เมื่อถังเจี่ยนได้ฟังที่สวี่จิ้งจงพูด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงวางขวดในมือกลับลงไปในกล่องไม้อีกครั้งและห่ออย่างระมัดระวัง มองอีกครั้งด้วยความอาลัยอาวรณ์แล้วจึงปิดฝากล่องลง พูดกับเหอเซ่าว่า “ชั่วชีวิตข้าถังเจี่ยน ไม่เคยทำเรื่องที่ละโมบเอาทรัพย์สินของคนอื่น การกระทำทั้งหมดในวันนี้ถือเป็นความอัปยศที่สุดในชีวิตข้า ข้าเพียงแค่สร้างความดีความชอบเล็กน้อยอยู่บนทุ่งหญ้าก็ทำให้ข้ามองอนาคตไม่ชัดเจนเสียแล้ว เมื่อครู่ถึงกับเกิดความคิดสกปรกขึ้น ถังเจี่ยนต้องขอโทษต่อท่านเหอไว้ ณ ที่นี้ด้วย” เมื่อพูดจบยังคารวะเขาอีกด้วย
เหอเซ่าตกใจสะดุ้งเหมือนถูกผีหลอก กระโดดไปอยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ยในอึดใจเดียว เขารู้สึกเสียขวัญจริงๆ เมื่อครู่เป็นเพียงการหยอกล้อกันอย่างหนึ่งระหว่างสหาย ไม่ว่าถังเจี่ยนจะโกรธหรือจะด่าก็ตาม เขาก็สามารถรับมือด้วยฝีปากอันแรงกล้าได้อย่างหน้าไม่ถอดสี ซึ่งนี่จะกลายเป็นเรื่องตลกระหว่างเพื่อนพ้อง ระหว่างเหล่าขุนนางด้วยกัน ใครจะใส่ใจกับเงินเพียงสองร้อยก้วน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าของชิ้นนั้นราคาไม่ถึงสองร้อยก้วน พวกเราอยู่บนทุ่งหญ้าเบื่อจนไม่รู้จะทำอะไรดี การปะทะคารมกันก็เพื่อหาเรื่องคลายเหงาให้ตนเอง แม้ว่าถังเจี่ยนจะจ่ายเหอเซ่าสองร้อยก้วนเขาก็ไม่กล้าที่จะรับไว้ ถังเจี่ยนเข้าใจดี เหอเซ่าก็เข้าใจดี อวิ๋นเยี่ยที่จะเข้ามาห้ามทัพยิ่งเข้าใจดีกว่า
ด้วยสีหน้ารู้สึกละอายใจของถังเจี่ยน ทำให้ทั้งสามคนที่เหลืออยู่ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ไม่ว่าจะล้อเล่นหรือหยอกล้อก็ไม่มีใครจริงจังถึงขั้นนี้ ถ้าหากล้อเล่นกันถึงขั้นนี้ก็มากเกินไปแล้ว ถังเจี่ยนก็เป็นคนที่อายุเกือบห้าสิบปีแล้ว ไม่ถึงกับไม่สามารถแยกแยะสถานการณ์ไม่ได้ เพื่อชุดถ้วยเหล้าหนึ่งชุดถึงกับต้องลดตัวเองถึงขนาดนี้
“ทั้งสามท่านอย่าได้ประหลาดใจไป เมื่อครู่ข้าเกิดความโลภขึ้นในจิตใจ ต้องการอยากได้ของหลายชุดนี้จริงๆ นี่คือสาเหตุที่ข้าขอขมา” ถังเจี่ยนอธิบายด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
“ในเมื่อท่านถังชอบมันก็นำไปเถอะ เพียงแค่เครื่องเคลือบที่แตกหักเท่านั้น มันจำเป็นจะต้องเอาจริงเอาจังอย่างนั้นเลยหรือ” คำเรียกที่อวิ๋นเยี่ยเรียกเหล่าถังในตอนนี้ไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก เขาแสดงออกอย่างจริงจังจนทำให้ทุกคนต้องจริงจังกับเรื่องนี้
