ฉางอันไม่เหมาะกับน่ารื่อมู่ ดอกไม้ป่าบนทุ่งหญ้าไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ในรั้วบ้านหลังใหญ่ ที่นั่นไม่มีทุ่งหญ้า วัวและแกะที่นางคุ้นเคย มีเพียงท้องฟ้าสีฟ้าครามกับลานบ้านกว้างๆ นางเป็นคนเรียบง่ายและใจดีมีเมตตา ทั้งยังเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน รังแต่จะค่อยๆ เ**่ยวเฉาตายอยู่ในเมืองฉางอันที่หรูหรา
นางเป็นลูกสาวของทุ่งหญ้า เกิดที่นี่ เติบโตที่นี่และคงจะต้องสิ้นลมที่นี่ ซึ่งนี่เป็นบั้นปลายที่ดีที่สุดสำหรับนาง
อวิ๋นเยี่ยได้เตรียมผืนดินอันกว้างใหญ่ที่นางจะสามารถทำตามใจตัวเองได้ไว้ให้แล้ว มีท้องฟ้าสีคราม เมฆสีขาว หญ้าสีเขียว มีวัวและแกะเป็นเพื่อน บางทีอาจจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของนางได้
“นี่คือแผนที่การแบ่งทุ่งหญ้าของเจ้า ซึ่งก็คือเชิงเขาอินซัน มีพื้นที่ครอบคลุมรัศมีหนึ่งร้อยลี้ ที่นั่นทั้งน้ำและหญ้าอุดมสมบูรณ์ ภูมิอากาศอบอุ่น เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการเลี้ยงสัตว์ เจ้าสามารถพาเด็กหนุ่มสาวพวกนั้นไปเลี้ยงสัตว์ที่นี่ได้” อวิ๋นเยี่ยหยิบเอกสารทางการออกมาจากอกเสื้อและวางไว้ด้านหน้าของน่ารื่อมู่
ฮ่วนเหนียงแปลคำพูดทีละประโยคของอวิ๋นเยี่ยให้น่ารื่อมู่ฟัง ยิ่งฟังมากเท่าไร น้ำตาบนใบหน้าของนางก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายก็ไหลมารวมกันแล้วไหลลงมาจากคางแหลมๆ นั้น
ความเจ็บปวดนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยจึงได้แต่แข็งใจพูดต่อ “ตอนนี้เจ้าต้องตั้งชื่อให้เผ่าของเจ้า จากนั้นกรอกลงในเอกสารนี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้น เอกสารเหล่านี้จะมีผลบังคับใช้ในทันที เจ้าไม่ต้องกังวลว่าชนเผ่าอื่นจะแย่งทุ่งหญ้าของเจ้า ข้าได้ไปฝากเนื้อฝากตัวกับทหารที่ประจำการที่นี่แล้ว หากพบภัยคุกคามก็ไปบอกพวกเขา จะมีคนมาจัดการให้เอง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือเอง พวกเจ้าแค่เลี้ยงสัตว์ให้ดีก็พอแล้ว สำหรับวัวและแกะ รวมถึงม้าที่เพิ่มขึ้นมา ข้าจะส่งคนมาแลกเปลี่ยนกับเจ้าก่อนที่ฤดูหนาวทุกปีจะมาถึง โดยจะแลกด้วยใบชา เกลือ ผ้า เสบียงและแน่นอนจะมีอาวุธด้วยอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ในเดือนสี่ของทุกปี หลังจากอากาศเริ่มอบอุ่นแล้วเจ้าต้องตัดขนแกะทั้งหมดออกมา ถ้าหากการทดสอบประสบความสำเร็จ ข้าคิดว่าแค่ขนแกะที่ตัดออกมาทุกปีก็เพียงพอที่จะเลี้ยงชนเผ่าเล็กๆ ของเจ้าได้แล้ว”
หลังจากพูดเสียยืดยาว อวิ๋นเยี่ยหยุดและรอให้ฮ่วนเหนียงอธิบายให้น่ารื่อมู่ฟัง
“เจ้าไม่ไป”! น่ารื่อมู่ไม่ได้ฟังสิ่งที่ฮ่วนเหนียงพูด กอดแขนอวิ๋นเยี่ยแล้วเขย่าอย่างแรง
