ส่วนที่ 4 ตอนที่ 47 การทดลองประสิทธิภาพของยา

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

คนในครอบครัวของหลี่ซื่อหมินล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการแสดง แต่ก็มีหลายๆ ฉากที่ต้องเซ็นเซอร์ด้วย ได้ยินเหอเซ่าเล่าว่าหลังจากหลี่ซื่อหมินฆ่าพี่ฆ่าน้องแล้วก็ขอให้หลี่หยวนยกโทษให้ วิธีการที่ใช้ขอขมาก็คือการดูดหัวนมของหลี่หยวน เมื่อได้ยินเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยพลันขนลุกซู่ไปทั้งตัว รีบปิดปากของเหอเซ่าไว้แล้วบอกเขาว่าอย่าพูดต่ออีก ใครจะรู้ว่าเหอเซ่าปัดมืออวิ๋นเยี่ยออกแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นห่วงเรื่องอะไร เรื่องเหล่านี้มีอยู่ในบันทึกชีวิตประจำวันของฝ่าบาทและจะถูกรวบรวมไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์เพื่อถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลัง ช้าเร็วทุกคนก็จะได้รับรู้กันหมด เจ้าปิดปากข้าทำไมกัน”

 

 

“เรื่องเหล่านี้สามารถพูดพร่ำเพรื่อได้อย่างไรกัน” อวิ๋นเยี่ยมองเหอเซ่าที่รื่นเริงสนุกสนานด้วยความปวดเศียรเวียนเกล้า

 

 

“ไต้ซือฝ่าหลินต่อว่าหาว่าเขาเป็นลูกหลานของชาวเผ่าหูต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ นอกจากนี้เขายังกล่าวว่า บรรพบุรุษของเขาสวมรอยเป็นลูกหลานของตระกูลหลี่ จึงได้มีความรุ่งเรืองของตระกูลหลี่แห่งกวนหล่งเกิดขึ้น แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงกริ้วเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้สั่งประหารไต้ซือฝ่าหลินไม่ใช่หรือ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คนในต้าถังหากพูดนินทาคนอื่นเพียงไม่กี่ประโยคก็ต้องถูกฆ่า” เหอเซ่ารู้สึกงงงวยกับความระมัดระวังของอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก

 

 

“แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เจ้ากำลังนินทาฮ่องเต้ ทั้งยังบอกว่าคุกเข่าดูดนมไท่ซั่งหวงนี่มันก็มากเกินไปกระมัง” ไม่เชื่อ อวิ๋นเยี่ยคิดว่านี่เป็นเพราะเหอเซ่าเมาแล้วจึงพูดไร้สาระ

 

 

“จะหลอกเจ้าทำไม เรื่องนี้ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นแบบอย่างของความกตัญญูอีกด้วย ด้วยนิสัยระแวดระวังของเจ้าข้อนี้ เหมือนชายชาตรีชาวต้าถังเราตรงไหนกัน” เหอเซ่าเมาแล้วจริงๆ เหล้าปั่นเช่นนี้ ดื่มแล้วคล้ายเหล้า ดมแล้วเหมือนเหล้า เพียงแต่เมื่อดื่มเข้าไปแล้วมันไม่ใช่เหล้า แต่กลายเป็นเหล้าพิษชนิดหนึ่งที่ทำให้ปวดศีรษะและทรมาน

 

 

เมื่อมองดูเหอเซ่าที่นอนกรนล้มพับอยู่บนพื้น อวิ๋นเยี่ยจึงถอนหายใจและลากเขากลับไปที่เตียง ตนเองนั่งข้างๆ เตาย่างถั่วเหลือง ไม่รู้ว่ามันกลายเป็นนิสัยตั้งแต่เมื่อไหร่ หากอยากจะพิจารณาอะไรสักอย่าง จะต้องมีกิจกรรมบางอย่างให้มือได้ขยับ

 

 

