หงเฉิงอธิบายกฎพื้นฐานของสารลับให้กับฮ่องเต้ฟังอย่างภาคภูมิใจ ก่อนที่เขาจะพูดจบ หลี่ซื่อหมินก็เข้าใจว่าสารลับที่หงเฉิงพยายามอธิบายว่าคืออะไรแล้ว ตำราของลัทธิขงจื้อนั้นโดยทั่วไปมีข้อพิสูจน์ให้เห็น สำหรับหนังสือที่หงเฉิงเขียนน่ะหรือ น่าจะใช้การได้ อย่างน้อยตัวเขาเองที่คุ้นเคยกับหงเฉิงเช่นนี้ ยังไม่รู้ว่าเขาจะเขียนของเล่นอะไรออกมา เจ้าหนุ่มหัวดี ตอนนี้ไม่ว่าทำอะไรก็จะดึงตัวเองออกจากปัญหา คิดง่ายไปหรือเปล่า รอให้เจ้ากลับถึงเมืองหลวงเสียก่อนเจ้าจะได้รู้ว่าฐานันดรศักดิ์เจวี๋ยเหยียกับเงินเดือนของเราไม่ใช่ว่าจะได้รับกันง่ายๆ อยากจะเก็บตัวอยู่ในสำนักศึกษาอย่างเงียบสงบรึ ฝันไปเถอะ!
“หงเฉิง เจ้าตั้งใจเขียนหนังสือให้ดีๆ เขียนเสร็จแล้ว เราจะมีรางวัลใหญ่ให้เจ้า อ้อ ให้รางวัลเจ้าห้าร้อยก้วนก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นหงเฉิงค่อนข้างผิดหวัง จึงพูดขึ้นอีกว่า “เงินห้าพันก้วนก้อนโตเช่นนี้ ตอนนี้เจ้านายเจ้ายังไม่สามารถจ่ายได้ ถึงแม้จะให้ได้ เจ้าก็คงไม่กล้าที่จะรับมัน ไม่เช่นนั้นคงต้องถูกขุนนางฝ่ายทัดทานคำพูดด่าจนตายแน่ เฮ้อ อวิ๋นเยี่ยเป็นใครกัน เจ้าคิดจะทำการค้ากับเขาเพื่อหวังผลประโยชน์ รอชาติหน้าเสียเถอะ เขารู้ว่าหากบอกวิธีนี้กับเราเขาก็ไม่ได้ผลประโยชน์อย่างแน่นอน มีแต่จะต้องบอกผ่านคนโง่เช่นเจ้าเขาจึงจะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ เพราะอะไรพวกเจ้าแต่ละคนจึงพยายามอยากจะทำการค้ากับเขานัก ถูกหลอกแล้วก็ยังกระหยิ่มยิ้มย่อง เราไม่เชื่อว่าถ้าเจ้าไม่รับไว้แล้วเขาจะกล้าไม่มอบวิธีที่ดีเช่นนี้ให้กับเราอย่างนั้นหรือ เด็กดีๆ คนหนึ่งตอนนี้กลายเป็นอะไรไปแล้ว ไม่รู้ว่าฮองเฮาสอนอย่างไรของนาง”
“นี่ฝ่าบาทกำลังกล่าวโทษหม่อมฉันที่สั่งสอนไม่เป็นใช่หรือไม่เพคะ” จั่งซุนที่แต่งองค์เต็มยศทำให้ดูกิริยาท่วงท่าสง่างามยิ่งนัก บางทีอาจเป็นเพราะเพิ่งจะมีประสูติกาล รูปร่างจึงอวบใหญ่กว่าแต่ก่อน ทั้งยังตั้งใจแต้มจุดแดงไว้ระหว่างคิ้ว กำลังนั่งหัวเราะหยอกล้อฮ่องเต้อยู่ด้านข้าง
“ฮองเฮา เจ้ามาดูว่านี่คืออะไร” หลี่ซื่อหมินพูดจบแล้วก็วางตราพระราชลัญจกรบนฝ่ามือให้ฮองเฮาดู
จั่งซุนตาโตเบิกกว้างอ้าปากค้าง ชี้ที่ตราพระราชลัญจกรในมือของหลี่ซื่อหมินพลางถามด้วยความประหลาดใจว่า “หรือว่านี่ก็คือตราพระราชลัญจกรอย่างนั้นหรือ”