“หากในใจไม่เกิดความโลภ ข้าจะไม่ยอมปล่อยไปแน่ แต่ตอนนี้เกิดความโลภ ก็จำเป็นจะต้องกำจัดทิ้ง แม้เครื่องเคลือบชุดนี้จะมีความสวยงาม แต่มันสำคัญสู้คุณธรรมของข้าไม่ได้” ด้วยคำพูดเหล่านี้ อวิ๋นเยี่ยจึงต้องคิดตรึกตรอง เหล่าเหอฟังจนสับสนไปหมดแล้ว สวี่จิ้งจงอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน”
ดวงตาทั้งสี่ประสานตากัน อวิ๋นเยี่ยเป็นฝ่ายยอมแพ้เป็นคนแรกและส่ายศีรษะเดินจากไปก่อน พวกเราเป็นคนปกติ อย่าไปสนใจคนบ้าเลย ของที่ชอบกลับไม่เอาไป เอาแต่ยืนดูจนน้ำลายไหล ของที่ไม่ชอบกลับพยายามแย่งกัน นี่คือตรรกะอะไรกัน คนราชวงศ์ถังเป็นคนบ้าที่ไม่มีใครอธิบายได้มากที่สุดในโลก
อวิ๋นเยี่ยไปเยี่ยมข่านเจี๋ยลี่ บนคอของเขามีโซ่เหล็กขนาดใหญ่รัดอยู่
จางเป่าเซียงกำลังพันผ้าไว้บนโซ่เหล็กให้เขา ก็เพราะกังวลว่าโซ่เหล็กจะทำลายผิวที่บอบบางของข่านเจี๋ยลี่ เมื่อถึงคราวที่นำตัวไปที่ถนนจูเชวี่ยมันจะดูไม่ดีที่ หากทำให้ชาวฉางอันต้องผิดหวังนั้นจะแย่เอา
เมื่อข่านเจี๋ยลี่เห็นอวิ๋นเยี่ยก็หดตัวถอยกลับโดยไม่รู้ตัว แม้ข้อมือและข้อเท้าจะไม่เจ็บปวดเท่าไรแล้ว แต่ว่าก็ยังมีของเหลวสีเหลืองอ่อนไหลออกมาอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะเคยฆ่าคนเป็นจำนวนมาก หรือแม้แต่ใครหลายคนที่ถูกเขาทารุณกรรมทั้งเป็นจนต้องตาย ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง คนชราและเด็ก การทรมานคนอื่น เห็นคนอื่นทรมาน ข่านเจี๋ยลี่คิดอยู่เสมอว่านี่เป็นพลังอำนาจที่เทพเจ้าทังกรี[1]มอบให้เขา ตนเองเกิดมาเพื่อให้ศัตรูคนอื่นๆ หวาดกลัว ขอบเขตของคำว่าศัตรูของเขาครอบคลุมกว้างขวางมาก ทุกคนที่ไม่ฟังความคิดของตนเองก็คือศัตรูของเขา จึงไม่ต้องมีความเมตตาใดๆ ต่อศัตรู ฝูงหมาป่าในทุ่งหญ้ามีเมื่อใดกันที่ยอมปล่อยอาหารในปากไป ไม่ฉีกกลืนกินลงไป มีหรือจะยอมเลิกรา อย่าฉีกและกลืนคือวิธีหยุด หมาป่ามีชีวิตรอดมาได้ด้วยวิธีการเช่นนี้ พวกแกะอ้วนที่ต้องกลายเป็นอาหาร ได้แต่ต้องตำหนิที่พวกเขาไม่ยอมเชื่อฟังประสงค์ของมหาผู้นำเท่านั้นเอง
ตอนนี้ชายหนุ่มที่ดูไม่มีพิษภัยคนนี้ได้ทำให้เขาได้ลิ้มลองความเจ็บปวดแสนสาหัสที่น่ากลัวกว่าความตายแล้ว การกระทำความรุนแรงต่อผู้อื่น เมื่อเห็นคนอ่อนแอกว่าตนเองก็จะหัวเราะเยาะ ตอนนี้ตนเองต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกัน จึงได้พบว่าคนขี้ขลาดที่เมื่อก่อนถูกตนเองหัวเราะเยาะเหล่านั้นกล้าหาญเพียงไหน
บนชุดคอกลมของอวิ๋นเยี่ยจะมีกระเป๋าสองใบอยู่เสมอเพื่อให้เขาสามารถเอามือซุกในกระเป๋าทำให้มืออุ่นได้ เขาเกลียดการเอาสองมือซุกไว้ในแขนเสื้อ เพราะดูแล้วเชยเป็นอย่างมาก ตอนนี้เฉิงฉู่มั่ว หลี่ไท่ หลี่เค่อและเหล่านักเรียนในสำนักศึกษาล้วนแล้วแต่มีชุดติดกระเป๋าเช่นนี้ทั้งนั้น หลี่เฉิงเฉียนอยากจะทำสักสองชุด จึงถูกจั่งซุนสั่งสอนเสียจนน้ำลายเต็มหน้า
