จากน้ำเสียงของเวินเยี่ยนปั๋ว อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าการกลับเมืองหลวงนี้เรื่องที่แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว และไม่สามารถบ่ายเบี่ยงได้ด้วย ราชโองการของหลี่ซื่อหมินนั้นห้ามขัดขืน แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยเกรงใจกับอวิ๋นเยี่ย ลองฟังราชโองการที่มอบให้หลี่จิ้งสิ แทบจะยกยอชื่นชมจนตัวลอยขึ้นสวรรค์แล้ว คำที่ชื่นชมยกย่องผู้นำบรรยายออกมาข้อแล้วข้อเล่า อีกทั้งยังใช้คำพูดที่ลึกซึ้งกินใจ ฟังดูออกแนวชายรักชายอย่างรุนแรง ราชโองการที่มอบให้จางกงจิ่นนั้นก็ยกย่องเชิดชูไม่ขาดปาก ซูติ้งฟางได้เลื่อนฐานันดรศักดิ์สามขั้นเป็นปั๋วเจวี๋ย จางเป่าเซียงก็ได้เข้าร่วมกลุ่มที่มีฐานันดรศักดิ์เจวี๋ยเว่ยอย่างเป็นทางการแล้ว หลายวันนี้มีความสุขจนหุบปากไม่ลง อวิ๋นเยี่ยโกรธจนแทบจะไปที่กระโจมของเขาแล้วนำวัวห้าสิบตัวกับแกะอีกหลายร้อยตัวมอบให้น่ารื่อมู่ให้หมดเลย
น่ารื่อมู่ดื้อแพ่งกับอวิ๋นเยี่ยอย่างหนัก จะขอไปดูว่ายังมีสัตว์จำพวกวัวหรือแกะที่หลงไปอีกหรือไม่ อย่างน้อยก็น่าจะได้ม้ากลับมาสองสามตัว จึงถูกอวิ๋นเยี่ยที่อับอายจนกลายเป็นความโกรธตบหน้าเข้าให้จึงยอมสงบลง
เมื่อไปกล่าวลากับหลี่จิ้ง เพิ่งจะเข้ามาในกระโจมก็พบว่าบนโต๊ะทำงานของเขากางพระราชโองการไว้หกเจ็ดฉบับ เขายังคงเคลิบเคลิ้มอยู่กับเกียรติยศขณะที่ได้รับประกาศหรือ นี่ไม่เหมือนนิสัยของเขา จึงเดินเข้าใกล้ด้านหน้าแต่ยังเห็นราชโองการไม่ชัด ก็ได้ยินหลี่จิ้งถอนหายใจหันกลับมาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เป็นจริงดังคาดว่าเจ้าเป็นคนที่ได้รับความโปรดปรานที่สุด พวกข้าและหลี่จีแม้ขี่ม้าก็ตามเจ้าไม่ทัน”
อวิ๋นเยี่ยหาราชโองการที่มอบให้กับตัวเขาเอง ด้านบนไม่มีคำกล่าวขึ้นต้น ไม่มีการลงนาม มีเพียงรอยตราประทับขนาดใหญ่หนึ่งอัน เมื่อดูอย่างถี่ถ้วนแล้วกลับเป็นประโยคที่ว่า “ได้รับบัญชาจากสวรรค์ ให้ปกครองอย่างชอบธรรม” หงเฉิงช่างทำงานรวดเร็วดี หลี่ซื่อหมินก็แสดงแสนยานุภาพได้ไม่น้อยหน้า ถึงกับนำมาใช้แล้วหรือ
ราชโองการของคนอื่นเขียนเนื้อหาเต็มไปหมด คำพูดด้านบนนั้นทำให้อวิ๋นเยี่ยขนลุกขนพอง มีเพียงราชโองการของตัวเองเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ด้านบนเขียนเพียง “หลานเถียนโหวอวิ๋นเยี่ยรีบกลับเมืองหลวงทันที อย่าล่าช้า” คำสิบสี่คำนี้ไม่มีแม้แต่เครื่องหมายวรรคตอน เมื่อโดนโยนอยู่ในกองพระราชโองการแล้วมันช่างดูด้อยค่ายิ่งนัก
