ส่วนที่ 4 ตอนที่ 48 แกะน้อยที่กำลังมีความรัก

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ขณะที่กองทัพเริ่มเฉลิมฉลองชัยชนะ เสียงครึกครื้นดังกึกก้องไปทั่วค่ายทหาร ทันใดนั้นก็เกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดปานใจจะขาดดังขึ้นมาจากค่ายด้านหลัง จางเป่าเซียงรีบร้อนลนลานมาหาอวิ๋นเยี่ยที่นั่งปะปนอยู่ในกลุ่มทหารกินเนื้อคำโตอยู่

 

 

การถูกดึงตัวออกมาจากกลุ่มที่กำลังสนุกสนานย่อมเกิดความไม่พอใจเป็นธรรมดา อวิ๋นเยี่ยเหล่มองจางเป่าเซียงผู้ที่ทำอะไรไม่ถูก แล้วพูดขึ้นว่า “เหล่าจาง เจ้ามักจะขัดความสุขผู้อื่นเช่นนี้หรือ วันนี้เป็นเวลาที่ทั้งกองทัพเฉลิมฉลอง เจ้าลากข้าออกมาเพราะเหตุใดกัน”

 

 

“อวิ๋นโหว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว จู่ๆ ข่านเจี๋ยลี่ก็รู้สึกว่าบริเวณแผลทั้งมือและเท้าร้อนเหมือนถูกไฟเผา ราวกับถูกเข็มแทง ตอนนี้เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น ดูท่าคงมีชีวิตอีกไม่นาน” ความมั่งมีทั้งหมดของเขานั้นเกี่ยวพันอยู่กับข่านเจี๋ยลี่ ในเวลานี้เกิดเรื่องกับข่านเจี๋ยลี่ยังน่ากลัวกว่าเกิดเรื่องกับตัวเองเสียอีก

 

 

“เพียงแค่นักโทษคนหนึ่ง ควรค่าให้เจ้าตื่นตระหนกเช่นนี้หรือ ข้าก็ดูอาการให้เขาแล้วไม่ใช่หรือไร ชายคนนี้มีสุขภาพดีไม่ตายง่ายๆ หรอก นี่เป็นปฏิกิริยาของยาตามปกติ ไม่เป็นไร หากเจ้าคิดว่าเขาร้องโวยวายเสียงดังน่ารำคาญ ก็นำผ้ามาอุดปากเขาก็สิ้นเรื่องแล้ว” เมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องนี้ อวิ๋นเยี่ยก็กัดขาแกะในมือกินหนึ่งคำโดยไม่สนใจไยดี

 

 

จางเป่าเซียงถูสองมือ เดินวนอย่างกระวนกระวาย ไม่มีวิธีการใดเลยหรือ หากรู้แต่แรกว่าอวิ๋นเยี่ยมีเจตนาไม่ดีกับข่านเจี๋ยลี่ ในตอนบ่ายเขาจะไม่ปล่อยให้อวิ๋นเยี่ยเข้าไปรักษาอาการแน่ ตอนนี้บาดแผลเก่ายังรักษาไม่หาย ทั้งยังได้แผลใหม่อีก เขาไม่สนใจชะตากรรมของข่านเจี๋ยลี่หลังจากกลับไปถึงเมืองหลวงแล้ว สนใจเพียงว่าข่านเจี๋ยลี่จะนำพาผลประโยชน์มาให้มากน้อยเท่าไร ข่านเจี๋ยลี่ที่ตายแล้วจะมีค่ามากกว่าเจี๋ยลี่ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร

 

 

อวิ๋นเยี่ยอยากเห็นว่าตอนนี้ข่านเจี๋ยลี่เป็นอย่างไรกันแน่ เขาโดนลากมาที่กระโจมด้วยท่าทีแกล้งอิดออดว่าจะปฏิเสธ ข่านเจี๋ยลี่ฉีกผ้าป่านที่พันไว้ที่มือและเท้าออกหมดแล้วและล้างบริเวณแผลด้วยน้ำสะอาด น้ำมันพริกมีหรือจะให้ล้างออกกันง่ายๆ ติดอยู่บนผิวเหมือนซึมลึกเข้ากระดูก

