยูมีพลังพอที่จะต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงพวกเขาจึงต้องตั้งตารอการทดสอบที่กำลังจะมาถึง นี่เป็นเหตุที่พวกเขาต้องปิดปากซือหยูก่อนการทดสอบเพื่อป้องกันไม่ให้เขาขึ้นลานประลองและถูกผู้คนประเมิน
  แม้พวกเขาจะถูกตั้งคำถามกับเรื่องนี้แต่ถ้าเป็นการกำจัดอันตราย มันก็คุ้มค่า
  “แต่ตำหนักหวงห้ามการสังหารเราจะทำได้ยังไง?”
  เฉาฉิงเฟิงถามด้วยความสงสัย
  เล่าอ๋ายหัวเราะเบาๆอย่างเย็นชา
  “เจ้าต้องให้ข้าบอกอีกรึ?เจ้าไม่ได้วางกับดักนายน้อยเสเพลนั่นแล้วหรือยังไง? นี่แหละเวลาที่จะใช้งานมัน”
  เฉาฉิงเฟิงเข้าใจทุกอย่างในทันทีเรายิ้มเยาะที่มุมปากและหัวเราะ
  “หึหึข้าเกือบลืมไอ้ขยะนั่นไปเลย…”
  ณตำหนักใน
  “ท่านเจ้าตำหนักโปรดให้ข้าออกไปเถอะ ข้าอยากจะประลองกับคนคนหนึ่ง”
  สตรีผอมงดงามผู้มีเรือนร่างสง่าคุกเข่าเงียบๆหน้าประตูศิลา
  มียอดฝีมือสูงสุดผู้หนึ่งที่สามารถสั่นคลอนดินแดนพรสวรรค์ได้อยู่หลังประตูนี้ นางคือม่อเทียนฉวน
  “ศิษย์นอกที่สู้กับแม่เจ้าน่ะรึ?”
  เสียงนั้นส่งผ่านมาจากประตู
  “ไม่จำเป็นหรอกตอนนี้เจ้ากลับไปก่อน”
  สตรีหน้าประตูลังเลก่อนจะกลับไปอย่างไม่เต็มใจขณะสตรีที่อยู่อีกฟากของประตูนั้นกำลังบ่มเพาะพลังอย่างเงียบๆ
  ชั้นพลังภูติผีสีดำปรากฏบนฝ่ามือนางซือหยูจะจำได้ทันทีหากเขาอยู่ที่นี่ เพราะมันคือพลังที่ชั่วร้ายอย่างมากที่เขาชะล้างออกไป
  “ไอ้แก่นั่นหายไปไหนกัน?แล้ว…ใครกันที่ได้กงจักรข้าไป?”
  ม่อเทียนฉวนถอนหายใจเบาๆ
  นางคือสตรีแต่งบุรุษที่เคยถูกซือหยูช่วยชีวิตนางคือผู้ปกครองแห่งตำหนักโลหิต ม่อเทียนฉวน
  นางยังไม่ประกาศว่านางเสียสมบัติภูติวิถีอสูรไปนางกลับส่งคนไปสืบเรื่องนี้อย่างลับๆโดยหวังว่าพวกเขาจะหาเจอและคืนนางมาโดยเร็ว
  นางยังบอกให้คนเดียวกันทำภารกิจสำคัญอีกอย่างนั่นก็คือตามหาชายแก่คนนั้น เพราะปัญหาเก่าของนางจะถูกแก้ไข่หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเขา
  ซือหยูไม่รู้เรื่องนี้เลยเขากลับไปยังเขาอสูรช้าๆ เขาตั้งใจจะบ่มเพาะพลังที่นั่นสักระยะก่อนจะเข้าร่วมการทดสอบประจำฤดู
  แต่ทันทีที่เขานั่งลงเขาก็สัมผัสถึงพลังกระบี่ที่พุ่งเข้ามาจากนอกบ้าน! ซือหยูตกใจมาก สายฟ้าเข้าล้อมรอบกาย เขาย้ายตัวเองไปไกลร้อยศอก ปรากฏตัวเหนือเรือนตัวเอง
  เมื่อก้มลงมองก็พบปิงหวูชิงนางถือกระบี่วิ่งไปยังเรือนกลาง นางฟันเรือนกลางเป็นเสี่ยงๆด้วยกระบี่ ตอนนี้เรือนของซือหยูกลายเป็นซากแล้ว
  ซือหยูโกรธเมื่อเห็นสิ่งที่นางทำ
  “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึ?”
  ปิงหวูชิงหันไปชี้กระบี่หาซือหยู
  “ซือหยูเซี่ยนข้าขอท้าเจ้าต่อสู้!”
  ซือหยูค่อนข้างจะสับสน
  “เจ้าไม่สบายเรอะ?ทำไมจู่ๆถึงอยากจะมาประลองกับข้า?”