หลี่ซื่อหมินยิ้มพลางพยักหน้า จั่งซุนรีบจัดแต่งองค์ใหม่ให้เรียบร้อยในทันใดและกราบไหว้อย่างนบนอบ “หม่อมฉันขอแสดงความยินดีต่อฝ่าบาทและไพร่ฟ้า” ในเวลานั้นเหล่าราชองครักษ์ที่ยืนอยู่ที่ประตูวัง นางกำนัลขันทีทุกคนต่างก็ก้มลงกราบและกล่าวพร้อมเพรียงกันว่า “พวกกระหม่อมขอแสดงความยินดีต่อฝ่าบาทและไพร่ฟ้า”
หลี่ซื่อหมินนำตราพระราชลัญจกรในมือเก็บลงในกล่องอีกครั้งและขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบกล่องที่เรียบง่ายนี้ จึงหยิบตราหยกออกมาอีกครั้งและมอบให้กับฮองเฮา ให้นางช่วยหากล่องที่เหมาะสมมาเก็บสมบัติแสนรักชิ้นนี้โดยเฉพาะ
ข่าวชัยชนะเสมือนมีเท้างอกออกมามันได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองฉางอันในเวลาอันรวดเร็ว ชาวเผ่าหูในเมืองเริ่มถ่อมตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ชาวฮั่นเริ่มเย่อหยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดจากชัยชนะครั้งนี้ ในยุคสมัยของการพิชิตและการถูกพิชิตเช่นนี้ การทำศึกได้ชัยชนะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่นั้นมีประโยชน์มากกว่าการแต่งบทกวีและศึกษาวัฒนธรรมมากมายนัก
ขุนนางฝ่ายบุ๋นกำลังหยิบพู่กันเขียนบทความสรรเสริญ เหล่าทหารเริ่มร้องเพลงศึก แม้แต่หอเอี้ยนไหลโหลวก็ติดป้ายลดราคาเหล้าครึ่งราคาอย่างเงียบๆ ด้วย…
วันนี้เข้านอกออกในได้ตามสบาย
ในวันดีของการเฉลิมฉลองทั่วหล้า จางเป่าเซียงรองผู้บัญชาการของเขตต้าถงเต้ากำลังค้นหาข่านเจี๋ยลี่อยู่ในทุ่งหญ้า ลมหนาวที่หนาวสุดขั้วได้ทำให้แขนขาของเขาชาจนไร้ความรู้สึก มีเพียงเปลวไฟที่ยังลุกไหม้อยู่ในอกเท่านั้น ข่านเจี๋ยลี่ที่พ่ายศึกที่เขาอินซันล้มลุกคลุกคลานหนีร่นไปทางทิศตะวันตก หายไปอย่างไร้ร่องรอยในทุ่งหญ้าแห่งนี้ มีทหารม้าของต้าถังลาดตระเวนไปทั่วทุกแห่งหน จางเป่าเซียงไม่เชื่อว่าข่านเจี๋ยลี่ที่ไม่มีองครักษ์จะหนีออกจากทุ่งหญ้าแห่งนี้ได้