 

 

มือและเท้าเลือดไหลไม่หยุด ตัวเขาเองก็ไม่สนใจ เพียงแต่หวังว่าจะไหลให้มากขึ้นอีกหน่อย เพราะการที่เลือดไหลไม่หยุดเขาจึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง คนเราเมื่อเจ็บปวดถึงที่สุดมักจะทำอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาด เช่นข่านเจี๋ยลี่ เขาจะถูมือและเท้าบนทราย สมมติว่าถ้าโลกนี้มี “ยาแห่งความเสียใจ” จริงๆ ตอนนี้ข่านเจี๋ยลี่คงอยากกินเอาเสียมากๆ ปลิดชีพตัวเองในหนึ่งดาบตั้งแต่แรกดีกว่าต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่

 

 

เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยนั่งยองมองเขาอยู่เหนือศีรษะตนก็ส่งเสียงคำราม จะเข้าไปคว้าอวิ๋นเยี่ยไว้ อวิ๋นเยี่ยถือน่องแกะแล้วก้าวถอยหลัง โซ่ที่คอของข่านเจี๋ยลี่ก็ถูกลากจนตึง จางเป่าเซียงรีบพุ่งตัวเข้ามาแยกทั้งสองคนออกจากกันแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย ปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไปก็ไม่ใช่วิธีที่ดี ข่านเจี๋ยลี่ต้องกลับฉางอันทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ มีเพียงข่านเจี๋ยลี่ที่ยังมีชีวิตเท่านั้นจึงจะทำให้เหล่าชนกลุ่มน้อยตามชายแดนยอมสยบและหวาดกลัว ท่านก็ปล่อยเขาชั่วคราว เมื่อถึงฉางอันแล้วท่านจะใช้ห้าม้าแยกร่างก็สุดแท้แต่ท่าน”

 

 

ไม่รู้ว่าซุนซือเหมี่ยวเดินยกน้ำเจ้าเจี่ยว[1]เข้ามาหนึ่งอ่างตั้งแต่เมื่อไหร่กัน มายืนอยู่ด้านหน้าข่านเจี๋ยลี่ เขาจุ่มสองมือลงในอ่าง เห็นเพียงคราบมันผสมกับเลือดสดลอยขึ้นมาเป็นชั้นบางๆ เขาใช้ผ้าเช็ดให้กับข่านเจี๋ยลี่ ในที่สุดข่านเจี๋ยลี่ที่ส่งเสียงร้องโหยหวนก็เงียบสงบลง

 

 

“เรื่องที่ให้เจ้าต้องทนทรมานเป็นความคิดของข้าเอง ในครั้งนี้ที่ยอมละเว้นเจ้าก็เพราะเจ้ายังมีประโยชน์อยู่ สำหรับผู้ที่เป็นวีรบุรุษ แม้จะโชคร้ายเพียงไหนคนอื่นก็ไม่สามารถดูหมิ่นดูแคลนได้ มีเพียงคนเช่นเจ้าเท่านั้นจึงจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด นำไปเป็นตัวอย่างให้ชนเผ่าป่าเถื่อนเผ่าอื่นๆ ดู” อวิ๋นเยี่ยชำเลืองมองสีหน้าไร้ความรู้สึกของนักพรตแล้วยิ้มๆ เตรียมที่จะไปนั่งข้างกองไฟย่างน่องแกะในมือของเขาที่เย็นชืดหมดแล้วต่อ เรื่องนี้ซุนซือเหมี่ยวออกหน้าแบกรับไว้แล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่จำเป็นต้องยอมรับอีก

 

 

การทรมานคนก็ไม่ใช่จุดแข็งของอวิ๋นเยี่ย ราชาคนหนึ่งที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่นนั้นไม่มีอะไรน่าดูเลยจริงๆ เคยเห็นตั้งแต่ในยุคคปัจจุบันแล้ว