  “ข้าได้ยินว่าเจ้าต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงข้าเลยอยากจะประลองกับเจ้า ไม่ต้องห่วง ข้าจะกดฐานพลังให้เทียบเท่าเจ้า”
  ปิงหวูชิงอยากให้การต่อสู้นี้เกิดขึ้นมานานแล้ว
  เจี๋ยนอู๋เชิงอีกแล้วรึ?เขาแค่ลองวิชาใหม่ ใครจะไปคิดว่าปัญหาจะมาถึงตัวเขาเร็วเช่นนี้!
  “หืม…คู่รักกำลังทะเลาะกันนี่นาข้าต้องรีบยกเก้าอี้มานั่งดูแล้ว”
  กงซุนหวูซื่อผู้ปรารถนาให้โลกลุกเป็นไฟอยู่ตลอดเวลานั้นหัวเราะเบาๆเมื่อลากเก้าอี้มานั่งมอง
  นางใช้สองมือเท้าคางและดูทั้งสองอย่างตื่นเต้นความวุ่นวายทำให้ไป่ชานเหลียงกับเทียนเหรินเหยาสัมผัสได้ ทั้งสองก็เข้ามาดูเช่นกัน
  “นี่พวกเจ้าต่อสู้ข้างนอกกันจะดีกว่า ถ้าพวกเจ้าทำลายเรือนหมด พวกเราต้องไปนอนข้างถนนนะ!”
  ไป่ชานเหลียงบอกให้ทั้งสองคิดถึงเรื่องที่พักอาศัย
  เทียนเหรินเหยามองปิงหวูชิงด้วยความโกรธ
  “น้องหยูเซี่ยนอย่าไปกลัวนาง ข้าจะช่วยเจ้าเอง! มาเอาชนะนางด้วยกันเถอะ! ไม่มีอะไรทนความรักของเราได้หรอก!”
  พวกนี้เป็นกลุ่มคนพิสดารโดยแท้จริง!เส้นเลือดปูดโปนที่หน้าผากของซือหยูเมื่อมองปิงหวูชิงอย่างรำคาญใจ
  “มิใช่ว่าการทดสอบประจำฤดูกำลังจะเริ่มรึ?เจ้ารอสักหน่อยไม่ได้รึไง? ข้าเพิ่งจะต่อสู้มา ถ้าเจ้าอยากจะเอาเปรียบข้าก็เข้ามาเลย”
  “ข้าต้องการการต่อสู้ที่ยุติธรรมข้าจะเอาเปรียบเจ้าได้ยังไง?”
  ปิงหวูชิงเก็บกระบี่ลงฝัก
  “ก็ดีบาดแผลของข้าฟื้นคืนเกือบเต็มที่แล้ว ในการต่อสู้วันทดสอบ ข้าจะเอาคืนฝ่ามือที่เจ้าลอบกัดข้าวันนั้น!”
  ซือหยูหน้าแดงก่ำนางกัดไม่ปล่อยจริงๆ!
  “อ๊าา!น่าเบื่อซะจริง”
  กงซุนหวูซื่อทำหน้ามุ่ย
  ซือหยูมองเรือนของตัวเองที่กลายเป็นซากเขากลายเป็นคนไร้บ้านในค่ำคืนนี้
  “ศิษย์น้องใยคืนนี้ไม่มาอยู่กับข้าล่ะ?”
  ไป่ชานเหลียงถามเมื่อเห็นปัญหาของซือหยู
  ซือหยูย่อมไม่ปฏิเสธข้อเสนอมีน้ำใจแต่เมื่อกำลังจะตอบตกลง เทียนเหรินเหยาก็พูดอย่างโศกเศร้า
  “พี่ชานเหลียงนิสัยไม่ดีอีกแล้วอยากจะให้น้องซือหยูลองพิษสินะ?”
  ซือหยูตกใจเขามองไป่ชานเหลียง
  “เหลวไหล!ข้าจะปล่อยให้ศิษย์น้องที่รักลองยาพิษได้ยังไง? อย่าพูดแบบนั้นอีกนะ เจ้าจะทำให้ชื่อของข้าดูไม่ดี…”
  ไป่ชานเหลียงตะโกนราวกับผู้มีคุณธรรม
  แต่ทันใดนั้นก็มีขวดสีต่างๆตกลงมามากมายจากแขนเสื้อเมื่อเขาโบกมือมันกลิ้งไปมาบนพื้น
  เมื่อซือหยูมองก็พบว่าแต่ละขวดมีฉลากเขียนเอาไว้…
  “ผงห้าพิษสะบั้นไส้”
  “ยาพิษเมาตาย”
  “น้ำพิษตายเก้าชีวิต”
  …
  เส้นเลือดบนหน้าผากซือหยูปูดโปนขึ้นมาอีกครั้งไป่ชานเหลียงอับอายมาก เขารีบเก็บขวดยาพิษและอาเจียนโลหิตออกมาเป็นจำนวนมาก!