บันทึกประวัติศาสตร์ระบุไว้ว่า หลังจากชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ หลี่ซื่อหมินและหลี่หยวนก็ปรับความเข้าใจกันได้ กล่าวกันว่าสองพ่อลูกคนหนึ่งนั้นเล่นผีผาอีกคนหนึ่งร่ายรำ ระหว่างพ่อลูกมีความสุขเข้ากันได้เป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าในใจคิดเช่นนี้จริงหรือ หรือเพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ถังจึงได้สร้างภาพทางการเมือง

 

 

ถั่วเหลืองกำลังส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ อวิ๋นเยี่ยก็กำลังเคี้ยวกรุบๆ ที่แท้ในโลกนี้ก็มีเรื่องน่าสนใจเช่นนี้ด้วย ถ้าหากนำเรื่องเสแสร้งของพวกเขามาสร้างเป็นมรสุมความสัมพันธ์ขึ้นจริง เช่นนั้นจะเป็นฉากแบบไหนกัน อวิ๋นเยี่ยคิดว่าน่าจะลองดูเสียหน่อย

 

 

เขานัดกับเฉิงฉู่มั่วไว้ว่าจะไปดูข่านเจี๋ยลี่ จางเป่าเซียงจะหามเขากลับมาในวันนี้ ทำไมจึงถูกหามกลับมาเล่า ที่แท้แล้วชายคนนี้เก่งในการขุดหลุม ร้ายกาจกว่ากระรอกมอร์มอตเสียอีก จางเป่าเซียงได้ลากตัวเขาออกมาจากหลุมของกระรอกมอร์มอต โดยห้ามให้เขาเอาเท้าแตะพื้น หากให้เท้าเขาแตะพื้นไม่แน่ว่าตัวเขาอาจขุดหลุมแล้วหนีไป

 

 

เมื่อได้ยินคำถกเถียงกันของเหล่าทหาร อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าข่านเจี๋ยลี่เก่งกว่าถู่สิงซุนเสียอีก มีความสามารถเช่นนี้ยังถูกจางเป่าเซียงจับตัวได้อีก เห็นได้ชัดว่าเป็นการป่าวประกาศที่เกินจริงไม่ใช่หรือ เฉิงฉู่มั่วไม่พอใจเป็นอย่างมากกับเรื่องที่ว่าคนอื่นเหวี่ยงแหเพียงครั้งเดียวก็ได้ปลาตัวใหญ่มามากมาย แต่ตัวเองกลับจับได้แต่ปลาซิวปลาสร้อย อวิ๋นเยี่ยกลับดีใจมาก อย่างไรเสียความดีความชอบแบ่งออกเท่าๆ กัน ทุกคนมีส่วนร่วม เพียงแต่หัวหน้าก็จะได้ความดีมากกว่าคนอื่นนิดหน่อยเท่านั้นเอง จางเป่าเซียงถูกรางวัลที่หนึ่งยังไม่ยอมแบ่งให้พวกเราได้ความดีความชอบบ้างหรือ

 

 

บุคคลสำคัญนั้นมีไว้เพื่อหลอกให้ทุกคนมีความสุข ในยุคปัจจุบันก็มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งในทะเลทรายเมื่อประเทศถูกทำลาย ส่วนตัวเขาหนีเข้าไปซ่อนในบ้านชาวบ้าน สุดท้ายก็ถูกจับได้เช่นกัน ถูกจับอ้าปากและตรวจฟันจนทำให้ทั้งโลกต้องร้องตกตะลึงไปตามๆ กัน บุคคลสำคัญก็แค่นี้เองไม่ใช่หรือ

 

 

ปากของจางเป่าเซียงบานจนจะไปถึงรูหูของเขาแล้ว เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะกังวลว่าข่านเจี๋ยลี่จะหนีไป ความสุขของบั้นปลายชีวิตที่เหลือของตัวเขาก็ขึ้นอยู่กับข่านเจี๋ยลี่แล้ว จนกระทั่งลูกน้องที่มุ่งหน้าไปค่ายใหญ่รายงานสถานการณ์ได้พาหลี่จีกลับมายังค่ายชั่วคราวนั้น เขาจึงค่อยรู้สึกโล่งใจ