“ท่านเหน็บแนมข้าหรืออย่างไร บรรดาราชโองการเหล่านี้มีทั้งเลื่อนตำแหน่ง ประทานรางวัล ทั้งยังประทานฐานันดรศักดิ์ มีเพียงราชโองการของข้าเท่านั้นที่มีหนังสือแถวหนึ่งออกคำสั่งให้ข้ารีบกลับเมืองหลวง ไม่มีคำพูดปลอบใจอะไรแม้แต่ประโยคเดียว นักพรตซุนนั้นได้รับจดหมายลายพระหัตถ์ของฝ่าบาท ข้าเดินทางอยู่บนทุ่งหญ้าหลายพันลี้ แทบไม่ได้พัก” ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน ฉันเดินทางไกลคราวนี้ขาดทุนย่อยยับแล้ว ถึงแม้จะเคยบอกว่าในหลายปีนี้จะไม่เลื่อนฐานันดรศักดิ์ของเจวี๋ยเหยีย แต่อย่างน้อยให้เงินบ้างก็ยังดี
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าอิจฉาราชโองการฉบับนี้ของเจ้าที่ตรงไหนกัน ไม่มีปิดบัง ไม่มีคำชื่นชม ไม่มีคำอุปมา เป็นเพียงคำพูดธรรมดาประโยคเดียว นี่คือการที่ฝ่าบาททรงเห็นเจ้าเป็นเสมือนลูกหลาน รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องสุภาพกับเจ้า เจ้าเคยได้ยินฝ่าบาททรงตรัสชื่นชมรัชทายาทมาก่อนหรือไม่” หลี่จิ้งหยิบราชโองการของอวิ๋นเยี่ยขึ้นดูอย่างละเอียดอีกครั้ง สีหน้ามีแต่ความผันผวน
พระราชโองการที่ฮ่องเต้มีมาถึงหลี่จิ้งนั้นกลับเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยสีสันแพรวพราว ไม่ว่าจะเป็นลีลาการเขียนหรือการเรียบเรียงล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาทุกคน ทุกประโยคล้วนมีพจนะที่อ้างอิงจากหนังสือโบราณและเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ เมื่อย้อนคิดถึงสิ่งที่หลี่จิ้งประสบพบเจอ เขาไม่ต้องการที่จะได้รับราชโองการเช่นนี้จริงๆ ยังเทียบไม่ได้กับการได้รับเพียงคำสั่งประโยคเดียวเหมือนอวิ๋นเยี่ยจริงๆ ไม่มีของจอมปลอมเหล่านั้น เป็นเช่นนี้ยังดูมีความจริงใจมากกว่า แล้วยังทำให้คนอื่นใช้เป็นข้ออ้างโจมตีเขาน้อยลงไปอีก
“ท่านจะกลับเมืองหลวงเมื่อไหร่ จะกลับไปพร้อมกับกองทัพหรือจะกลับไปพร้อมกับข้า” หลี่จิ้งได้รับคำสั่งให้ถ่ายโอนหน้าที่ของผู้บัญชาการใหญ่ของกองกำลังติ้งเซียงเต้าให้หลี่จีที่มารับหน้าที่แทน เขาเองก็ต้องกลับเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้า ส่วนกองกำลังทั้งหมดยังต้องตรึงกำลังอยู่บนทุ่งหญ้าอีกระยะหนึ่ง หลังจากฤดูใบไม้ผลิมาเยือนก็จัดการเก็บกวาดชายแดนของทุ่งหญ้า ควบคุมสถานการณ์ให้มีเสถียรภาพอย่างสมบูรณ์