  เขารีบเอามือทาบอก
  “แย่แล้ว!ข้าต้องรีบกลับไปพัก!”
  หลังจากเขาออกไปเทียนเหรินเหยาก็ถามอย่างเจ้าชู้
  “น้องหยูเซี่ยนมานอนกับข้าคืนนี้สิ!”
  ซือหยูสั่นไปทั้งตัว
  “ไสหัวไป”
  ความคิดอยากจะต่อสู้ในแววตาปิงหวูชิงระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง
  “ซือหยูเซี่ยนทำไมไม่มาที่เรือนข้าล่ะ?”
  ซือหยูปวดหัวเมื่อมองแววตานางมันน่าพอใจที่สาวงดงามชวนเข้าเรือน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงดึงดูดใจนัก
  ในตอนนั้นเองเสียงหัวเราะอันไพเราะเบาๆดังขึ้น
  “ฮ่าๆๆ…พี่หยูเซี่ยนไม่มาเรือนข้ารึ? ข้าทั้งว่านอนทั้งสอนง่าย…”
  ว่านอนสอนง่ายเรอะ?ซือหยูจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของอสูรน้อยได้ยังไง? แต่ดูเหมือนว่านางจะอันตรายน้อยกว่าอสูรคนอื่นๆ
  “ก็ได้คืนนี้ข้าขอรบกวนเจ้า ศิษย์พี่หวูซื่อ”
  ซือหยูกล่าว
  อสูรน้อยหัวเราะซือหยูไม่รู้ว่านางวางแผนชั่วอะไรอยู่ ขณะนั้นเอง เสวี่ยฉีก็ได้มาถึง นางค่อนข้างตกใจเมื่อมองเขาอสูร
  นางถาม
  “พวกเจ้าเริ่มชุมนุมอสูรกันรึ?”
  “ชุมนุมล้างผลาญล่ะสิไม่ว่า…”
  ซือหยูชี้เรือนตัวเองที่กลายเป็นซากไม้
  “ศิษย์พี่เสวี่ยฉีมาหาข้ามีเรื่องอันใดรึ?”
  ซือหยูถามเข้าประเด็น
  เสวี่ยฉีหัวเราะอย่างอ่อนหวานและทำใบหน้ายั่วยวน
  “ศิษย์น้องข้ามาหาเจ้าเฉยๆไม่ได้หรืออย่างไร?”
  หลังจากแหย่เขาจบนางก็ทำใบหน้าจริงจัง
  “ข้ามาที่นี่เพื่อขอบคุณเจ้าที่ช่วยข้าในวันนั้นข้าขอบคุณเจ้ามากจริงๆ โปรดให้ข้าได้จ่ายหนึ่งหมื่นคะแนนเพื่อล้างหนี้ที่เจ้าติดกับนักเลงหลงเถอะ”
  ซือหยูไม่ลืมเรื่องนี้แต่เขาก็โบกมือปฏิเสธ
  “ข้าไม่ยอมให้ใครอื่นจ่ายหนี้ของข้าแต่ข้ายินดีกับความหวังดีจากเจ้า ส่วนเรื่องการช่วยเจ้านั้นเป็นความรับผิดชอบของข้าอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลไปนัก”
  เสวี่ยฉีมองซือหยูนางยืนยันได้แล้วจริงๆว่าเขามีนิสัยดี
  “ศิษย์พี่มีเรื่องอื่นใดอีกหรือไม่?”
  ซือหยูถาม
  เมื่อเสวี่ยฉีจะตอบนางก็มีสีหน้าเคร่งเครียด
  “ข้าแค่อยากจะยืนยันเรื่องหนึ่งข้าได้ยินว่าเจ้าต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิง มันเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่?”
  “จริง”
  ซือหยูตอบ
  เสวี่ยฉีเบิกตากว้าง
  “เป็นเรื่องจริงสินะ…”
  หลังจากที่นางคิดนางก็พูด
  “ศิษย์น้องเจ้าคิดจะ…”
  ฟึ่บ!
  ก่อนที่นางจะพูดจบมีหนึ่งคนรีบพุ่งมายังเขาอสูรและหยุดอยู่หน้าทางเข้า เขามองรอบๆและก็ทำหน้าดีใจเมื่อเห็นซือหยู
  “น้องซือได้โปรดช่วยชางก่วนหยุนซื่อด้วย เจ้าเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้”
  “ชางก่วนหยุนซื่อรึ?เกิดอะไรขึ้น?”