 

 

ลูกน้องของเขานั้นดีทุกอย่าง เสียเพียงอย่างเดียวคือมักจะชอบคุยโม้โอ้อวด ซึ่งเขาก็ค่อนข้างรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไร เพียงแต่ตอนนี้เขาจะไม่เปิดเผยอะไรออกมาทั้งนั้น

 

 

 ข่านเจี๋ยลี่ถูกหามเข้ามาด้วยหอกยาวสองอัน มือและเท้าถูกมัดอย่างแน่นหนา ผิวหนังบนข้อมือและข้อเท้าถลอกหายไปตั้งนานแล้ว เชือกได้เสียดสีเซาะลึกเข้าไปในเนื้อซึ่งทำให้เขาส่งเสียงร้องโหยหวนเป็นระยะๆ  น้ำมูกและน้ำตาเจิ่งนองเต็มใบหน้า ร้องไห้อย่างเศร้าสลดมาก

 

 

มองไม่ออกถึงความเป็นชายผู้แข็งแกร่งเห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนในตำนานเลย ช่างทำให้รู้สึกเศร้าใจจริงๆ เบื้องหน้าท่านนี้เป็นแค่โจรป่าคนหนึ่ง เขามีคุณสมบัติอะไรที่จะทำพันธสัญญาพันธมิตรกับหลี่ซื่อหมินที่แม่น้ำเว่ยสุ่ย ชายชาตรีบนทุ่งหญ้าไม่เกรงกลัวความตายไม่ใช่หรือ เหตุใดเมื่อมาถึงรุ่นข่านเจี๋ยลี่ ทุกสิ่งอย่างกลับเปลี่ยนไป

 

 

เรื่องการขุดหลุมของกระรอกนั้นเป็นความจริง จางเป่าเซียงขุดเอาเขาออกมาจากหลุมกระรอกจริงๆ ถ้าเหล่าจางไม่พบความผิดปกติของกระรอกมอร์มอต เขาจะต้องติดอยู่ในหลุมกระรอกจนกระหายน้ำตายทั้งเป็นหรือไม่ก็อาจจะถูกกระรอกมอร์มอตจับกิน กระรอกมอร์มอตที่จำศีลในฤดูหนาวก็กินเนื้อหรือ

 

 

ข่านเจี๋ยลี่ไม่มีความกล้าหาญเหมือนองค์หญิงอี้เฉิงแม้แต่น้อย ภรรยาของเขาตายอยู่ในกองไฟ จนกระทั่งตายก็ไม่มีเสียงร้องโหยหวนแม้แต่น้อย สตรีเช่นนี้แต่งงานกับชายที่รักตัวกลัวตายเช่นนี้หรือ

 

 

“ถุย!” อวิ๋นเยี่ยถ่มน้ำลายใส่หน้าข่านเจี๋ยลี่ แต่เขากลับไม่คิดที่จะหลบ ใช้ใบหน้าของตนเองมารับน้ำลาย คนเลวเช่นนี้แม้หั่นเป็นร้อยชิ้นก็ไม่มีทางหายแค้นได้ สมมติว่าเขาเห็นว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา พ่ายแพ้และถูกจับในสนามรบ ไม่ว่าอย่างไรอวิ๋นเยี่ยก็จะไม่หยาบคายเช่นนี้ จะปฏิบัติต่อเขาตามมารยาท เคารพเขาในฐานะวีรบุรุษคนหนึ่ง

 

 

แม้ไม่มีที่ระบายอารมณ์ หลี่จิ้งก็ไม่อนุญาตให้ทุกคนลงดาบที่เขา บอกว่าจะควบคุมตัวกลับเมืองหลวง เตรียมที่จะแสดงความน่าเกรงขามอีกครั้งบนถนนจูเชวี่ย ได้ยินเช่นนี้สีหน้าทุกคนจึงค่อยดูดีขึ้นบ้าง บางทีอาจจะได้รางวัลมากกว่าเดิมอีกด้วย

 

 

