ส่วนที่ 4 ตอนที่ 52 หนังสือรายงานของคนนอกคอก

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

“เรื่องการร่วมลงชื่อถวายฎีกาเป็นเรื่องเล็กน้อย ข้าก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่อยากขอคำชี้แนะจากผู้มีความรู้ของหน่วยหงหลู ตอนนี้ในราชสำนักกล่าวได้ว่ามีขุนนางพร้อมสรรพ ทั้งราชสำนักไม่มีท่านไหนที่ไม่ใช่ผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่ง ผู้รู้ที่มีความรู้ลึกล้ำ ให้การสนับสนุนผู้เยาว์รุ่นหลังอย่างเต็มที่ เหตุใดข้าไม่เคยมีประสบการณ์ที่ได้รับความรักและการปกป้องจากเหล่าผู้อาวุโสเลย เมื่อพูดถึงเรื่องมิตรภาพส่วนตัว ทุกคนต่างตื่นเต้นดีใจกันอย่างเต็มที่ แต่เมื่อข้ากล่าวถึงเรื่องงานราชการ ผู้อาวุโสทุกคนล้วนแล้วแต่แขวนป้ายห้ามเข้าใกล้ ห่วงหน้าพะวงหลังก่อนที่จะพูดอะไร มันเป็นเพราะเหตุอันใด”

 

 

วันนี้ถังเจี่ยนมีเรื่องขอร้อง อวิ๋นเยี่ยจึงได้ใช้เรื่องการลงชื่อรับความดีความชอบมาเค้นคอถังเจี่ยน บีบบังคับให้เขาอธิบายให้ตัวเองฟังว่า เพราะอะไรขณะที่อยู่ในราชสำนัก ทุกเรื่องที่ตนเองทำจะต้องผ่านการพิจารณาหลายครั้งหลายครา ทว่าสุดท้ายกลับได้คำตอบที่คลุมเครือออกมา โดยมากก็ต้องไปพบหลี่ซื่อหมินเพื่ออธิบายให้เขาฟังอย่างละเอียด แล้วเรื่องนั้นๆ จึงจะสามารถทำต่อไปได้ ที่แท้แล้วเพราะอะไรกัน อวิ๋นเยี่ยกล้าพูดว่าตนเองไม่ได้ขัดผลประโยชน์ใคร โดยมากแล้วเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพราะเหตุใดจะทำอะไรจึงได้ยากเย็นแสนเข็ญเช่นนี้

 

 

“อวิ๋นโหวไม่รู้หรือ” ถังเจี่ยนย้อนถามอวิ๋นเยี่ย

 

 

“ไม่รู้ ถึงแม้ข้าจะอายุยังน้อย แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสำนักศึกษา จะต้องทำออกมาให้ได้ดีที่สุด ไม่มีอะไรให้ใครจับผิดได้”

 

 

คำพูดของอวิ๋นเยี่ยเพิ่งจะจบลง ถังเจี่ยนและสวี่จิ้งจงก็หัวเราะฮ่าๆ ดังขึ้น ซึ่งคราวนี้หัวเราะกันจนอวิ๋นเยี่ยรู้สึกงงงวยไปหมด

 

 

หลังจากหัวเราะอยู่นาน พวกเขาก็หยุด ถังเจี่ยนพูดกับสวี่จิ้งจงว่า “เหยียนจู๋ เจ้าอธิบายลู่ทางในการเป็นขุนนางให้กับโหวเหยียผู้เลอะเลือนที่มากความสามารถท่านนี้ฟังให้ละเอียดที ข้าขอหัวเราะอีกสักพักหนึ่ง มีเรื่องที่สามารถทำให้อวิ๋นเยี่ยอวิ๋นปู๋ชี่ผู้เป็นหัวโจกของสามเภทภัยแห่งฉางอันคิดไม่ตก มันช่างคุ้มค่ากับการหัวเราะให้สาแก่ใจจริงๆ”

 

 

สวี่จิ้งจงปาดน้ำตาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า

 

 