“ข้า เลี้ยงแกะ เจ้า นอน” บางทีน่ารื่อมู่จะคิดว่าคนเราไม่ต้องทำอะไรเลย กินให้อิ่มแล้วนอนในกระโจมก็ถือเป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุดในโลก ดังนั้นนางจึงไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะเปิดราคาสูงสุดเท่าที่นางจะสามารถให้ได้
อวิ๋นเยี่ยสวมกอดน่ารื่อมู่เบาๆ พยักหน้าให้กับฮ่วนเหนียง แล้วจึงปล่อยมือจากน่ารื่อมู่เดินออกจากกระโจมไป ยังเดินไม่ถึงสองก้าวข้างหลัง เสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดรวดร้าวของน่ารื่อมู่ก็ดังขึ้น
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อวิ๋นเยี่ยก็ก้าวอีกครั้งเพื่อไปหาเหอเซ่า
เหล่าเหอจ้างทหารเสริมถึงสามร้อยนาย พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับการเปลี่ยนลากเลื่อนให้เป็นเกวียน ไม่ต้องกังวลว่ารถจะถูกทำอย่างหยาบๆ เพราะเขามีวัวมากพอที่จะลากเกวียน แต่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น วัวที่ถูกเลี้ยงอยู่บนทุ่งหญ้าลากเกวียนไม่เป็น พวกมันไร้ระเบียบและระเบียบวินัยอย่างสิ้นเชิง เมื่อพวกมันเห็นต้นหญ้าก็จะต้องขอกินสักหน่อย ประเดี๋ยวยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับ ใช้แส้ฟาดก็ไม่ยอมขยับ ด้วยความชอกช้ำอันนี้ก็ได้ทำให้ความกระตือรือร้นในการสร้างความมั่งคั่งของเหล่าเหอนั้นเหลือเพียงความช้ำใจ
เมื่อเห็นวัวหนุ่มตัวหนึ่งที่เขาเลี้ยงไว้จนขนเงาอ้วนพีลากจนเกวียนนั้นล้มไปด้านข้างแล้ว เขาเอามือกุมศีรษะแล้วนั่งยองๆ อยู่บนพื้น ทำอะไรไม่ถูกคิดอะไรไม่ออก ดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก
มีสินค้ามากเกินไป รถม้าน้อยเกินไป โกดังเก็บของของเขาก็มีอยู่สี่ห้องแล้ว หิมะบนทุ่งหญ้ากำลังละลาย พื้นที่แข็งเหมือนเหล็กกลายเป็นพื้นเปียกแฉะ มีบางแห่งกลายเป็นหนองน้ำ หิมะตกหนักถึงสี่ครั้งในฤดูหนาวเพียงครั้งเดียว หลังจากหิมะละลายก็จะนำมาซึ่งแหล่งน้ำปริมาณมากสู่ทุ่งหญ้า หญ้าในปีนี้จะเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์อย่างแน่นอน นี่เป็นข่าวดีสำหรับคนเลี้ยงสัตว์บนทุ่งหญ้า แต่มันเป็นหายนะครั้งใหญ่สำหรับอวิ๋นเยี่ยกับเหอเซ่าที่กำลังจะเดินทางไกล
บนทุ่งหญ้านั้นไม่มีเส้นทางการเดินทางอย่างตายตัว ขอเพียงคุณชอบก็สามารถเดินได้ตามที่คุณต้องการ หากการอนุมานก่อนออกเดินทางของคุณเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง ขอเพียงปัญหาข้อนี้ได้รับการแก้ไข คุณก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้เสมอ
การจะให้วัวลากรถต้องเรียนรู้ด้วยหรือ นี่คือสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยถามซุนซือเหมี่ยว สุดท้ายถูกถังเจี่ยน สวี่จิ้งจงและซุนซือเหมี่ยวมองอย่างเหยีดหยาม
“เจอพวกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอีกแล้ว อีกทั้งเจอทีเดียวถึงสองคน ข้ากลับถึงฉางอัน จะต้องถามคำถามนี้กับเจ้าหมาน้อย ถ้าเขาตอบเช่นเดียวกัน เห็นทีข้าจะต้องลงมือเก็บกวาดเรื่องในบ้านให้เด็ดขาดเสียแล้ว”