จางเป่าเซียงช่างน่ารำคาญนัก พูดแต่เรื่องกระรอกมอร์มอตไม่ยอมเลิก ทำให้อวิ๋นเยี่ยโกรธจัด

 

 

“ท่านแม่ทัพจางคุ้นเคยกับกระรอกมอร์มอตถึงเพียงนี้ เชื่อว่าจะจับกระรอกมอร์มอตได้อย่างไรคงจะต้องมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ตอนนี้ในกองทัพมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ได้ยินว่าน้ำมันของกระรอกมอร์มอตนั้นเป็นยาชั้นเลิศในการรักษาบาดแผล เช่นนั้นอยากจะรบกวนแม่ทัพจางจับกลับมาสักหลายพันตัวเพื่อกลับมาสกัดน้ำมันเพื่อใช้รักษาให้กับเหล่าทหารที่บาดเจ็บ ท่านว่าดีหรือไม่”

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่ค่อยชอบชายคนนี้ที่ช่วยข่านเจี๋ยลี่ออกมา เจ้าปล่อยให้เขาอยู่เป็นเพื่อนกระรอกในหลุมกระรอกมอร์มอตไม่ดีหรือ ทำไมจะต้องขุดเขาออกมาให้ได้ ทำให้คนเห็นแล้วน่าขยะแขยง ในเมื่อเจ้าชอบขุดหลุมนัก เช่นนั้นก็ช่วยไปขุดให้มากๆ หน่อย

 

 

ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งขุนนางหรือฐานันดรศักดิ์นั้นล้วนแต่ห่างไกลจากอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก เมื่อได้รับการสั่งการที่คำสั่งก็ไม่ใช่ คำขอก็ไม่เชิง เขาจึงหันไปมองหลี่จีด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หวังว่าหลี่จีจะช่วยขอร้องแทนตัวเองสักหน่อย ตอนนี้เป็นฤดูหนาว กระรอกมาร์มอตกำลังจำศีลซ่อนตัวอยู่ในหลุมไม่ปรากฏออกมาให้เห็น แล้วจะให้เขาไปตามจับนับพันตัวมาจากที่ไหนกัน

 

 

 “อวิ๋นโหว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่อากาศหนาวเย็น กระรอกมอร์มอตก็ไม่ได้มีน้ำมันมากพอที่จะให้ท่านสกัดได้ รอให้ถึงฤดูใบไม้ร่วงก่อนดีหรือไม่ ในช่วงนั้นเป็นเวลาที่กระรอกมอร์มอตอ้วนพี ถึงตอนนั้นข้าจะมอบให้ท่านหลายๆ โอ่งเลยดีหรือไม่” หลี่จีช่วยออกหน้าแทนจางเป่าเซียง อวิ๋นเยี่ยจึงได้แต่ยิ้มและตอบรับเท่านั้น

 

 

อวิ๋นเยี่ยกลับมาที่กระโจมด้วยความไม่พอใจ กระโจนตัวลงบนเตียง จ้องมองยอดกระโจมอย่างเหม่อลอย เขายอมรับว่าการตายขององค์หญิงอี้เฉิงมีผลกระทบต่อความรู้สึกเขาจริงๆ หวังอย่างยิ่งว่าสามีของนางจะไม่มีความหวาดกลัว ตายอย่างสมศักดิ์ศรีของราชา นี่จึงจะทำให้เขายอมรับได้ว่านี่คือวีรบุรุษในความคิดเขา ใครจะรู้ว่า… ช่างเถอะ อย่าพูดถึงเลย

 

 

ฮ่วนเหนียงถอดรองเท้าให้เขา นึกว่าอวิ๋นเยี่ยที่หลับตาอยู่นอนหลับไปแล้ว จึงห่มผ้าห่มให้เขาและกำลังเตรียมจะออกไปอย่างเงียบๆ

 

 

“ข่านเจี๋ยลี่ถูกจับแล้ว เจ้าจะไปดูเขาเสียหน่อยไหม” อวิ๋นเยี่ยถามฮ่วนเหนียง

 

 