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาอวิ๋นเยี่ยไม่เคยต้องการเป็นคนดี เป็นคนดีนั้นเสียเปรียบเกินไป พวกโจรและพวกเอารัดเอาเปรียบทั่วหล้านี้อยู่กันอย่างเสวยสุขกันอย่างเต็มที่ด้วยการวางอำนาจบาตรใหญ่ กินอาหารเลิศรส สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นดี คนดีได้แต่ซ่อนตัวนั่งกินซาลาเปานึ่งอยู่ที่มุมห้องที่ข้างกำแพง สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ อวิ๋นเยี่ยเคยพิสูจน์แล้วขณะที่อยู่ในเมืองฉางอัน ตอนนี้ไม่ต้องการจะกลับไปเดินซ้ำรอยเดิมอีก

 

 

คนที่เดินซ้ำรอยเดิมใช่ว่าไม่มี น่ารื่อมู่คิดแค่อยากจะเลี้ยงแกะ เด็กที่กำลังโตสิบกว่าคนวันหนึ่งๆ ออกไปแต่เช้ากลับมาตอนค่ำ พวกเขามีวัวยี่สิบตัวและแกะไม่ถึงหนึ่งร้อยตัว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นางเก็บกลับมา รวมทั้งเด็กๆ เหล่านั้นด้วย พวกเขาจับไม้ง่ามเขี่ยหิมะก้อนใหญ่ขึ้นมาแล้วเขย่าให้ร่วน วัวและแกะก็จะสามารถเขี่ยหิมะออกได้โดยง่ายและก็ได้กินหญ้าที่อยู่ใต้หิมะ หลายวันที่ผ่านมานางไม่ได้ยุ่งวุ่นวายกับอวิ๋นเยี่ยอีก ดูเหมือนว่าความรักของนางจะจากไปไกลแล้ว

 

 

อวิ๋นเยี่ยถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกและเล่าให้ฮ่วนเหนียงฟัง ใครจะรู้ว่านางไม่ได้หัวเราะเลยแม้แต่น้อย รอจนอวิ๋นเยี่ยหัวเราะจนพอแล้วจึงพูดว่า “โหวเหยีย ผู้หญิงบนทุ่งหญ้าก็เป็นเช่นนี้ ชีวิตสำคัญกว่าความรักอันหอมหวานเสมอ คนเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีวัวและแกะไม่เรียกว่าคนเลี้ยงสัตว์ เรียกว่า ข่าเค่อ ซึ่งก็คือที่ชาวฮั่นเรียกว่าพวกเกาะเขากินไปวันๆ พวกเขาเป็นคนที่ถูกรังเกียจเหยียดหยามมากที่สุดของคนเลี้ยงสัตว์ มีเพียงแต่การเลี้ยงสัตว์ให้คนอื่นแลกกับอาหาร ถ้าหากสภาพการณ์ในปีนั้นไม่ดี พวกเขาก็จะถูกฆ่าก่อนเป็นกลุ่มแรก พวกเขาไม่มีวัวและแกะได้แต่กินของคนอื่น อาหารบนทุ่งหญ้าเมื่อตายไปหนึ่งก็จะลดลงไปหนึ่ง จึงจำเป็นจะต้องมอบอาหารให้แก่นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดและผู้หญิงที่พร้อมสืบพันธุ์ที่สุด การสงครามบนทุ่งหญ้าคราวนี้จะต้องทำให้เกิดข่าเค่อเป็นจำนวนมากแน่นอน น่ารื่อมู่ไม่ต้องการเป็นข่าเค่อ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีการกระทำดังกล่าว นอกจากนี้ฤดูหนาวกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว น่ารื่อมู่จะไม่หาคนรักเพื่อที่จะมีลูกด้วยกันในเวลานี้ เพราะลูกของนางจะต้องเกิดในฤดูหนาวที่หนาวที่สุดและจะไม่รอดชีวิต”

 

 