บนทุ่งหญ้าที่มองไม่เห็นที่สิ้นสุด ม้าศึกของข่านเจี๋ยลี่นั้นหมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้วและล้มลงอยู่บนพื้นหญ้า หลายวันที่ผ่านมานี้ ม้าตัวนี้ได้กลายเป็นกาน้ำและถุงเสบียงของเขา เพียงแค่เห็นร่องรอยมีดที่อยู่บนตัวม้าเต็มไปหมดก็จะรู้ได้ว่าม้าศึกตัวนี้ต้องเจอกับอะไรในหลายวันนี้ ข่านเจี๋ยลี่ได้อาศัยเลือดม้าศึกตัวนี้ในการเอาชีวิตรอดในเจ็ดวันนี้ มาจนถึงตอนนี้ที่พึ่งสุดท้ายก็ได้ล้มลงบนทุ่งหญ้า เขาดึงขาซ้ายของตัวเองออกจากใต้ตัวม้าศึกแล้วรีบเฉือนเนื้อบนขาของม้าอย่างรวดเร็ว เขาต้องอาศัยช่วงที่เนื้อของม้ายังมีอุณหภูมิอุ่นอยู่รีบกินอย่างรวดเร็ว เพราะหากลมหนาวพัดผ่าน ไม่นานนักก็จะแช่แข็งเนื้อจนแข็งเหมือนก้อนหิน
ม้าศึกยังไม่ตาย เพียงแค่ไม่มีแรงเท่านั้นเอง ศีรษะส่ายไปมาสองครั้งแล้วก็หลับตาลง ข่านเจี๋ยลี่รีบนำเนื้อม้าที่เปื้อนเลือดสดใส่เข้าปากและเคี้ยว ดาบเล็กของเขาคมมากจนสามารถตัดเนื้อม้าเป็นเส้นๆ เพื่อให้เขากินได้อย่างง่ายดายมาก เขาไม่สนใจรสชาติของเนื้อและเลือดเหล่านี้ รู้เพียงว่าหากไม่กินจะต้องตาย แล้วคนจะเข้าไปในรูเล็กๆ นี้ได้อย่างไร นี่คือถ้ำกระรอกมอร์มอตในทุ่งหญ้า สัตว์จำพวกตระกูลสัตว์ฟันแทะที่มีขนาดใหญ่กว่าหนูหนึ่งเท่าตัวเท่านั้น ชื่นชอบการขุดหลุมมากที่สุด พวกมันมักจะขุดหลุมจำนวนมากเพื่อหลบสายตาของนกเหยี่ยวนักล่าบนท้องฟ้า ซึ่งนี่ก็ถือเป็นการให้ที่หลบภัยตามธรรมชาติแก่สัตว์ตัวเล็กๆ อย่างอื่นด้วย เช่น สัตว์เล็กๆ จำพวกกระต่าย ตอนนี้ข่านเจี๋ยลี่คงต้องหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะกลายเป็นสัตว์ตัวเล็กเช่นเดียวกับกระรอกมอร์มอตหรือกระต่าย น่าเสียดายที่หลายปีมานี้เขาอยู่ดีกินดีมากเกินไป ทำให้ร่างกายที่ครั้งหนึ่งของเขาเคยกำยำแข็งแรงเปลี่ยนเป็นร่างที่เต็มไปด้วยไขมัน
ไม่มีที่กำบัง มีเพียงรูกระรอกที่อยู่เบื้องหน้า ข่านเจี๋ยลี่ที่เคยจองหองอวดดีเมื่อในอดีตนั้นในใจเริ่มหดหู่เศร้าหมอง เขาอยากจะหันกลับมาต่อสู้กับทหารม้าที่สมควรตายของต้าถังให้รู้แล้วรู้รอด เพราะอย่างน้อยที่สุดก็จะไม่ทำให้ชื่อของข่านเสื่อมเสีย ดาบจันทร์เสี้ยวยังคงคมกริบ เพียงแต่คนนั้นเปลี่ยนจากหินผาเป็นดินโคลนเสียแล้ว
เขาพยายามที่จะมุดเข้าไปในหลุม คิดเพียงแต่ว่าจะหลบหลีกทหารต้าถังอย่างไร แต่ไม่ได้คิดถึงวิธีการว่าจะออกมาอย่างไรหลังจากเข้าไปแล้ว ในถ้ำนั้นมืดมากดูเหมือนจะมีดวงตาเปล่งประกายสีเขียวคู่หนึ่งจ้องมองตัวเองอยู่ ทั้งร่างกายขยับไม่ได้ ดินโคลนราวกับมีชีวิตจับเขาตรึงแน่นอยู่ในหลุม