“ข้าอยู่ในกองทัพทำมาผิดพลาดมาก ทำน้อยก็ผิดพลาดน้อยลง ตอนนี้น่ะหรือ ไม่ทำก็ไม่มีความผิด ในเมื่อเจ้าต้องกลับเมืองหลวง เช่นนั้นก็ถือโอกาสพาข้าไปด้วย ตามที่หนิวจิ้นต๋าบอก การเดินทางไกลไปพร้อมกับเจ้าจะสะดวกสบายเป็นที่สุด ในฤดูหนาวนี้ข้าเองก็ทนทรมานอยู่ไม่น้อยเลย ระหว่างทางมีเจ้าและนักพรตซุนอยู่ด้วย จะได้ช่วยกันดูแลข้าให้ดี” หลี่จิ้งเป็นคนใจกว้างมาก อย่างน้อยเขาก็มองเรื่องตำแหน่งฐานะเป็นเรื่องเล็กน้อย เพียงแต่เมื่อฆ่าคนในสนามรบขึ้นมากลับเรียกได้ว่าเป็นมือสังหารเลยทีเดียว
“เช่นนั้นตกลงตามนี้ สามวันให้หลังพวกเราออกเดินทาง ตลอดทางจะต้องปรนนิบัติท่านให้สุขสบายที่สุด เพียงแต่ท่านสามารถให้ที่ดินผืนเล็กๆ บนทุ่งหญ้าให้แก่ข้าได้หรือไม่ ขอที่ค่อนข้างใกล้เมืองเสียหน่อย ไม่ต้องใหญ่มาก มีรัศมีสิบลี้ก็เพียงพอแล้ว” น่ารื่อมู่นั้นกลับไปพร้อมกับตัวเองไม่ได้ เกรงว่านางเองก็ไม่ต้องการไปยังสถานที่ที่มีแต่ชาวฮั่น ตอนนี้นางได้รวบรวมเผ่าเล็กๆ ไว้ทั้งชายหญิงรวมกันได้หลายร้อยคนแล้ว อวิ๋นเยี่ยดูแล้วเห็นว่าเป็นคนหนุ่มสาวทั้งหมด ยืนล้อมรอบนางแล้วก็เรียกผู้นำไม่หยุด ดูเหมือนว่านางเองจะมีความสุขกับความรู้สึกเช่นนี้ ในเมื่อนางชอบ อวิ๋นเยี่ยก็ตั้งใจที่จะช่วยเหลือนางอีกครั้ง เพื่อทำให้ฐานะของนางมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น
“ไม่ได้ความ ถูกหญิงสาวชาวเผ่าหูทำให้หลงใหลจนไม่ลืมหูลืมตา ไม่เคยเห็นผู้หญิงหรืออย่างไร ของพรรค์นั้นเจ้าก็ยังอยากได้ ปล่อยเป็นเรื่องน่าอับอายอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว แต่ข้าไม่กล้าให้เรื่องนี้รู้ไปถึงฉางอัน มิฉะนั้นข้าจะต้องอับอายไปกับเจ้าด้วย” หลี่จิ้งกำลังสอบถามอวิ๋นเยี่ยเรื่องสายตาในการเลือกผู้หญิง
“ท่านปรักปรำข้าแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ข้ายังไม่เคยสัมผัสร่างกายของนางเลย แล้วจะหลงเสน่ห์นางได้อย่างไร เพียงแต่ชอบความเรียบง่ายของนางเท่านั้น จะว่าไปนางยังเคยช่วยชีวิตพวกเราในแดนหิมะ ให้ทุ่งหญ้าผืนเล็กๆ แก่นางเพื่อให้นางมีข้าวกิน จิตเมตตาของพระโพธิสัตว์อันแสนบริสุทธิ์ ทำไมเมื่ออยู่ในสายตาท่านจึงกลายเป็นเรื่องชู้สาวไปได้”
“ฮึ จะเป็นเรื่องชู้สาวหรือไม่ พวกเจ้ารู้อยู่แก่ใจ ฟ้าดินย่อมรู้ดี ไม่ต้องอธิบายให้ข้าฟัง อย่างไรก็ตามทุ่งหญ้าแห่งนี้ไม่มีเจ้าของอีกแล้ว จะให้นางสักส่วนหนึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่เจ้าต้องคิดให้ดี ตระกูลใหญ่บนทุ่งหญ้าก็พัฒนาจากเผ่าเล็กๆ ที่ค่อยๆ รวมตัวขึ้นมา หญิงคนนั้นมีเจ้าคอยวางแผนให้ ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากทหารต้าถังอีก ข้าเชื่อว่าภายในสิบปีจะต้องกลายเป็นชนเผ่าใหญ่ในทุ่งหญ้าอย่างแน่นอน เจ้าก็ควบคุมดูแลให้ดี อย่าให้ข้าต้องมาที่นี่เพื่อสู้รบกับชนเผ่าที่ไม่ใช่ทหารในอีกหลายสิบปีข้างหน้าเชียว”