ความจริงได้ให้บทเรียนกับอวิ๋นเยี่ยมากขึ้นอีกหนึ่งสิ่ง ความคิดที่ว่าตนเองเป็นคนเนื้อหอมเมื่อหลายวันก่อนทำให้เขาหน้าแดงไปถึงใบหู ฮ่วนเหนียงป้องปากแล้วหัวเราะเบาๆ รอยตีนกาที่หางตายิ่งเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ  ท่าทางของอวิ๋นเยี่ยที่หน้าแดงดูแล้วซื่อบื้อยิ่งนัก ความคิดแปลกประหลาดของชายหนุ่มที่อยากจะให้หญิงทั่วทั้งใต้หล้ามาหลงรักตัวเองเพียงคนเดียว ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมากและรู้สึกคุ้นเคย

 

 

อวิ๋นเยี่ยมีเพียงความรู้สึกดีๆ ให้กับน่ารื่อมู่เท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าความรัก ตอนนี้ได้รู้ในทันทีว่าน่ารื่อมู่ไม่ได้คิดอะไรกับเขา เพียงแต่เป็นเช่นเดียวกับแกะเพศเมีย เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ก็จะเข้าใกล้แกะเพศผู้ไปตามธรรมชาติ ตัวเองช่างโชคร้ายจริงๆ ที่กลายเป็นแกะตัวผู้ที่น่ารื่อมู่ถูกใจ ฤดูหนาวเป็นฤดูที่ชาวทุ่งหญ้าจะผสมพันธุ์กัน มีเพียงตั้งครรภ์ในเวลานี้เท่านั้นจึงจะสามารถให้กำเนิดบุตรในฤดูใบไม้ร่วงที่เสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์ที่สุด โอกาสมีชีวิตรอดจึงมีมากยิ่งขึ้น

 

 

นอกจากชนชั้นสูงเหล่านั้นแล้ว คนเลี้ยงสัตว์ธรรมดาทั่วไปจะไม่เลือกที่จะตั้งครรภ์ในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งนั่นก็เพื่อสุขภาพของลูกหลาน พวกเขาเลือกที่จะทำเช่นเดียวกันกับสัตว์ป่า

 

 

อวิ๋นเยี่ยยังจะทำอะไรได้อีกนอกจากยักไหล่เท่านั้น เบ้ปากและหัวเราะเยาะตัวเอง แล้วไปหาถังเจี่ยนเพื่อปรึกษาว่าจะกลับเมืองหลวงเมื่อไหร่ เมื่อเห็นแผ่นหลังของเขาหายไป นางมีความสุขมาก นางโชคดีมากที่บั้นปลายชีวิตของนางได้มาเจอคนที่ดีจริงๆ รู้จักปล่อยวาง นี่สิจึงจะเป็นความรู้สึกที่คนดีจริงๆ พึงมีอยู่ ดีกว่าเจ้าสัตว์เดรัจฉานที่เห็นผู้หญิงก็กระโจนเข้าหาเป็นหมื่นเท่า

 

 

ในคลังของเหอเซ่านั้นเก็บสิ่งแปลกประหลาดไว้เต็มไปหมด มีดาบจันทร์เสี้ยวครึ่งท่อน ธนูไม้ที่ไร้สาย ถังเจี่ยนก็อยู่ในคลังกำลังควานหาไม่ยอมหยุด ยังมีสวี่จิ้งจงติดตามมาด้วย ถังเจี่ยนหาชุดดื่มเหล้ากระเบื้องเคลือบจนครบชุด ชุดขวดเหล้ากระเบื้องเคลือบทรงแปดเหลี่ยมหนึ่งชุดที่คอขวดสูงๆ และปากขวดด้านบนมีนกอินทรีบินตัวหนึ่งเกาะอยู่ ซึ่งนี่คือฝาขวดและประกอบด้วยแก้วแปดเหลี่ยมที่เหมือนกันอีกแปดใบ ดูหรูหรามาก

 

 