ดวงตาที่เปล่งประกายสีเขียวคู่นั้นเป็นของกระรอกมอร์มอต เขาเคยกินเจ้าตัวเช่นนี้มานับไม่ถ้วน เนื้อมีรสชาติโอชะ หนังคุณภาพสูง เขายังมีเสื้อคลุมตัวหนึ่งที่ตัดเย็บจากหนังของกระรอกมอร์มอตอยู่ด้วยซึ่งมันอุ่นมาก ตอนนี้เขาทำให้กระรอกมอร์มอตตื่นขึ้นจากที่จำศีล เจ้าสัตว์ประเภทนี้ไม่ใช่แค่กินหญ้าหรอกหรือ ทำไมตอนนี้จึงเริ่มกัดฉีกหน้าผากของตนเองแล้ว
ข่านเจี๋ยลี่หมดหวังแล้ว เขาไม่อยากจะถูกกระรอกมอร์มอตกัดกินทั้งเป็นในถ้ำมืดนี้จริงๆ เขาตะโกนเสียงดัง แต่โชคไม่ดีที่เสียงไม่สามารถดังขึ้นไปสู่พื้นดินได้ เพียงแต่ทำให้กระรอกมอร์มอตถอยหนีไปชั่วคราวเท่านั้น
จางเป่าเซียงค้นหาทุ่งหญ้าแห่งนี้จนทั่วแต่กลับไม่พบข่านเจี๋ยลี่แม้แต่เงา ศพม้าศึกของข่านเจี๋ยลี่ที่ตายไปยังอุ่นๆ อยู่ เลือดบนต้นขายังไม่แข็งตัว ร่องรอยทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าข่านเจี๋ยลี่ต้องอยู่ภายในระยะสามลี้เป็นแน่ แปลกจริงๆ ที่ทหารใต้บังคับบัญชาของเขาสามพันคนกลับหาตัวไม่พบ หากอยู่ในป่าทึบบนภูเขาก็พอที่จะเข้าใจได้ แต่ตอนนี้อยู่ในทุ่งหญ้า ไม่จำเป็นต้องยืนอยู่บนม้าก็สามารถมองเห็นดินแดนในระยะสามลี้ได้ ข่านเจี๋ยลี่ เจ้าอยู่ไหน
เป็นไปไม่ได้ที่จะขึ้นฟ้า เช่นนั้นก็เหลือเพียงแค่มุดดินแล้ว “ค้นหาถ้ำ เนินดินทั้งหมดที่มีอย่าปล่อยเบาะแสใดๆ ไป แม้ว่าจะต้องขุดหลุมลึกก็ต้องนำตัวข่านเจี๋ยลี่ออกมาให้ได้” ฝ่ามือของจางเป่าเซียงเต็มไปด้วยเหงื่อ คนของหลี่จียังคงอยู่ห่างออกไปอีกสี่สิบลี้ เขาไม่ต้องการให้ผลงานชิ้นใหญ่นี้ไปตกอยู่ในมือของผู้อื่น
บนทุ่งหญ้ามีเพียงชั้นหิมะบางๆ ปกคลุมอยู่ หิมะที่ตกหนักเมื่อหลายวันก่อนดูเหมือนจะไม่ได้แพร่กระจายมาถึงที่นี่ อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นดินแดนที่ห่างไกลหลายพันลี้ ห่างจากถูอวี้หุนไม่ถึงห้าร้อยลี้ ความสัมพันธ์ระหว่างต้าถังกับถูอวี้หุนนั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไร หากปล่อยให้ข่านเจี๋ยลี่หนีไปได้ ความรุ่งโรจน์แห่งชัยชนะที่เขา อินซันก็จะลดลงครึ่งหนึ่ง จางเป่าเซียงเข้าใจดี หลี่จีก็เข้าใจดีเช่นกัน
ช่วงเวลากลางวันของทุ่งหญ้าในฤดูหนาวนั้นสั้นมาก ยามโหย่ว[1]พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว ผืนหญ้าทั้งหมดเริ่มมืดดำสนิท การจะจับชาวทุ่งหญ้าอย่างข่านเจี๋ยลี่ที่เกิดและโตมากับทุ่งหญ้าจึงยิ่งเป็นเรื่องยากแล้ว ตอนนี้เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ก่อนที่พระอาทิตย์ตกดิน