คำพูดของหลี่จิ้งนั้นไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว ความเป็นความตาย การพลัดพรากจากลาในทุ่งหญ้าเดิมก็เป็นเรื่องปกติทั่วไปอยู่แล้ว ชนเผ่าเล็กๆ หากมีวัวและแกะเพียงพอ ก็ถือว่าเป็นที่พึ่งพิงอันแข็งแกร่งแล้ว แล้วก็จะพัฒนาขึ้นมาในรูปแบบของลูกบอลหิมะที่คอยรวบรวมชายฉกรรจ์นับหมื่นคนโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี
“ข้าแค่ต้องการเอานางมาทำการทดสอบ เพื่อดูว่าสุดท้ายแล้วเราควรทำเช่นไรจึงจะสามารถควบคุมชนเผ่าทุ่งหญ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอนนี้ไม่เป็นไร แต่อีกหลายปีผ่านไปก็จะเกิดการเจรจาต่อรองอีก เช่นนี้ไม่ดีเลย ถ้าหากประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นการเหนื่อยเพียงครั้งแต่แก้ไขอันตรายที่ซ่อนอยู่ในทุ่งหญ้าได้ตลอดกาล”
นี่คือสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยต้องการทำมานานแล้ว ถ้าหากคนเลี้ยงสัตว์บนทุ่งหญ้าต้องคอยรับความช่วยเหลือของชาวฮั่นอย่างตัดไม่ขาด เผ่าพันธุ์ทั้งสองที่เดิมเป็นศัตรูกันก็จะกลายเป็นความสัมพันธ์แบบภาวะที่ต้องพึ่งพา[1]ด้วยความสามารถในการกลืนเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งของชาวฮั่น หลังจากนี้อีกหนึ่งร้อยปี ยังจะมีคนป่าเถื่อนหลงเหลืออยู่หรือไม่ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องถกกันอีก
“โอ้ ความทะเยอทะยานไม่น้อยเลยนะ ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะแกว่งเท้าหาเสี้ยนหรือว่าสามารถหาวิธีที่ดีในการสร้างสุขให้ใต้หล้าได้จริงๆ แต่เราตกลงกันไว้ก่อน หากเจ้าสูญเสียการควบคุมไป ก็จำเป็นต้องกวาดล้างให้สิ้นทันที ห้ามลังเลแม้แต่น้อย” ข้าจะคอยจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของชนเผ่าเล็กๆ นี้”
ทั้งสองช่วยกันศึกษาวิเคราะห์บนแผนที่อยู่นาน จึงได้กำหนดบริเวณทุ่งหญ้าไว้ที่เชิงเขาอินซัน ราชสำนักเตรียมที่จะก่อสร้าง ‘หน่วยผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเพื่อความสงบสุขบริเวณชายแดน’ ในดินแดนแถบนี้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการควบคุมทุ่งหญ้า บริเวณนี้เป็นพื้นที่รวมตัวกันของทหารอย่างหนาแน่น สำหรับชนเผ่าที่เพิ่งก่อร่างสร้างตัวด้วยเด็กวัยหนุ่มสาวเพียงหลายสิบคนนั้น ถือว่าเหมาะสมและปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง
“บริเวณแถบนี้ไม่ใช่ว่าขีดเส้นแบ่งชัดเจนแล้วว่าจะให้จื๋อซือซือลี่แล้วหรือ เหตุใดจึงยังแบ่งได้พื้นที่ขนาดใหญ่ให้น่ารื่อมู่กัน เจ้าหมอนั่นจะไม่คัดค้านใช่ไหม” อวิ๋นเยี่ยเป็นกังวลเกี่ยวกับจื๋อซือซือลี่เป็นอย่างมาก เพราะชายคนนี้ต่อไปภายหน้าจะภักดีถวายชีวิตแก่ราชวงศ์ถัง ช่วยต้าถังกวาดล้างชนเผ่าป่าเถื่อนอย่างนับไม่ถ้วน หากเขาถูกบังคับให้กบฏก็ค่อนข้างจะได้ไม่คุ้มเสีย
“หึๆ ก็แค่เชลยศึกที่สวามิภักดิ์คนหนึ่ง ยังไม่คู่ควรที่จะมาเจรจาต่อรองเรื่องที่ดินกับข้า คราวนี้ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ข้าเป็นคนดูแลในการแบ่งดินแดนใหม่ให้กับชาวทูเจวี๋ยที่เหลืออยู่ นั่นก็เพื่อควบคุมพวกเขาในระยะยาวแม้ว่าทางการจะทำการแบ่งดินแดนให้พวกเขาเสร็จแล้ว แต่ข้ายังมีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ ปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยไม่มีใครว่าอะไรหรอก” เขาหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดอีกว่า “คราวนี้ข้าอุตส่าห์ทำเพื่อนางในดวงใจตัวน้อยของเจ้า ถึงกับยอมเฉือนเนื้อตนเอง เจ้าหนุ่ม ต้องดูเจ้าแล้ว อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
น่ารื่อมู่เหยียบแสงอาทิตย์สุดท้ายของพระอาทิตย์ที่ตกดินแล้วต้อนวัวและแกะกลับมา อวิ๋นเยี่ยยืนมองนางวุ่นวายอยู่ข้างคอกวัว หมวกหนังบนศีรษะพาดไว้ที่หลัง ในมือถือแส้ฟาดอากาศจนเกิดเสียงฟุ่บๆ ดังฟังชัด ปากก็ส่งเสียงพึมพำออกคำสั่ง พวกวัวที่เริ่มจะแข็งแรงขึ้นก็เข้าแถวเดินเข้าไปในคอก จากนั้นจึงเช็ดเหงื่อใบหน้าเปื้อนคราบโคลนเต็มไปหมด ก่อนจะยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวให้อวิ๋นเยี่ย
อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันได้พูดอะไร นางก็รีบวิ่งกลับไปที่กระโจม เพียงครู่หนึ่งก็วิ่งกลับออกมา ถือจานมาใบหนึ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าอวิ๋นเยี่ย
“นี่คือตะกอนนม วัวรีดนมได้แล้ว” อวิ๋นเยี่ยไม่ได้แตะต้องตะกอนนม ยื่นมือออกไป ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบเปื้อนบนใบหน้าของน่ารื่อมู่ แล้วพูดกับนางว่า “ข้าขอโทษ”
เห็นได้ชัดว่านางยังไม่ได้เรียนคำพูดประโยคนี้ ไม่เข้าใจความหมายแฝงของมัน เพียงแค่เบิกตากว้างและยกจานให้สูงขึ้นอีกหน่อย เพื่อให้อวิ๋นเยี่ยกิน