ถังเจี่ยนและสวี่จิ้งจงกำลังวิเคราะห์ลวดลายบนขวดเหล้า คนหนึ่งบอกว่าของสิ่งนี้น่าจะเป็นเครื่องใช้ของราชนิกุลสมัยราชวงศ์สุย อีกคนหนึ่งบอกว่าน่าจะเป็นสมัยที่ก่อนหน้าราชวงศ์สุยอีกเล็กน้อย เพราะนกอินทรีที่อยู่ตรงปากกานั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่รูปแบบของจงหยวน เป็นได้แค่เพียงสิ่งของในสมัยแคว้นเอียนหรือสมัยเป่ยเว่ย แต่จะยิ่งเหมือนสิ่งของของเซี่ยวเหวินตี้แห่งเป่ยเว่ยขณะที่แปรพระราชฐานลงใต้มากที่สุด

 

 

เหอเซ่ายืนยิ้มและคอยฟังอยู่ข้างๆ หลังจากฟังจบแล้วก็ให้ทหารเสริมห่อชุดถ้วยเหล้านี้อย่างระมัดระวังแล้ววางกลับเข้าไปในกล่องไม้ ประสานมือคารวะและพูดกับถังเจี่ยนว่า “ขอบคุณถังหงหลู[2]และท่านสวี่มากที่ได้เตือนสติ ข้าเหล่าเหอเกือบจะพลาดของดีเสียแล้ว”

 

 

ถังเจี่ยนขมวดคิ้ว มองไปที่สวี่จิ้งจงเห็นเขาไม่พูดอะไร จึงพูดกับเหอเซ่าว่า “ข้าไม่ได้ช่วยเลือกของอะไรให้เจ้า แต่กำลังเลือกให้ตัวเองอยู่ เจ้าเอาของเหล่านี้ใส่กล่องทำไมกัน ข้ายังไม่กลับเมืองหลวงเสียหน่อย หลายวันนี้คงยังอยู่พักผ่อนก่อน”

 

 

เหอเซ่ายังไม่ได้ทันพูดอะไร สวี่จิ้งจงก็โบกมือใส่ถังเจี่ยนและบอกว่า “เหล่าถัง เจ้าก็ประเมินความหน้าหนาของเถ้าแก่เหอเกินไปแล้ว อ้อยเข้าปากช้างแล้วมีหรือจะยอมคายออกมา ข้าไม่มีความคิดนี้ แล้วก็ไม่โกรธกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่มีชีวิตกลับไปถึงฉางอัน เพราะคลั่งใจตายแต่แรกแล้ว”

 

 

เหอเซ่าแสดงท่าทีสะอิดสะเอียนกับการวางตัวของสวี่จิ้งจงซึ่งที่เป็นรู้ใจของเหอเซ่า พูดกับถังเจี่ยนอย่างไม่ไว้หน้าว่า “สายตาของท่านช่างแหลมคม เช่นนี้ข้าจะรีบหาคนมาเขียนเอกสารผ่านการตรวจสอบของชุดถ้วยเหล้าชุดนี้ โดยกล่าวว่าจากการวิเคราะห์ผ่านสายตาเฉียบคมของถังหงหลู นี่เป็นของล้ำค่าในวังที่ตกทอดมาจากราชวงศ์เป่ยเว่ย”

 

 

ถังเจี่ยนอยู่ในต้าถัง อย่างน้อยก็ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกไร้ยางอายและมีคารมคมคาย แต่กลับถูกคำพูดของเหอเซ่าทำให้สะอึกจนไม่รู้จะต่อคำอย่างไร

 

 

อารมณ์โกรธยังไม่ทันได้ปรากฏบนใบหน้า ก็กลายเป็นสีหน้ายิ้มแย้ม ประสานมือกล่าวว่า “ข้าชอบชุดถ้วยเหล้าชุดนี้จริงๆ ข้าขอซื้อขึ้นมาได้หรือไม่”

 

 

สวี่จิ้งจงยกมือปิดหน้า ทนดูต่อไปไม่ไหว

 

 