เมื่อถามจบ ดูเหมือนว่าฮ่วนเหนียงเกิดความหวาดกลัว สั่นเทาไปทั้งตัว นางกอดเท้าอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “อย่าให้ข้าไปเจอปีศาจตนนั้นเลย นายท่าน โปรดสงสารข้าเถิด อย่าให้ข้าไปเจอปีศาจตนนั้นเลย”

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ถามอีก เพียงแค่ปลอบใจนาง “ข้าจะไม่ให้เจ้าไปพบเขาอีกและเขาก็จะไม่มาหาเจ้า ข้าจะไปตีขาเขาให้หัก” ฮ่วนเหนียงพูดกับอวิ๋นเยี่ยพลางร้องไห้ “หลายวันนี้ที่มีนายท่านอยู่ ถือว่าเป็นวันเวลาที่เงียบสงบที่สุดในรอบสามสิบปีของข้า ข้าชอบที่จะมีชีวิตอยู่เช่นนี้ต่อไป ทุกวันดูแลเรื่องอาหารการกินเสื้อผ้าอาภรณ์ให้นายท่าน เวลาที่เหลือข้าสามารถปักผ้าและตัดเสื้อผ้าสองชุด เมื่อก่อนวันเวลาเช่นนี้ได้แต่ปรากฎอยู่ในฝันของข้าเท่านั้น “

 

 

“ขอเพียงเจ้าชอบ เจ้าก็จะได้ใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไป ไม่มีใครกล้าขัดขวางเจ้า เจ้าพักอยู่ในกระโจมให้สบาย อยากทำอะไรก็ทำ ข้าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย” อวิ๋นเยี่ยสวมรองเท้าและเสื้อคลุมตัวใหญ่ ก่อนจะถือกล่องยาเดินออกไป

 

 

อวิ๋นเยี่ยมาหาซุนซือเหมี่ยวที่กระโจมแล้วพูดกับเขาว่า “มียาที่สามารถทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดราวกับตายทั้งเป็นแต่ไม่ถึงตายหรือไม่”

 

 

“มี เจ้าเองก็มี พริกขี้หนูนั้นสามารถใช้ได้ผลตามที่เจ้าต้องการ แต่ระหว่างปรุงเจ้าต้องระวัง อย่าลืมเพิ่มลงไปในยาจินชวงเย่าเล็กน้อยก็พอแล้ว ต้องวิจัยอย่างละเอียดมากมันจึงจะไม่ถูกใครจับได้” เหล่าซุนดูเหมือนจะไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่ ในมือก็ยังคงหั่นยาสมุนไพรต่อไป สมุนไพรไป๋จู๋[1]ท่อนใหญ่ท่อนเล็กก็ถูกเขาหั่นออกมาเป็นชิ้นที่ได้ขนาดแทบจะเท่ากันทุกชิ้น

 

 

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าจะจัดการกับใคร”

 

 

“นอกจากข่านเจี๋ยลี่แล้ว ข้ายังนึกไม่ออกว่าใครเป็นคนมาหาเรื่องเจ้า ตอนบ่ายเจ้าหาเรื่องระบายใส่จางเป่าเซียง ข้าบังเอิญเดินผ่านมา คำพูดของเจ้าปกปิดรังสีแห่งการฆ่าเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ต่อมาเจ้าก็เงียบสงบลง ตอนนี้เกรงว่าคงเป็นเพราะสิ่งที่ฮ่วนเหนียงต้องประสบพบเจอ จึงทำให้เจ้าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้กระมัง ให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานได้ แต่อย่าฆ่าเขา”

 

 

คนเราเมื่อมีอายุแล้วก็จะกลายเป็นพวกเจ้าเล่ห์เพทุบาย ซุนซือเหมี่ยวในตอนนี้ยังไม่ถือว่ามีอายุมากนัก ผมดกดำทั้งศีรษะ จอนผมยาวพลิ้วไหว เป็นพี่ชายรูปงามวัยกลางคนแต่จิตใจช่างอำมหิตจริงๆ ถึงขั้นคิดจะใช้พริกขี้หนูมารักษาข่านเจี๋ยลี่ อวิ๋นเยี่ยชอบแนวคิดสร้างสรรค์อันนี้จริงๆ