  ซือหยูถามคนที่เพิ่งมา
  ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นชางก่วนเฟยยอดฝีมือจากตระกูลชางก่วนที่ซือหยูเคยช่วยชีวิตในป่าขังภูติ ในตอนนี้มีโลหิตไหลออกมาจากมุมปากของเขา มีรอยฝ่ามือแดงทิ้งไว้บนใบหน้า เสื้อผ้าของเขาเลอะฝุ่นเต็มไปหมด เขาเพิ่งจะถูกทำร้ายมา
  “พี่หยุนซื่อถูกเฉาฉิงเฟิงจับตัวไปเขาอยากจะทำลายจุดกำเนิดพลังของพี่หยุนซื่อ”
  ชางก่วนเฟยรีบพูดอย่างกังวลใจ
  ซือหยูตกใจเมื่อได้ฟัง
  “เฉาฉินเฟิงรึ?มันกล้าจับคนในตำหนักแล้วยังจะทำลายฐานพลังอีกหรือ?”
  กฎของตำหนักเด็ดขาดและเข้มงวดนอกจากฝ่ายคุมกฎก็ไม่มีใครกล้าลงโทษคนอื่นด้วยตัวเอง!
  “เป็นเฉาฉิงเฟิงนั่นแหละ!เดือนก่อน พี่หยุนซื่อเป็นคนค้ำประกันให้สหายสามคนที่ยืมหนึ่งหมื่นคะแนนจากตลาดมืดด้วยดอกเบี้ยมหาศาล ใครจะไม่คิดว่าสามคนนั้นจะคิดชั่วหนีไปหลังจากยืมหนึ่งแสนคะแนน? นี่เป็นเวลาใช้หนี้ของพวกมัน แต่พวกมันหนีไปแล้ว! ตอนนี้พี่หยุนซื่อต้องจ่ายทุกอย่างชดใช้ให้มัน!”
  “ถ้าพี่หยุนซื่อจ่ายคืนไม่ได้เขาจะถูกทำลายฐานพลังตามข้อตกลงของปฏิญาณสัตย์ดวงใจ!”
  คำประกันงั้นรึ?ซือหยูนึกขึ้นได้ว่าชางก่วนหยุนซื่อเป็นคนค้ำประกันหนี้ให้สหายทั้งสาม ในตอนนั้น ซือหยูถึงกับเตือนเขาในเรื่องการเชื่อใจเพื่อนดื่มกินง่ายๆ แต่ชางก่วนหยุนซื่อก็ปฏิเสธเพื่อนรักษาหน้า ตอนนี้เขาเลยตกมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้!
  “ไม่ต้องห่วงหรอกพี่หยุนซื่อร่ำรวยอยู่แล้ว เขาน่าจะจ่ายหนึ่งแสนคะแนนได้มิใช่รึ?”
  ซือหยูถามอย่างไม่สนใจนัก
  ชางก่วนเฟยยิ้มอย่างขมขื่น
  “ถ้าแค่แสนคะแนนมันก็ง่ายแต่หนึ่งเดือนผ่านไป ดอกเบี้ยสะสมทวีจนกลายเป็นห้าแสนคะแนนแล้ว!”
  ซือหยูสีหน้าหม่นหมองการออกดอกเบี้ยสูงขนาดนี้เป็นการกู้ยืมที่น่าสยดสยอง เมื่อถึงเวลาจ่ายหนี้คืน ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายมักจะสูงกว่าเงินที่หยิบยืมไป!
  “เขาโง่ขนาดนั้นได้ยังไง?”
  ซือหยูส่ายหน้าเพราะชางก่วนหยุนซื่อเป็นนายน้อยตระกูลใหญ่ เขาไม่ควรจะดูถูกพวกตลาดมืด
  ชางก่วนเฟยกังวลจนแทบร้องไห้
  “น้องซือได้โปรดช่วยพี่หยุนซื่อด้วยเถอะ ข้าส่งคนไปบอกพี่ชิงเอ๋อแล้ว แต่นางต้องใช้เวลาหนึ่งวันกว่าจะเดินทางมาถึง พอถึงตอนนั้นก็คงสายไปแล้ว มีแค่เจ้าเท่านั้นที่จะช่วยพี่หยุนซื่อได้”
  ชางก่วนหยุนซื่อเป็นคนมีคุณธรรมเขามักจะใจดีกับซือหยูเสมอ ซือหยูย่อมไม่ทอดทิ้งเขาในยามยาก ยิ่งไปกว่านั้นสัญชาตญาณยังบอกเขาว่าชางก่วนหยุนซื่อกำลังตกเป็นเหยื่อของแผนการใครบางคน
  สหายกินสามคนนั้นจะต้องถูกเฉาฉิงเฟิงจ้างมาตีสนิทกับชางก่วนหยุนซื่อเพื่อที่สุดท้ายเฉาฉิงเฟิงจะบงการเขาได้เฉาฉิงเฟิงผู้นี้ไม่เคยเลิกรา!
  แววตาซือหยูเยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง
  “ชางก่วนเฟยใครบอกให้เจ้ามาหาข้า?”