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องสว่าง ไม่มีอะไรสามารถปกปิดร่องรอยได้ เหยี่ยวหัวดำที่บินวนอยู่บนท้องฟ้า กระรอกมอร์มอตที่กำลังมองซ้ายขวาอยู่บนเนินเขา ทุกตัวล้วนอยู่ในเป้าสายตาของจางเป่าเซียง แต่ไม่มีข่านเจี๋ยลี่ หรือจะบอกว่าเขาเป็นเหมือนเทพนิยายของชาวเผ่าทูเจวี๋ยที่สามารถกลายร่างเป็นนกเหยี่ยวได้
จางเป่าเซียงก็เติบโตขึ้นมาบนทุ่งหญ้าเช่นกัน เพราะเขาคุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศของทุ่งหญ้า จึงได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ถัง การที่ตนเองซงเป็นเพียงขุนนางฝ่ายตุลาการได้รับการแต่งตั้งเช่นนี้เรียกได้ว่าเฟื่องฟูในช่วงพริบตา เพียงแต่ตำแหน่งขุนนางที่โดดเด่นมีชื่อเสียงก็จำเป็นต้องใช้ผลงานทางการศึกที่โดดเด่นมีชื่อเสียงมาค้ำจุนไว้ การจับข่านเจี๋ยลี่ได้ เท่ากับสามารถตอบสนองพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทที่ค้ำชูอุปถัมภ์ได้อย่างแน่นอน
เหยี่ยวหัวดำที่อยู่บนศีรษะยังคงบินฉวันเฉวียนอยู่ กระรอกมอร์มอตที่ร้อนรนก็ยังคงไม่ยอมกลับเข้าหลุม จู่ๆ จางเป่าเซียงก็หัวเราะเสียงดังขึ้น นำลูกน้องไปโอบล้อมเนินเขาเตี้ยๆ นั้น กระรอกมอร์มอตตกใจจนวิ่งหนีไป วิ่งไปได้ไม่ไกลก็ถูกเหยี่ยวหัวดำบนท้องฟ้าจับและลากขึ้นท้องฟ้าไป
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว จางเป่าเซียงยิ่งหัวเราะอย่างมีความสุขมากขึ้น เขามาที่หลุมของกระรอกมอร์มอตแล้วมองเข้าไปข้างใน นี่เป็นหลุมที่เพิ่งขุดใหม่ๆ เมื่อตอนเยาว์วัยเขาเคยจับกระรอกมอร์มอต น้ำมันบนตัวกระรอกมอร์มอตเป็นยาชั้นดีในการใช้รักษาแผลไฟลวกหรือแผลไหม้ได้ หากใช้ดื่มสามารถละลายลิ่มเลือดและห้ามเลือดได้ การใช้ภายนอกสามารถรักษาโรคข้ออักเสบได้ ของล้ำค่าที่ใช้ในการรักษาชีวิตชนิดนี้มีแรงดึงดูดต่อจางเป่าเซียงผู้มีชาติกำเนิดค่อนข้างแร้นแค้น เขาเดินอ้อมเนินเขาครึ่งหนึ่งมาที่ด้านหลังของเนินเขา ก็พบหลุมอีกหลุมหนึ่ง ครั้นเห็นรอยดาบที่ฟันอยู่ หัวใจแทบจะหลุดออกมาจากหน้าอก ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าสวรรค์จะเมตตาตนเองถึงเพียงนี้
——