ในกระเป๋าทั้งสองใบนี้ก็มักจะมีของจำพวกผลไม้แห้งอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่าเขาตะกละ แต่เป็นเพราะไม่มีบุหรี่ให้สูบ ปากรู้สึกอยากบุหรี่จนทนไม่ไหว มักจะรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง ตอนนี้เขาจึงหยิบถั่วเหลืองที่ทอดแล้วซึ่งทอดโดยฮ่วนเหนียงขึ้นมากำมือหนึ่ง มันอร่อยกว่าที่เขาทอดเองมากโข เขาใส่ไว้ในมือแล้วถูไปมา เป่าเปลือกที่ถูหลุดออกมาทิ้งไป หยิบใส่ปากทั้งกำมือเคี้ยวเสียงดังกร๊วบ
จางเป่าเซียงลุกขึ้นคารวะอวิ๋นเยี่ย ก่อนจะยืนแทรกระหว่างอวิ๋นเยี่ยและข่านเจี๋ยลี่อย่างแนบเนียน กลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะอารมณ์เสียจนทำร้ายคนเป็นอย่างมาก
“เจี๋ยลี่ ภาษาทางการของราชวงศ์ถังเจ้าพูดได้ดีนี่ เรียนมาจากใคร” อวิ๋นเยี่ยนั่งผิงมืออยู่ข้างเตาไฟพลางถามขึ้น
“ข้าเป็นราชาแห่งทุ่งหญ้า แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องพูดภาษาของชาวถังเป็น ไม่ต้องเรียน”
“ราชาที่มุดรูกระรอกหรือ ยังมีโซ่คล้องคอสุนัขรัดอยู่บนคอเจ้า ยังจะกล้าบอกว่าเจ้าเป็นความภาคภูมิใจของเทพเจ้าทังกรีอีกหรือ องค์หญิงอี้เฉิงสอนกระมัง” อวิ๋นเยี่ยไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมราชาที่เ**้ยมโหดและดุร้ายแห่งทุ่งหญ้า ภายใต้การคุกคามของความตายกลับไม่สนใจศักดิ์ศรีของตัวเอง ยอมละทิ้งทุกสิ่งเพื่อต้องการที่จะอยู่รอดต่อไป เพราะอะไร
“ฮ่องเต้ชาวฮั่นของเจ้าก็เคยถูกสือหู่ซวนล่ามโซ่เหมือนสุนัขไม่ใช่หรือ ข้าก็แค่เลียนแบบเขามีอะไรไม่ถูกหรืออย่างไร” ตอนนี้ข่านเจี๋ยลี่ทำตัวไร้ยางอายสิ้นดี คำพูดเหล่านี้นั้นหมายความว่า เขาไม่สนใจว่าอะไรที่เรียกว่าศักดิ์ศรีของราชา ต้องการเพียงแค่มีชีวิตรอด เขาใช้เหตุการณ์ที่ตัวเองเคยประสบพบเจอมาลบหลู่ดูหมิ่นอวิ๋นเยี่ยเพื่อระบายความเจ็บปวดในใจเสียหน่อย
จางเป่าเซียงได้ยินข่านเจี๋ยลี่พูดเช่นนี้ ในใจก็แอบคิดว่าแย่แล้ว ขณะที่กำลังคิดหาวิธีเกลี้ยกล่อมอวิ๋นเยี่ย คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเยี่ยจะหัวเราะและพูดกับข่านเจี๋ยลี่ว่า “วันนี้ข้าว่างมากจนไม่มีอะไรทำจริงๆ จึงตั้งใจมาดูสภาพที่น่าสมเพชของเจ้าโดยเฉพาะ เจ้าพูดถูก ใครก็ตามที่ก่อกรรม ท้ายที่สุดก็ต้องชดใช้กรรม ท่าทางเจ้าคงจะยังไม่ตายง่ายๆ แล้วพวกประชาชนของเจ้าจะทำอย่างไร”
ข่านเจี๋ยลี่หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังขึ้นมา ใบหน้าดุร้าย เขาหายใจแรงแล้วพูดว่า “เมื่อตอนที่หลี่จิ้งบุกทำลายค่าย พวกเขาไม่ได้พยายามต่อสู้อย่างสุดความสามารถ ตอนนี้ตกอยู่ในมือของพวกเจ้า จะฆ่าหรือจะปล่อยก็สุดแท้แต่ความต้องการของฮ่องเต้ต้าถังแล้ว ข้ายังเอาตัวเองไม่รอดเลย ไม่มีเวลาไปคิดถึงอนาคตของพวกเขาหรอก”