  ชางก่วนเฟยรีบตอบ
  “ข้าได้ยินคนพูดว่าเจ้าได้คะแนนมหาศาลมาจากเขาวิญญาณจรัสพวกเขาพูดว่าเจ้าจะแบ่งให้พี่หยุนซื่อยืมได้บ้าง”
  ซือหยูติ้วกระตุกเขายิ้มอย่างเย็นชาที่มุมปาก
  “บังเอิญเหลือเกินแต่ก็ต้องเป็นมัน เฉาฉิงเฟิงอยากจะจัดการข้ามาตลอด!”
  ซือหยูถอนหายใจแรง
  เพราะมีแค่คนในเขาวิญญาณจรัสวันนั้นเท่านั้นที่รู้เรื่องที่เขามีคะแนนเป็นจำนวนมากข่าวเรื่องนี้ยังไม่มีใครรู้ แต่…คนธรรมดาๆกลับมาบอกชางก่วนเฟยให้มาหาเขาเพื่อช่วย เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของเฉาฉิงเฟิงก็คือการล่อซือหยูให้ออกมา!
  “หึหึ…เจ้าเล็งข้าอยู่สินะ?”
  งูพิษตัวนี้แผลงศรอันเยือกเย็นใส่เขาหลายครั้งนี่เป็นเวลาที่เขาจะจบปัญหาทั้งหมดแล้ว!
  “พวกมันอยู่ไหน?แล้ว…ที่นั่นมีใครอยู่บ้าง?”
  ซือหยูถาม
  ชางก่วนเฟยยินดีที่จะตอบอยู่แล้ว
  “มีเฉาฉิงเฟิงกับพวกคนตลาดมืดมีศิษย์ในที่คอยสนับสนุนพวกมันด้วย”
  เขาไม่ต้องคิดก็รู้ว่าใครคือศิษย์ในคนนั้นนั่นต้องไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนที่นิยมชมชอบการลอบโจมตีผู้คนอย่างเล่าอ๋าย!
  แววตาซือหยูเยือกเย็นยิ่งกว่าเดิม
  “ย่อมได้!ไปหาพวกมันกันเถอะ”
DND.828 – แกะรอยถึงต้นตอ
  “ช้าก่อน!”
  เสวี่ยฉีตาเป็นประกายนางรีบตามซือหยูไป
  เมื่อวิ่งตามทันเขานางก็พูด
  “คนสำนักขวาเอาแต่ชูคอเหนือตำหนักนอกถึงเวลาแล้วที่พวกมันจะรู้ว่าตำหนักนอกมิใช่ของเจ้าตำหนักขวาเพียงผู้เดียว”
  นางพูดต่อ
  “ข้าจะไปบอกนักเลงหลงกับคนอื่นๆเราต้องรวบรวมคนตลาดมืดของเราทั้งหมด!”
  ซือหยูรู้ว่านางแสดงน้ำใจต่อเขาก็เพื่อหวังว่าเขาจะเข้าร่วมกับสำนักซ้ายในสักวันหนึ่ง
  ตอนนี้เขามีศัตรูมากมายและสหายน้อยนิดเขาย่อมไม่ปฏิเสธน้ำใจของนาง
  “เจ้าไปเรียกกำลังเสริมกับเสวี่ยฉีข้าจะไปจัดการเรื่องอื่นก่อน”
  ซือหยูพูดกับชางก่วนเฟย
  เสวี่ยฉีกระทืบเท้าพลางพยักหน้ากับชางก่วนเฟย
  “ไปกันเถอะ”
  ชางก่วนเฟยดีใจมากเขายังตกใจเล็กน้อย เขารู้ว่าเสวี่ยฉีเป็นศิษย์ในที่รับผิดชอบตลาดมืดของตำหนักนอก ว่ากันว่านางมีสถานะสูงส่งอย่างมากในสำนักซ้าย
  ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเลยว่าซือหยูจะมีเส้นสายกับสตรีเช่นนี้ได้เพราะเขาเพิ่งจะเข้าสำนักมาไม่ถึงสองเดือนยิ่งไปกว่านั้น เสวี่ยฉียังปฏิบัติต่อซือหยูอย่างสุภาพ นั่นแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างเขาตอนนี้กับในอดีตที่เป็นเพียงคนที่ไม่มีใครรู้จัก ผู้ที่ใช้ตระกูลชางก่วนเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการสอบเข้าตำหนักโลหิต
  “ศิษย์พี่เสวี่ยฉีขอบคุณมากที่ช่วยพวกเรา”
  ชางก่วนเฟยขอบคุณนางขณะที่ตามนางไปหากำลังเสริม
  ซือหยูออกจากเขาอสูรนเช่นกันแต่เขาไม่ได้ไปช่วยชางก่วนหยุนซื่อในทันที ดวงตากลับเปล่งแสงสีเงิน เขาบินสูงเหนือตำหนักและมองจนทั่ว
  เขารู้ว่าหากผลีผลามเขาจะช่วยชางก่วนหยุนซื่อไม่ได้ นั่นก็เพราะศัตรูมีปฏิญาณสัตย์ดวงใจที่ชางก่วนหยุนซื่อลงนามเอาไว้ ถ้าเขาไม่จ่ายห้าแสนคะแนน จุดกำเนิดพลังของชางก่วนหยุนซื่อก็จะถูกทำลายตามคำสาบาน!