เหอเซ่ายิ้มจนเหมือนพระสังกัจจายน์ที่อ้าปากกว้าง จูงมือถังเจี่ยนแล้วพูดว่า “ท่านชอบก็ถือเป็นเรื่องที่วิเศษที่สุด ของดีก็ควรจะอยู่ในมือของคนที่คุณค่าของมัน ชุดถ้วยเหล้าชุดนี้ใช้สำหรับงานเลี้ยงถือว่าวิจิตรตระการตาเป็นที่สุด ในเมื่อพวกเราก็เป็นคนกันเอง ให้ราคาถูกที่สุดแก่ท่านสองร้อยก้วน แล้วจะรีบส่งไปยังกระโจมของท่าน”

 

 

“เจ้าบอกว่าเท่าไรนะ เมื่อครู่ข้าได้ยินไม่ชัด ” ถังเจี่ยนแคะหูแล้วถามเหอเซ่า

 

 

“สองร้อยก้วนเอง สำหรับท่านแล้วเป็นเงินเล็กน้อย คราวนี้ถ้ากลับเมืองหลวงอย่างไรท่านก็น่าจะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งแน่ เสียเงินสองร้อยก้วนซื้อชุดถ้วยเหล้าที่ตนเองชอบสักชุด มีอะไรไม่เหมาะกัน”

 

 

“ข้าจำได้ว่าเมื่อครู่เจ้าซื้อของพวกนี้มาทั้งหมดเพียงสองร้อยเหวิน ทำไมเมื่อขายข้าจึงได้กลายเป็นสองร้อยก้วนไปเล่า” ถังเจี่ยนเต้นผางดั่งฟ้าผ่า ชี้หน้าเหอเซ่าเต้นผางด่าอย่างรุนแรง

 

 

เหอเซ่ามีความสามารถในการอดทนต่อการดูถูกเหยียดหยามมานานแล้ว ยิ้มตาหยีแต่ก็ไม่ต่อปากต่อคำ ทำให้ถังเจี่ยนไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไรดี

 

 

ขณะที่อวิ๋นเยี่ยมาถึง นักการทูตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าถังถูกเหอเซ่ายั่วโมโหจนควันออกเจ็ดทวาร ของก็ไม่ได้เป็นของตัวเอง พูดจนปากฉีกแต่เหอเซ่าก็ทำเป็นหูทวนลม ลดราคาจากสองร้อยก้วนเหลือหนึ่งร้อยแปดสิบก้วนอย่างมีความสุขและไม่ยอมลดให้อีกแล้ว

 

 

“เหล่าเหอ เจ้าทำเช่นนี้ไม่ถูก ทุกคนเป็นคนรู้จักกัน ทำไมเจ้าจึงไม่ไว้หน้ากันบ้าง มาทะเลาะกันกับเหล่าถังเพียงเพื่อเงินไม่กี่เหวินอยู่ที่นี่จนหน้าแดงไปถึงใบหู ไม่กลัวจะกลายเป็นเรื่องตลกให้พวกทหารคุยกันหรือ”

 

 

สวี่จิ้งจงพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้าเองก็สนใจ ‘จู๋หลินสื่อฮั่ว’ ด้วย แต่ขอบอกก่อนว่า ข้าไม่มีเงินติดตัวแม้แต่แดงเดียว แต่หนังสือข้าก็อยากได้ เจ้าช่วยจัดการที”

 

 

เหอเซ่ารีบใช้สายตาวิงวอนมองอวิ๋นเยี่ยอย่างร้อนรน เขาหวาดกลัวต่อชายจอมล้างผลาญผู้โด่งดังคนนี้ เมื่อเขาขยับปากเพียงเล็กน้อย เงินหลายร้อยก้วนก็จะหายไปในอากาศ

 

 

 

 

——

 

 

[1] เจ้าเจียว เป็นสมุนไพรอย่างหนึ่งของจีน มีลักษณะคล้ายฝักถั่วโค้งงอเล็กน้อย ยาวประมาณ 1-4 เซนติเมตร มีคุณสมบัติในการชำระล้างสิ่งสกปรก ขับหนอง ลดบวม

 

 

[2] เหอเซ่าไม่ได้เรียกชื่อถังเจี่ยนตรงๆ แต่เป็นการเรียกแซ่และตามด้วยตำแหน่ง กล่าวคือ แซ่ถัง ตำแหน่ง หงหลู