อวิ๋นเยี่ยและจางเป่าเซียงต่างมองหน้ากัน ด้วยไม่คิดเลยว่าเขาจะตอบเช่นนั้น
“ท่านข่าน ดูเหมือนข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นคนแรกที่ขี่ม้าเร็วหนีเป็นคนแรก เหตุใดจึงไปตำหนิพวกเขาเล่า” ในฐานะที่จางเป่าเซียงเป็นแม่ทัพคนหนึ่ง เขาเกลียดผู้ที่หลบหนีขณะเผชิญศึกเป็นที่สุด บทบาทของข่านเจี๋ยลี่ในสงครามครั้งนี้ดูไม่ดีเอาเสียเลย
“หลังจากที่ข้าตายไปแล้ว จะไปสนใจทำไมว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก แม้จะฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่เกี่ยวกับข้า นี่อาจเป็นความคิดทั่วไปของผู้เป็นราชากระมัง”
วันนี้ได้รับประโยชน์มากมาย ได้เห็นความเข้มงวดในการสำรวจความประพฤติของตนเองของถังเจี่ยน ได้เห็นความคิดของผู้เป็นราชาที่เห็นแก่ตัวอย่างยิ่งของข่านเจี๋ยลี่ อวิ๋นเยี่ยเดินเล่นบนพื้นหิมะด้วยความพึงพอใจ มาถึงสถานที่ที่องค์หญิงอี้เฉิงเผาตัวตายและพูดกับพื้นดินที่ไหม้เกรียมบริเวณนั้นว่า “ผู้หญิงที่โชคร้าย เจ้าเข้มแข็งมาชั่วชีวิตแล้วเป็นเช่นไร กลับต้องตายอย่างไร้ค่า การสละชีวิตและศักดิ์ศรีของตนเองเพื่อผู้อื่นอย่างเรื่อยเปื่อยนั้นไม่ควรกระทำ ตอนนี้ดูไปแล้วเหมือนเป็นการกระทำที่โง่เขลาที่สุด ตกดึกเจ้าอย่าได้เข้ามาในความฝันข้าเชียว ก่อแต่เรื่องวุ่นวายไม่หยุดหย่อน มันทำให้ข้าไม่ได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่มเลย มักจะเห็นเจ้ายืนอยู่ในกองไฟและยิ้มให้ข้า เมื่อได้ยินคำพูดของข่านเจี๋ยลี่แล้ว เจ้าน่าจะตายตาหลับแล้วกระมัง แม้แต่ชื่อของเจ้าเขายังขี้เกียจที่จะเอ่ย เจ้ายังคิดว่าเขาจะซาบซึ้งใจเจ้าหรือ การรบกวนความฝันของผู้อื่นถือเป็นบาปหนานะ อย่ามารังควานข้าอีก จบแต่เพียงเท่านี้ สิ่งที่ข้าทำได้ก็ทำแล้ว ไปสู่สุขคติเถอะ! “
การที่หาเรื่องข่านเจี๋ยลี่นั้นไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบของอวิ๋นเยี่ย แต่เป็นเพราะหลังจากที่องค์หญิงอี้เฉิงตายต่อหน้าต่อตาเขา เขาก็ฝันร้ายอย่างต่อเนื่อง มีหลายครั้งที่ตื่นขึ้นมากกลางดึกด้วยเหงื่อที่เปียกโชกชุดนอน ในฝันนั้น ดวงตาสดใสคู่นั้นขององค์หญิงอี้เฉิงมักจะดูเหมือนมีบางสิ่งที่ต้องการพูดกับเขา
โดยเฉพาะเช้าวันนี้ ฮ่วนเหนียงบอกเขาว่าองค์หญิงก็ชอบทานถั่วเหลืองทอดเช่นกัน พริบตานั้นอวิ๋นเยี่ยก็ขนลุกขึ้นมา ราวกับว่าหลังจากการตายขององค์หญิงอี้เฉิงแล้วตนเองจึงได้ชอบของสิ่งนี้ขึ้นมา ความเคยชินแย่ๆ ที่ชอบกินถั่วเหลืองทอดต้องแก้ไขเสีย