  แม้แต่จ้าวตำหนักทั้งสามของตำหนักนอกก็มิอาจต่อต้านกฎระเบียบของตลาดมืดได้ดังนั้น ใครที่เป็นคนเริ่ม ผู้นั้นก็ย่อมต้องเป็นคนจบ หากสามคนที่ยืมคะแนนหนีไป ซือหยูก็ต้องตามหาให้เจอและบังคับให้ทั้งสามชดใช้หนี้ ชางก่วนหยุนซื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายอะไร ปัญหาจึงคลี่คลาย
  ขณะที่คิดเช่นนี้เขาใช้เนตรวิญญาณมองทั่วตำหนักนอก ไม่มีแม้แต่สิ่งปลูกสร้างเดียวที่ขัดขวางสายตาได้
  เขาต้องหาสามคนนั้นให้เจอโดยเร็วเพราะมีโอกาสสูงมากที่เฉาฉิงเฟิงจะส่งทั้งสามคนมาเพื่อทำมิดีมิร้ายกับชางก่วนหยุนซื่อ ซือหยูไม่รู้ว่าเรือนของเฉาฉิงเฟิงอยู่ที่ใด เขาจึงใช่เนตรวิญญาณมองดูทั้งตำหนัก
  หนึ่งชั่วยามผ่านไปเขายังไม่เห็นเบาะแสใด เขาสงสัย…พวกเขาตายแล้วรึ? หรือว่า…สามคนนั้นออกจากตำหนักไปแล้ว?
  เขาคิดถึงความเป็นไปได้พร้อมใจหายแต่หลังจากที่คิดให้ดี เขาก็คิดว่าความคิดเหล่านั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง
  เพราะแม้ชางก่วนหยุนซื่อจะประมาทจนลงเอยด้วยการโดนสามคนนั้นหลอกเขาก็ไม่ใช่คนโง่! เขาจะต้องไม่มองข้ามหากทั้งสามออกจากตำหนักไป
  ซือหยูจึงสรุปว่าทั้งสามคนยังอยู่ในตำหนักดังนั้น ตราบเท่าที่ทั้งสามยังไม่ถูกสังหาร พวกเขาก็ต้องซ่อนตัวอยู่! และดูเหมือนว่าพวกเขาจะซ่อนตัวในตำแหน่งที่เนตรวิญญาณมิอาจมองได้!
  มีเพียงไม่กี่แห่งในตำหนักนอกที่เนตรวิญญาณมิอาจทะลวงได้ก็คือเรือนของเจ้าตำหนักทั้งสามและห้องฝึกเงามายาห้องฝึกเงามายานั้นแตกแยกออกจากตำหนัก แม้ซือหยูจะทำแผ่นดินไหวในนั้นมาก่อน พลังอสูรก็ไม่ได้เล็ดรอดออกมา แค่เรื่องนี้เพียงอย่างเดียวก็บอกได้ว่าผนึกในห้องนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด!
  เมื่อคิดได้เช่นนี้ซือหยูรีบบินไปยังห้องฝึก แต่ก่อนจะเข้าไป เขาก็พบคนหนึ่งคน
  เขาคือพยัคฆ์หยางลำดับสองเขาเคยเป็นลูกน้องของนักเลงหลงแต่แปรพักตร์ในภายหลังไปเข้าร่วมกับเฉาฉิงเฟิง ช่วยจัดการบริหารตลาดมืดของตำหนักนอก ซือหยูรู้ว่าสหายกินทั้งสามของชางก่วนหยุนซื่อยืมคะแนนมาจากชายคนนี้!
  พยัคฆ์หยางขี้ระแวงและเจ้าเล่ห์ก่อนจะเข้ามายังห้องฝึก เขามองรอบๆเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามเขาอยู่ จากนั้นเขาก็เข้าไปยังห้องฝึก เขาเลือกห้องฝึกเงามายาที่อยู่ตรงกลาง
  เขาทำสัญญาณด้วยมือและเคาะประตูสามครั้งประตูศิลาเปิดออกทันที ใบหน้าที่เขาเจอเบื้องหลังประตูก็มิใช่ใครอื่นนอกจากเหล่าสหายกินของชางก่วนหยุนซื่อ!