 

 

”ข้ามียาขี้ผึ้งที่เคี่ยวมาจากดอกมั่นถัวหลัว[2]อยู่เล็กน้อย โรยลงไปเล็กน้อยก็จะทำไม่รู้สึกเจ็บปวด เพียงแต่มีผลเพียงหนึ่งชั่วยาม เจ้าคิดว่ามันมีประโยชน์หรือไม่” เหล่าซุนใช้น้ำเสียงถ่อมตนถกปัญหาการแพทย์ ขอคำปรึกษาจากอวิ๋นเยี่ย

 

 

“ข้าคิดว่ายาทั้งหมดที่ยังไม่ได้รับทดสอบ ไม่สามารถเรียกว่ายาได้ วันนี้ข้าจะทำการทดลองกับผู้ป่วยดู คิดว่าผู้ป่วยก็คงไม่มีความเห็นใดๆ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพยา ข้าจะเพิ่มปริมาณตัวนำยาให้มากขึ้นไปอีก เพื่อทดสอบประสิทธิภาพยาสมุนไพรที่แท้จริงของนักพรตซุน” หลังจากพูดจบ ก็ผงกศีรษะให้กับนักพรตซุนอย่างสุภาพแล้วจากไป

 

 

ข่านเจี๋ยลี่ที่ผมกระเซิงหน้าสกปรกเปรอะเปื้อนกำลังถือน่องแกะเคี้ยวอยู่ จางเป่าเซียงที่เป็นถึงรองผู้บัญชาการของหน่วยต้าถงเต้ากำลังถือเหล้าหนึ่งกาคอยรินให้กับข่านเจี๋ยลี่ เขากลัวว่าข่านเจี๋ยลี่จะตายไป ดังนั้นเรื่องดื่มกินเขาจึงดูแลอย่างดีมาก

 

 

อวิ๋นเยี่ยนำกล่องยาเดินเข้ากระโจมมาและบอกให้เจี๋ยลี่เปิดบริเวณที่เป็นแผลออก เขาไม่อยากเข้าใกล้คนมีกลิ่นกายเหม็น จางเป่าเซียงรีบกุลีกุจอช่วยข่านเจี๋ยลี่ถกแขนเสื้อขึ้น อวิ๋นเยี่ยเห็นเขาเนื้อตัวสกปรกเปรอะเปื้อนจึงรู้สึกอยากอาเจียน อดทนใส่ยาจนเสร็จก็รีบร้อนจากไป

 

 

“ท่านข่านรู้หรือไม่ว่าชายหนุ่มที่เข้ามาเมื่อครู่เป็นใคร” จางเป่าเซียงพูดกับข่านเจี๋ยลี่

 

 

“หมอที่อยู่ในกองทัพของพวกเจ้าหรือ ฝีมือไม่เลว บาดแผลของข้าไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย”

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว เขาเป็นหนึ่งในสองคนที่ฝีมือแพทย์สูงส่งที่สุดในต้าถังเรา แต่เป็นโหวเจวี๋ยท่านหนึ่ง”

 

 

“เขาเป็นใคร ภายหน้าข้าต้องไปคารวะถึงบ้านอย่างแน่นอน”

 

 

“พวกเจ้ารู้จักแน่ เขาคือหลานเถียนโหวอวิ๋นเยี่ย”

 

 

 

 

——

 

 

[1] สมุนไพรไป๋จู๋ เป็นยาสมุนไพรจีนที่เอาไว้ใช้รักษาอาการโรคกระเพาะ อาหารไม่ย่อย

 

 

[2] ดอกมั่นถัวหลัว หรือ ดอกลำโพงม่วง วงกลีบดอกเป็นรูปหลอด สีขาวหรือสีม่วงซีด ผลเป็นกระเปาะทรงกลม ผิวมีหนามสั้น หรือผิวเรียบ ทุกส่วนของพืชมีสารอัลคาลอยด์ชนิดโทรเพนในระดับอันตราย