เขาจึงหยิบขึ้นมาหนึ่งก้อนแล้วใส่เข้าปากเคี้ยวเบาๆ กลิ่นหอมของนมหอมอวลเต็มปาก เพียงแต่มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย ยิ่งเคี้ยวยิ่งเปรี้ยว น่ารื่อมู่มองดูอวิ๋นเยี่ยกินอย่างเอร็ดอร่อย ยิ้มจนดวงตาทั้งสองโค้งดั่งดวงจันทร์แรกขึ้น เพียงแต่นางเริ่มน้ำลายไหลอีกแล้ว อวิ๋นเยี่ยยังได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ ของนางด้วย
จึงจูงมือนางมาที่กระโจม ฮ่วนเหนียงได้เตรียมอาหารไว้เต็มโต๊ะตั้งนานแล้ว อวิ๋นเยี่ยตั้งใจนึ่งข้าวจำนวนหนึ่งและผัดกับข้าวอีกสองอย่างเป็นพิเศษ หลี่จิ้งมอบรากบัวที่ฮ่องเต้พระราชทานให้เขาออกมา อวิ๋นเยี่ยจึงทำกล่องรากบัวและอีกกล่องหนึ่งคือหัวไชเท้า บนทุ่งหญ้าก็มีเพียงเท่านี้เอง
น่ารื่อมู่รีบพุ่งตัวไปบนโต๊ะอาหาร ใช้ช้อนตักกินอย่างสะใจ อวิ๋นเยี่ยและฮ่วนเหนียงยืนมองนางอยู่ข้างๆ
น่ารื่อมู่กินไปสักพักก็มีน้ำตาใสๆ ร่วงเผาะๆ ลงมา เมื่อนางเงยหน้าขึ้น อวิ๋นเยี่ยจึงพบว่าปากของนางเต็มไปด้วยอาหาร แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยน้ำตาราวกับสายน้ำ
ฮ่วนเหนียงก้มหน้าและเช็ดน้ำตาที่หางตา อวิ๋นเยี่ยยิ้มเล็กน้อยให้กับน่ารื่อมู่ ส่วนน่ารื่อมู่ยังคงพยายามกินอย่างเต็มที่และร้องไห้อย่างหนัก
นางไม่ใช่คนโง่ นางรู้ว่าทุ่งหญ้าไม่สามารถรั้งอวิ๋นเยี่ยไว้ได้ นางเคยหลับพร้อมกับจินตนาการอันสวยงามที่สุด ในความฝัน นางทำเนยอยู่ในกระโจม อวิ๋นเยี่ยต้อนวัวและแกะอยู่บนทุ่งหญ้า แม้ว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะดูไม่คุ้นเคย วัวและแกะไม่ฟังเขา มักจะถูกแกะดื้อใช้ศีรษะดันจนตีลังกา แต่เขาก็มักจะหัวเราะอยู่เสมอ น่ารื่อมู่ชอบรอยยิ้มของอวิ๋นเยี่ย
บางครั้งในฝันยังมีเด็กๆ ด้วยหนึ่งคนหรือไม่ก็สองคน พวกเขากำลังฝึกมวยปล้ำกับแกะ ล้วนแล้วแต่เป็นหนุ่มน้อยแห่งทุ่งหญ้าที่หน้าตาเหมือนอวิ๋นเยี่ยราวกับแกะ
อาหารวันนี้อร่อยมากเป็นพิเศษ น่ารื่อมู่หยุดกินข้าว เงยหน้าที่ดวงตาเต็มไปด้วยแวววิงวอนและภาวนา
คำตอบที่ให้นางกลับมาก็คือการส่ายศีรษะของอวิ๋นเยี่ย
——
[1] ภาวะที่ต้องพึ่งพา คือ สภาพความสัมพันธ์แบบหนึ่งของการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิดที่ต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์จากการดำรงชีวิตร่วมกัน ถ้าขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ไม่สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้ เช่น ไลเคนส์ ซึ่งเป็นการอยู่ร่วมกันของสาหร่ายและรา เป็นต้น