  “ศิษญ์พี่หยางมาแล้ว…”
  เขาพูดอย่างระมัดระวัง
  พยัคฆ์หยางขมวดคิ้วตำหนิ
  “ข้าบอกว่าอย่าแสดงตัว!รีบปิดประตูเร็ว ไปคุยกันข้างใน”
  เสียงประตูปิดดังพวกเขาเข้าไปในห้อง ห้องฝึกเงามายามีค่ายกลที่แข็งแกร่งติดตั้งเอาไว้ เนตรวิญญาณของซือหยูมิอาจมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เขาทำได้แค่รอ
  หลังจากผ่านไปไม่ถึงห้านาทีพยัคฆ์หยางได้ผลักประตูศิลาออกและเดินออกมา สีหน้าเขาดูเป็นกังวล
  หลังจากซือหยูเห็นเขาออกจากห้องฝึกเงามายาซือหยูก็หยุดมองดูห้องและตามพยัคฆ์หยางที่เลือกเส้นทางห่างไกลเพื่อหวังจะเก็บทุกอย่างเป็นความลับ ยิ่งเขาไปไกลเท่าใดก็ยิ่งร้างคนเท่านั้น สุดท้ายพยัคฆ์หยางก็มาถึงพื้นที่ที่ห่างไกลไร้ผู้คน
  ในตอนนั้นเองพยัคฆ์หยางขมวดคิ้วและหันไปด้วยใบหน้าเยือกเย็น
  “ท่านตามข้ามานานแล้วมีอะไรว่ามา!”
  ณมุมหนึ่งในหนึ่งลี้ห่างออกไป ชายแก่ผมขาวเดินออกมา ซือหยูไม่แปลกใจที่ถูกเจอตัว เพราะเขาไม่ได้พยายามแอบเลย
  “ซือหยูเซี่ยนรึ?”
  พยัคฆ์หยางเบิกตากว้างเมื่อเห็นซือหยู
  แต่เขาก็ใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว
  “เจ้าตามข้ามาทำไม?ที่คนตลาดมืดเกลียดที่สุดก็คือการถูกแกะรอย!”
  ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
  “เจ้าจะเกลียดหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับข้าข้ามีเรื่องจะถาม หวังว่าเจ้าจะมอบคำตอบที่ข้าพอใจ”
  พยัคฆ์หยางหันกลับมาหาซือยหูเขากอดอกและมองอย่างเย็นชา
  “ถามมา”
  บรรยากาศที่เขาส่งออกมานั้นดูยิ่งใหญ่มันมากพอที่จะทำให้ศิษย์นอกทั่วๆไปหวาดกลัว นั่นก็เพราะเขาเป็นภูติระดับหก
  “ข้าแค่อยากจะถามว่าสามคนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่…”
  ซือหยูถามอย่างใจเย็น
  พยัคฆ์หยางเบิกตากว้างและตะคอกใส่
  “พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า?ข้าจะฆ่าพวกมั…”
  เขาหยุดพูดไปเมื่อตระหนักว่าซือหยูเพียงพยายามหาข้อมูลจากเขาเท่านั้นและไม่ได้คิดว่าเขาสังหารทั้งสามคนเลย!จากนั้นเขาจึงขมวดคิ้วตะโกน
  “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร!ถ้าไม่มีอะไร ข้าจะไปแล้ว”
  ทันทีที่พยัคฆ์หยางหันกลับซือหยูก้าวไปข้างหน้าและพูดอย่างเยือกเย็น
  “ข้ายังไม่ได้บอกให้เจ้าไปไหน…”
  พยัคฆ์หยางไม่พอใจจนหัวเราะน่าขันนักที่ภูติระดับสามกล้าขู่เขา!
  “การชนะขยะเฉาหลี่คงทำให้เจ้ามั่นใจมากสินะ”
  พยัคฆ์หยางหัวเราะอย่างเย็นชาเมื่อมองซือหยูราวกับมองคนโง่ที่ลืมตัว
  ซือหยูมองกลับไปด้วยความเวทนาแต่ถ้าหากเขารู้เหตุที่เฉาฉิงเฟิงอยากจะกำจัดซือหยูล่ะก็…เขาจะไม่มีทางหัวเราะออกมาเลย! เพราะซือหยูนั้นต่อสู้กับร่างเงาของเจี๋ยนอู๋เชิงในห้องฝึกเงามายา แค่นี้ก็เพียงพอแล้วกับการพิสูจน์พลังต่อสู้ของเขา
  “เห็นทีข้าต้องสั่งสอนเจ้าอีกครั้งว่าความแตกต่างของพลังเป็นยังไง!”
  แสงสีน้ำเงินพุ่งออกจากหน้าผากพยัคฆ์หยางเมื่อเขาพูดมีร่างเงาช้างตัวใหญ่ที่มีพลังระเบิดออกมา
  “ช้างเถื่อนจมธรณี!”