เหล่าลูกน้องก็ได้ขุดหลุมเก่าของกระรอกมอร์มอตอย่างรวดเร็ว ทหารทุกคนไม่ได้ร้องโห่ด้วยความดีใจขึ้น แต่กลับหัวเราะเสียงดังขึ้นก่อน ข่านเจี๋ยลี่ผู้สูงส่ง โหดเ**้ยม อยู่เหนือผู้อื่นเมื่อครั้งอดีตติดอยู่ในรูหนูขยับไม่ได้ หน้าผากเต็มไปด้วยรอยเลือดที่ถูกกระรอกมอร์มอตกัดแทะ
จางเป่าเซียงนำตัวข่านเจี๋ยลี่ออกจากหลุมด้วยตนเอง สิ่งแรกเลยที่ทำก์คือเอาเชือกมัดปากเขา จับข่านเจี๋ยลี่มัดอย่างแน่นหนา นำม้าที่ไม่มีคนขี่มาสองตัว ใช้หอกยาวทำเป็นคานหามเสียบลอดเชือกที่มัดมือและเท้า แล้วผูกเอาไว้ตรงกลางระหว่างม้าสองตัวให้แน่น จางเป่าเซียงไม่คาดหวังที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรขึ้นอีก
บนทุ่งหญ้ามีกลุ่มควันดำลอยขึ้น และตามติดด้วยควันสัญญาณขึ้นมาทีละระลอกๆ จากทุ่งหญ้า ควันสัญญาณนี้เป็นสัญญาณที่ได้ตกลงกันไว้แต่แรกแล้ว ไม่ได้หมายความว่ามีการบุกรุกจากศัตรู แต่มันหมายถึงข่านเจี๋ยลี่ถูกจับเป็นได้แล้ว เขาต้องเดินทางผ่านทุ่งหญ้า ผ่านทะเลทราย ข้ามภูเขาสูง ข้ามแม่น้ำ ระยะทางหลายหมื่นลี้ ในเวลานี้ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็กลับถึงฉางอันได้แล้ว หอคอยไฟสัญญาณแจ้งเหตุที่หลงโส่วหยวนได้เห็นควันสัญญาณจากบนเขาหลีซันลอยขึ้นแต่ไกลๆ ฟืนที่เปียกชื้นที่เตรียมไว้ถูกราดด้วยน้ำมัน คบไฟอันหนึ่งถูกโยนลงไปในกองฟื้นนั้น ชั่วพริบตาก็เกิดเป็นควันสีดำหนาขึ้นมา
งานเลี้ยงในตำหนักไท่จี๋ถูกราชองครักษ์เข้าแทรก “กราบทูลฝ่าบาท ไฟสัญญาณแจ้งเหตุของหลงโส่วหยวนถูกจุดขึ้นแล้วพะย่ะค่ะ!”
หลี่ซื่อหมินโยนไหเหล้าทองคำลงแล้วเดินมาที่ด้านหน้าตำหนัก ภายใต้ดวงจันทร์ที่อยู่ไกลลิบกลุ่มควันสีดำก็ลอยขึ้นเป็นเส้นตรงจากหอคอยไฟสัญญาณ
กวักมือเรียกขันทีพูดเสียงดังว่า “มานี่ เปลี่ยนเป็นถ้วยซัง[2]ใบใหญ่ให้เรา” ถ้วยซังที่รินเหล้าจนเต็มถูกหลี่ซื่อหมินยกขึ้นสูง น้ำตาอาบสองแก้มซึ่งไม่สามารถปกปิดความห้าวหาญในใจของเขาได้ “ทุกท่าน ข่านเจี๋ยลี่ถูกจับได้แล้ว สงครามกับทูเจวี๋ยสิ้นสุดลงแล้ว มา เราขอดื่มกับทุกท่าน ไม่เมาไม่กลับ ยินดีกับชัยชนะ”
ในห้องโถงมีแต่เสียงสะท้อนของการยินดีกับชัยชนะ หลี่หยวนได้ยินมาแต่ไกล จึงมองดูควันสัญญาณที่อยู่ข้างนอก มุมปากยกขึ้น “บางทีข้าก็ควรจะไปฉลองด้วยเช่นกัน”
——
[1] ยามโหย่ว คือช่วงเวลาตั้งแต่ 17.00 – 18.59 น.
[2] ซัง เป็นภาชนะสำหรับใส่เหล้าในสมัยโบราณ มีลักษณะคล้ายชามก้นแบน