ถังเจี่ยนพูดอย่างจงเกลียดจงชัง พลางมองไปที่อวิ๋นเยี่ยและเหล่าเหอสองคนราวกับมองดูกองอุจจาระสองกอง
เหล่าซุนถือเป็นผู้มีน้ำใสใจคอดีมาก จึงได้พูดเกี่ยวกับนิสัยการใช้ชีวิตของวัวให้อวิ๋นเยี่ยฟังอย่างละเอียด ตั้งแต่ที่ลูกวัวตัวเล็กๆ นี้เกิดมาก็จำเป็นจะต้องตามวัวตัวแม่อยู่ด้านหลัง เรียนรู้ทักษะการทำงานแต่ละประเภทต่างๆ เช่น การลากเกวียน ไถนา ลากโม่ ภายใต้สิ่งที่เป็นนี้ พวกมันจะค่อยๆ เกิดความเคยชินไปโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่ลูกวัวเติบโตขึ้นก็ย่อมต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้เป็นเรื่องธรรมดา วัวบนทุ่งหญ้าไม่มีประสบการณ์เหล่านี้ ปกติมีนิสัยเหมือนสัตว์ป่าทั่วไป ตอนนี้เมื่อนำเกวียนผูกติดกับพวกมันย่อมต้องรู้สึกอึดอัดอย่างแน่นอน หากยอมลากเกวียนแต่โดยดีสิจึงจะเป็นเรื่องแปลก
“หลักการพวกนี้แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ของต้าถังก็ยังรู้ เหตุใดเจ้าถึงไม่รู้” ซุนซือเหมี่ยวรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ
อวิ๋นเยี่ยยังจะสามารถพูดอะไรได้ จะบอกว่าที่ตัวเองเคยเห็นมากที่สุดก็คือวัวนมที่มีลายดำและขาวอยู่บนตัวน่ะหรือ การใช้วัวลากเกวียนก็ได้เห็นเพียงไม่กี่ครั้งหลังจากที่ล้มเลิกไปกว่าสามสิบปี มีรถแทรกเตอร์ที่ปล่อยควันดำใช้กันอยู่ทั่วโลก จำเป็นต้องนั่งรถเทียมวัวที่อืดอาดเดินทางจากตะวันออกไปตะวันตกด้วยหรือ พวกคุณใช้วัวไถนาพื้นที่ประมาณหกร้อยกว่าตารางเมตร ในขณะที่คนอื่นใช้รถแทรกเตอร์ไถนาได้หลายพันตารางเมตร ในยุคนั้น วัวถูกนำมาเลี้ยงเพื่อการผลิตนมหรือฆ่าเพื่อกินเนื้อ ยกเว้นพวกผู้สูงอายุ ยังจะมีใครรู้เรื่องพวกนี้กัน
เมื่อพูดถึงประเพณีที่สืบทอด อวิ๋นเยี่ยก็นึกถึงประเพณีที่โด่งดังอีกอย่างหนึ่ง หากนำมาใช้แก้ไขปัญหาในปัจจุบันจะเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมเป็นที่สุดเลย จึงลากเหล่าเหอให้ลุกขึ้นจากพื้น กระซิบกระซาบอยู่ข้างหูเขาครู่หนึ่ง หลังจากที่เหอเซ่าได้ฟัง สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความปีติยินดีขึ้นในพริบตา
ครั้นแล้วจึงแสยะยิ้มที่กว้างไปถึงใบหูให้พวกซุนซือเหมี่ยว สะบัดแขนเสื้อและตะโกนเรียกทหารเสริมสองสามคนให้พวกเขานำวัวตามเขาไปที่ด้านหลังกระโจม
“วัวไม่ยอมดื่มน้ำ เจ้าจะสามารถบังคับให้ดื่มน้ำได้อย่างนั้นหรือ” สวี่จิ้งจงขมวดคิ้วพูดกับอวิ๋นเยี่ย ถังเจี่ยนเองก็พยักหน้าเห็นด้วย ซุนซือเหมี่ยวเห็นวิธีการที่เปลี่ยนของไร้ค่าให้กลับมามีประโยชน์ของอวิ๋นเยี่ยมานักต่อนักแล้ว สายตาฉายแววตกใจและสงสัยแต่ก็ไม่เห็นด้วยกับคำถามของทั้งสองคน