  พยัคฆ์หยางตะโกนร่างเงาช้างพุ่งออกจากหน้าผากก้าวไปข้างหน้า
  เท้าแต่ละข้างของมันมีพลังมหาศาลแต่ซือหยูไม่เกรงกลัว เขาปล่อยหมัดขวาใส่มัน
  ปั้ง!
  ร่างเงาช้างอันทรงพลังสลายไปอย่างง่ายดายราวกับกระดาษขณะที่หมัดซือหยูยังคงพุ่งไปยังลำตัวของพยัคฆ์หยาง
  เมื่อหมัดกระทบตัวพยัคฆ์หยางกระเด็นลอยออกไปพร้อมกระอักเลือด พยัคฆ์ล้มลงไปกับพื้นด้วยความตกตะลึง
  “เจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง?”
  เขาไม่รู้เลยว่าเหตุใดภูติระดับสามถึงมีพลังมากกว่าเขา
  ซือหยูไม่พูดพร่ำให้มากกว่านี้เขาเข้าไปเหยียบอกของพยัคฆ์หยางและมองรอบๆด้วยสายตาหนักแน่น
  ผ่านไปนานก่อนที่เขาจะพูด
  “ที่นี่ไม่มีคนอื่นอยู่แล้วที่นี่ก็งดงามดี เจ้าคงจะไม่เสียใจหากตายที่นี่…”
  “ช้าก่อน!เราไม่ได้มีเรื่องบาดหมางต่อกัน ทำไมเจ้าต้องฆ่าข้า?”
  พยัคฆ์หยางคิดอย่างหนักเพื่อหาเหตุผลให้ซือหยูไว้ชีวิต
  ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
  “เจ้าพูดถูกเราไม่มีอะไรต่อกัน ถ้าเจ้าอยากจะโทษใครในเรื่องชะตาของเจ้า เจ้าก็จงโทษตัวเองที่เลือกผู้เป็นนายผิด”
  จากนั้นซือหยูกดพลังที่เท้าเพิ่ม ขณะที่เขากำลังจะสังหารพยัคฆ์หยางนั้นเอง พยัคฆ์หยางสัมผัสเงาความตายของตัวเองได้และอ้อนวอน
  “เดี๋ยว!อย่าฆ่าข้า! ข้าจะทำทุกอย่างที่เจ้าต้องการ!”
  ซือหยูผ่อนแรงที่เท้าและตอบอย่างเยือกเย็น
  “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง…สามคนนั้นตายหรือยัง?”
  ความหวาดกลัวถาโถมพยัคฆ์หยางแต่เขาก็กัดฟันตอบ
  “ข้าทำตามคำสั่งพี่เฉาข้าปิดปากพวกมันแล้ว”
  ขณะที่พูดเขายกนิ้วชี้ ศพสามร่างในแหวนถูกโยนออกมา ซือหยูใจหายเมื่อเห็นร่างของทั้งสาม
  เขามาสายไปเฉาฉิงเฟิงชั่วช้าโหดร้ายไม่ไว้ชีวิตตัวหมาก
  หากทั้งสามตายชางก่วนหยุนซื่อก็ต้องรับผิดชอบหนี้เต็มที่ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะช่วยชางก่วนหยุนซื่อนอกจากจะหาห้าแสนคะแนนมา!
  ในตอนนั้นเองซือหยูเกิดความคิด เขายิ้มมองพยัคฆ์หยางอีกครั้งพลางหัวเราะ
  “เจ้าอยากจะมีชีวิตสินะ?”
  พยัคฆ์หยางใจชื้นและพยักหน้าซ้ำไปซ้ำมา
  “ศิษย์น้องซือข้าจะทำตามคำสั่งเจ้าทุกอย่าง โปรดชี้แนะข้าได้เลย”
  เป็นความจริงที่คนทรยศไม่มีความภักดีแท้จริงหากเขาหักหลังนักเลงหลงได้ เขาก็หักหลังเฉาฉิงเฟิงได้เช่นกัน
  “ข้าไม่ต้องการอะไรเจ้าทำใจให้สบายก็พอ…อย่าขัดขืน”
  พยัคฆ์หยางลังเลไปครู่หนึ่งแต่เมื่อซือหยูจ้องมองไม่วางตา เขาก็เลือกที่จะปล่อยวางจิตใจ หลังจากนั้น แสงสีเงินพุ่งออกจากดวงตาของซือหยูรุกล้ำเข้าไปยังวิญญาณของพยัคฆ์หยาง
  พยัคฆ์หยางหน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดก่อนดวงตาจะว่างเปล่าเขายืนขึ้นด้านหลังซือหยูราวกับหุ่นเชิด ซือหยูหัวเราะ
  “หึหึที่คือสิ่งที่พวกเจ้าต้องเจอหากวางอุบายกับข้า!”