จึงหยิบถั่วเหลืองทอดทั้งหมดที่มีอยู่ในกระเป๋าออกมาแล้วโรยลงบนพื้นดินที่ไหม้เกรียมให้ทั่วๆ หลังจากควานค้นทั่วกระเป๋าจนไม่พบว่าเหลือถั่วเหลืองอีกแล้ว จึงค่อยถอนหายใจโล่งอก
กระท่อมหิมะตอนนี้ไม่สามารถอยู่ได้แล้ว เพียงแค่ด้านในมีการติดไฟด้านใน ภายในกระโจมก็จะมีน้ำหยดแปะๆ อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่ทุ่งหญ้าที่อยู่ขั้วโลกเหนือจริงๆ แม้ว่ากลางเดือนสองอากาศจะหนาว แต่ก็สามารถรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิ บนเนินเขาที่หันหน้ารับแสงอาทิตย์ตอนนี้หิมะเริ่มละลายแล้ว วัวและแกะก็ไม่ได้เกียจคร้านเหมือนช่วงก่อนหน้า กระจัดกระจายกินอาหารบนเนินเขาอย่างตะกละตะกลาม ฤดูหนาวที่ไม่ว่าจะโหดร้ายเพียงใดก็มีวันที่จะต้องผ่านไปเช่นกัน
ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังสั่งให้ทหารเสริมเก็บกวาดหิมะบนกระโจมอยู่นั้น ในที่สุดทูตของฉางอันก็มาถึง หัวหน้าหน่วยก็คือเวินเยี่ยนปั๋วน้องชายของเวินต้าหย่า เขาเป็นหวงเหมินซื่อหลาง ทั้งตระกูลเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ถังและตระกูลหลี่ ตั้งแต่สมัยที่หลี่หยวนออกรบเขาก็เป็นผู้ติดตาม ด้วยเหตุนี้จึงมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับหลี่ซื่อหมิน ดังนั้นทั้งครอบครัวของเขาจึงเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วอย่างไม่ต้องกังวลอะไรเลย
กลุ่มคณะทูตนั้นทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกได้แต่เพียงความหรูหรา หรูหราเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่นำทรัพย์สินเงินทองมาเป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีหญิงงามที่งามระดับแนวหน้าตั้งหลายคันรถ ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังยืนน้ำลายไหลรอให้เหล่าเวินมอบให้เขาสักคนสองคนอยู่นั้น ข่าวร้ายก็ถูกถ่ายทอดออกมา
“ขอให้หลานเถียนโหวกลับเมืองหลวงทันที อย่าได้ล่าช้า” นี่คือราชโองการที่เวินเยี่ยนปั๋วถ่ายทอดให้อวิ๋นเยี่ยฟัง ไม่ได้บอกที่มาและก็ไม่ได้บอกที่ไป เพียงแค่ประโยคเดียว กลับเมืองหลวง! ทันที! ขาดเพียงเขียนเพิ่มอีกประโยคว่าหากกลับไปช้าจะตีให้ขาหักเลย
“ท่านเวิน ปกติราชโองการของข้าจะต้องเป็นราชโองการจากฮองเฮาไม่ใช่หรือ เหตุใดครั้งนี้จึงเป็นพระราชโองการของฝ่าบาทเล่า”