“คำพูดโบราณพูดเอาไว้ได้ดี วัวไม่ยอมดื่มน้ำแต่จะบังคับกดหัว คำพูดนี้พูดไว้ไม่ผิด เมื่อก่อนไม่ประสบความสำเร็จเพราะแรงที่กดหัววัวไม่มากพอ หากมีแรงมากพอ ไม่ว่าวัวจะแข็งแรงเพียงใด ภายใต้การใช้กำลังควบคุมนี้แม้ไม่อยากดื่มน้ำก็ต้องดื่ม” รวมกับคำพูดที่มั่นใจอย่างเต็มที่ของอวิ๋นเยี่ย เสียงวัวร้องเสียงหลงก็ดังขึ้นจากข้างหลังกระโจม เพียงแค่ฟังเสียง ก็รู้ว่าวัวตัวนั้นกำลังเจอกับการทรมานที่โหดร้ายที่สุด
ทุกคนตกใจขึ้นพร้อมๆ กันและมาที่ด้านหลังของกระโจม เห็นเพียงแค่วัวถูกผูกติดกับโครงไม้ให้โผล่ออกมาแต่เพียงหัวเท่านั้น ทหารเสริมที่หน้าตาดุร้ายโหดเ**้ยม ในมือถือโซ่เหล็กเส้นเล็กๆ ที่ถูกเผาไฟจนร้อนแดงทั้งเส้น เล็งไปที่กระดูกอ่อนระหว่างรูจมูกทั้งสองของวัวแล้วก็จิ้มทะลุเข้าไป ขณะที่ควันขาวๆ ลอยครุกรุ่นขึ้น วัวหนุ่มตัวนั้นก็ส่งเสียงร้องโหยหวนอีกครั้ง กีบเท้าทั้งสี่ก็พยายามเตะอย่างสุดชีวิต เพราะไม่มีที่ใดจะระบายได้ จึงได้แต่หวังว่าสะบัดหัวไปมาแล้วจะเจ็บปวดน้อยลง ด้านข้างยังมีคนนำห่วงเหล็กขนาดเล็กร้อยผ่านรูเล็กๆ ที่ถูกเจาะด้วยความร้อนใส่ไว้บนจมูกของวัว
เมื่อเห็นการกระทำทรมานสัตว์ป่าเยี่ยงนี้ ซุนซือเหมี่ยวตาเบิกกว้างจนแทบจะระเบิดออก ชี้หน้าด่าเหอเซ่า “หยุดนะ! เจ้าเดรัจฉาน วัวตัวนี้ก็แค่มีพฤติกรรมไปตามธรรมชาติของมัน มันรู้เรื่องอะไร เจ้ากลับทำกับมันอย่างเ**้ยมโหดเพียงนี้ ยังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่ มา มา มานี่ ให้ข้าร้อยห่วงไว้ที่จมูกของเจ้าบ้าง ให้เจ้าได้ลิ้มลองรสชาตินี้ดู”
“นักพรตซุน ขอท่านอย่าเพิ่งโกรธ รอดูก่อนว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผลหรือไม่ ถ้าหากใช้ได้ผล นี่ก็จะเป็นเรื่องดีที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองของเกษตรกรทั่วหล้า ถ้าใช้ไม่ได้ผล ท่านค่อยถลกหนังของเขาก็ยังไม่สาย” อวิ๋นเยี่ยเสแสร้งทำเป็นเกลี้ยกล่อมซุนซือเหมี่ยว
จิตใจของเขาทำจากเต้าหู้ ทนเห็นสิ่งมีชีวิตทั่วหล้าต้องทนทุกข์ทรมานไม่ได้ การสวมห่วงที่จมูกวัวที่ทรมานเช่นนี้หากไม่ให้เขาเห็นเข้าก็แล้วกันไป แต่เมื่อถูกเขาเห็นเข้า มีหรือจะไม่ขัดขวาง เมื่อครู่ที่บอกให้เหอเซ่าบอกให้เขาไปหาที่ไกลๆ ก่อนจึงค่อยทำเรื่องนี้ ใครจะรู้ว่าเจ้าคนไม่มีความคิดคนนี้ เพียงแค่ถึงด้านหลังกระโจมก็อดทนไม่ไหวเริ่มลงมือเลย
อวิ๋นเยี่ยไม่เกลี้ยกล่อมยังดี เมื่อเกลี้ยกล่อมจึงกลายเป็นการรนหาที่เอง ซุนซือเหมี่ยวจึงลากเขามาที่ด้านข้าง ชี้หน้าอวิ๋นเยี่ยแล้วเริ่มด่าสาดเสียเทเสียขึ้นอีกระลอกหนึ่ง “นี่ไม่ใช่ความคิดชั่วร้ายของเจ้าอีกหรือ ตอนนี้จะมาเป็นคนดีอะไร ใจคอโหดเ**้ยมอำมหิต เจ้ายังจะมีหน้าอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ในสำนักศึกษาอีกหรือ แม้ว่าจะสามารถสอนให้ศิษย์แต่ละคนเก่งกล้าน่าอัศจรรย์ได้ แต่พวกเขาก็เป็นเพียงความหายนะ ยิ่งเก่งกล้ามากเพียงไร ภัยอันตรายยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น”
ซุนซือเหมี่ยวมีคุณสมบัติครบถ้วนพอที่จะขึ้นเสียงถามอวิ๋นเยี่ยได้ ถังเจี่ยนนอกจากเรื่องที่ทำอะไรไม่เหมาะกับยุคสมัยแล้ว ก็ยังฝืนยกย่องให้เป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริงได้ท่านหนึ่ง เขาจะมีสีหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองก็พอเข้าใจได้ แต่เพราะอะไรสวี่จิ้งจงจอมวายร้ายแห่งประวัติศาสตร์จึงได้วางท่าทีราวกับผู้สู่งส่งมากด้วยคุณธรรมกับเขาด้วย ยืนรวมอยู่กับซุนซือเหมี่ยวและถังเจี่ยนเสียงดังตำหนิเหอเซ่า ทั้งยังวิ่งเข้าไปข้างหน้า แก้เชือกให้วัวหนุ่ม ลูบหลังปลอบวัวด้วยสีหน้ารักใคร่และเจ็บปวด ราวกับว่าที่ถูกทรมานนั้นไม่ใช่วัวแต่เป็นภรรยาของเขา
ไม่รู้ว่าองค์กรคุ้มครองสัตว์ในยุคปัจจุบันจะกำหนดโทษของเขาหรือไม่ อย่างไรเสียข้อหาทรมานวัวก็คงหนีไม่พ้นแล้ว เหล่าซุนหยิบยาทาออกมาจากอกเสื้อและทาบนจมูกของวัวอย่างระมัดระวัง อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าการทายานั้นอ่อนโยนกว่าครั้งที่แล้วที่ทาครีมให้ตัวเองเสียอีก วัวมีคุณค่ามากกว่าคนหรือ ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นโรคอะไรกัน
ถือโอกาสที่พวกเขาสงบลงแล้ว อวิ๋นเยี่ยสั่งให้ทหารเสริมลากเกวียนมา พยายามชักแม่น้ำทั้งห้าโน้มน้าวจนซุนซือเหมี่ยวยอมให้วัวตัวนี้ลองดู
เชือกหนังวัวเส้นเล็กๆ ร้อยผ่านห่วงที่จมูกของวัวถูกทหารเสริมกำเอาไว้ในมือ เมื่อตีเบาๆ บนก้นของวัวมันก็เริ่มขยับไปข้างหน้า ทหารเสริมใช้เชือกที่อยู่ในมือควบคุมทิศทางของวัว เดินอย่างสงบเสงี่ยมวนรอบอยู่ในค่ายหนึ่งรอบ วัวตัวนี้เชื่องเป็นอย่างมาก เชื่อฟังมาก เมื่อให้เดินมันก็เดิน ให้หยุดมันก็หยุด เพียงแต่ดวงตากลมโตนั้นมีน้ำตาไหลและมีเลือดไหลออกจากรูจมูก
เมื่อมองถึงผลลัพธ์ ซุนซือเหมี่ยวถอนหายใจยาวๆ เดินโซเซกลับไปที่กระโจมของเขา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เข้าใจดีว่าวัวมีไว้เพื่อรับใช้ผู้คน ยิ่งเชื่อฟังมากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น เมื่อดูจากผลลัพธ์แล้ว เขาไม่สามารถหยุดยั้งได้ ได้แต่เพียงรู้สึกเศร้าหมองใจเท่านั้น
“อวิ๋นโหว ถ้าเช่นนั้นพวกเราร่วมลงนามถวายฎีกาโดยมีเรื่องการคล้องห่วงที่จมูกวัวเป็นต้นเหตุหลัก เจ้าคิดว่าอย่างไร” ความชอบธรรมของถังเจี่ยนมลายหายไปสิ้น กลายเป็นผู้สูงส่งที่เป็นห่วงประเทศชาติและประชาชน “เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็ทำให้วัวหนุ่มเชื่องมากถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องดีที่เป็นความจริง เป็นประโยชน์แห่งยุค ผลงานคงอยู่ชั่วกาล การใช้วิธีนี้ วัวที่ใช้เป็นอาหารในทุ่งหญ้าก็อาจจะเปลี่ยนเป็นวัวสำหรับไถนา ภูมิปัญญาของอวิ๋นโหวนั้นเกรงว่าข้านั้นจะเทียบไม่ติดฝุ่นเสียแล้ว”
“เรื่องดีเช่นนี้จะขาดข้าสวี่จิ้งจงได้อย่างไร ไม่เช่นนั้นให้ข้าเป็นคนจรดพู่กันเพื่อเป็นพยานกับเรื่องนี้เป็นอย่างไร” ดวงตาของสวี่จิ้งจงเปล่งประกาย เพราะเขาต้องการอยากจะมีส่วนร่วมด้วย