เวินเยี่ยนปั๋วเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง พูดกับอวิ๋นเยียด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฝ่าบาทตรัสสั่งด้วยพระองค์เอง ข้าได้ยินมาว่าเมื่อเจ้ามีอายุครบสิบเจ็ดปีก็จะถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้นจึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของฝ่าบาท ตอนนี้ไท่ซั่งหวงเที่ยวป่าวประกาศไปทั่วเมืองหลวง โดยบอกว่าเพราะเจ้าหนีหนี้การพนันของพระองค์จึงได้มาที่ทุ่งหญ้า ทั้งยังบอกว่าเจ้าน่าสงสารจึงตัดสินใจที่จะรับคืนเฉพาะเงินต้น สำหรับดอกเบี้ยนั้นก็ช่างเถอะ อย่างไรเสียเจ้าก็รีบกลับเมืองหลวงและคืนหนี้การพนันเสีย ลูกผู้ชายอกสามศอกสร้างหนี้สินมันน่าดูที่ไหนกัน”
“พี่ชายของท่านเป็นหนี้พนันข้าอยู่ห้าร้อยก้วนยังไม่ได้ใช้คืน ดูท่าคราวนี้กลับถึงเมืองหลวงแล้วต้องตามทวงหนี้ก่อน จากนั้นจึงค่อยถวายเอกสารเงินกู้ประทับตรา[2]คืนให้ไท่ซั่งหวง หากข้าน้อยโชคร้าย ครอบครัวท่านก็อย่าหวังจะได้อยู่อย่างสงบเลย”
เวินเยี่ยนปั๋วก็เกิดสีหน้าโศกเศร้าขึ้นในทันใด พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นโหวคงยังไม่รู้กระมัง พี่ชายของข้าล้มป่วยเสียชีวิตก่อนวันปีใหม่แล้ว เกรงว่าเขาคงจะไม่สามารถชำระหนี้พนันให้เจ้าได้แล้ว ตอนนี้ที่บ้านมีเพียงเด็กและคนชรา เจ้ายังคิดจะไปทวงหนี้อีกหรือ”
อวิ๋นเยี่ยตกตะลึง คนโบราณเคารพนับถือผู้ตายเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะมีความแค้นยิ่งใหญ่ต่อกันก็ตาม โดยทั่วไปแล้วเมื่อลูกหนี้ตายหนี้ก็สูญเช่นกัน เพื่อเงินห้าร้อยก้วนก็คงจะไม่ถึงขั้นต้องขุดเวินต้าหย่าออกมาจากหลุมฝังศพเพื่อทวงหนี้
จึงคารวะเวินเยี่ยนปั๋วอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ว่าท่านเยี่ยนหงได้ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว เสียมารยาทแล้ว ขอท่านโปรดอภัยด้วย”
เวินเยี่ยนปั๋วหัวเราะขึ้นและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ก่อนที่พี่ชายจะจากไป เขาได้บอกกับคนในครอบครัวว่าเขาได้เสพสุขกับความรุ่งโรจน์มาชั่วชีวิตของเขา ได้เป็นขุนนางอยู่เหนือผู้อื่นไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายเลย ทุกคนในครอบครัวไม่จำเป็นต้องเสียใจ ใช้ชีวิตให้เหมือนปกติก็พอแล้ว เก็บเอาไว้ในใจดีกว่าการแกะสลักบนป้ายไม้ ทั้งยังหัวเราะพลางบอกว่าเขายินดีต้อนรับให้เจ้าไปหาเขาเพื่อทวงหนี้”
——
[1] เทพเจ้าทังกรี หรือ Tangri เนื่องจากชาวมองโกลนับถือว่า “ชางเทียน” หรือสวรรค์เป็นเทพเจ้าสูงสุด จึงมีการนับถือและเรียกว่า “ฉางเซิงเทียน” (ฟ้านิรันดร์) ซึ่งในภาษามองโกเลียเรียกว่า Mongke Tangri
[2] เอกสารเงินกู้ประทับตรา คือ การให้กู้เงินดอกเบี้ยสูง โดยการเอาเงินต้นรวมกับดอกเบี้ยสูงแล้วให้ผู้กู้ผ่อนส่งตามกำหนดเวลา แต่ละครั้งที่มีการผ่อนส่งจะมีการประทับตราทุกครั้ง