“อวิ๋นโหว เจ้าโชคร้ายก็อยู่ที่ว่าเจ้าคิดคำนวณทุกเรื่องรอบคอบมากเกินไป ทำให้เหล่าขุนนางเบื้องบนไม่สามารถหาจุดบอดอะไรได้เลย การที่ขุนนางเบื้องบนจะอยู่เบื้องบนได้นั้นก็เพราะเขาจะต้องฉลาดกว่าเจ้า แต่หนังสือรายงานของเจ้าทำให้พวกเขารู้สึกว่า เจ้าต่างหากที่เป็นขุนนางที่อยู่เบื้องบน เพื่อที่จะกำจัดความคิดแปลกประหลาดอันนี้ทิ้ง จึงต้องค้นหาข้อผิดพลาดจากคำพูดของเจ้า แม้ว่าจะพบเพียงตัวอักษรที่เขียนผิดเพียงหนึ่งตัวก็นับว่าใช่ แต่น่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้ให้โอกาสพวกเขาเลย การที่เจ้ามอบหนังสือรายงานให้ขุนนางเบื้องบน ก็เพื่อให้เขาช่วยแก้ไขหรือเพิ่มเติมให้เจ้าและสุดท้ายได้รับการตอบกลับ แต่หนังสือรายงานของเจ้าไม่ได้แสดงถึงการร้องขอให้พวกเขาช่วยแก้ไขเลย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงคนโง่ เพื่อที่จะไม่ให้ตนเองต้องเป็นคนโง่ พวกเขาจึงจำเป็นต้องลำบากเจ้าให้เจ้าช่วยเป็นคนโง่แทน

 

 

เมื่อตอนข้าอยู่ที่กรมโยธา ก็มักจะถูกเรียกให้ไปอ่านหนังสือรายงานที่เจ้าเขียน พูดตามตรง คำร้องขอทุกอย่างของเจ้าล้วนแล้วแต่มีเหตุผลและพิสูจน์ได้ ความคิดทุกอย่างล้วนเกินความคาดหมายของผู้คน แต่กลับเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมมาก ทุกครั้งที่ข้าได้อ่านก็จะได้ความรู้ใหม่ๆ มักจะตบโต๊ะร้องว่าเยี่ยมอยู่เสมอ อยากจะไปสำนักศึกษาด้วยตนเองเพื่อขอเข้าเรียนเสียให้ได้ หนังสือรายงานเช่นนี้ข้าจำได้ว่ามีทั้งหมดสามเล่ม เล่มแรกคือ ‘หนังสือรายงานขออนุมัติการสร้างสถาบันวิจัยแห่งใหม่’ เล่มที่สองคือ ‘หนังสือขอเบิกจ่ายค่าแรงสำหรับการทำงาน’ เล่มที่สามคือ ‘ปริทรรศน์สำนักศึกษา’ ที่มีชื่อเสียงอันโด่งดัง

 

 

ข้าเคยอ่านหนังสือรายงานไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันบท และหนังสือรายงานของเจ้าประทับใจข้าที่สุด เล่มแรกเจ้าอธิบายถึงความจำเป็นในการจัดตั้งสำนักศึกษาจากมุมมองสี่ด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางทหาร การทำงาน การเกษตรกรรมและการค้า

 

 

แต่ละข้อนั้นใช้ตรรกะในการพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้งและทำได้จริงซึ่งทำให้ผู้อ่านไม่อาจหาข้อโต้แย้งได้ รู้สึกแค่ว่าเพียงลงชื่อและประทับตราประทับลงบนหนังสือรายงานนี้เท่านั้นเป็นอันเสร็จสิ้น ไม่จำเป็นต้องคิดพิจารณาอะไรอีก เรื่องนี้เจ้าจะต้องทำสำเร็จลุล่วงได้อย่างแน่นอน

 

 

เล่มที่สอง ‘หนังสือขอเบิกจ่ายค่าแรงสำหรับการทำงาน’ ไม่จำเป็นต้องพูด ท่านเจ้ากรมกรมโยธาได้ใช้มันเป็นต้นแบบในกรมโยธาแล้ว ตัวอักษรประหลาดๆ แต่กลับบันทึกค่าใช้จ่ายได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ทำให้พวกเราตระหนักว่าที่แท้แล้วการคำนวณต้นทุนของโครงการหนึ่งๆ ยังสามารถทำเช่นนี้ได้ด้วย เจ้าไม่รู้ว่าท่านเจ้ากรมโยธาอ่านหนังสือรายงานของเจ้าจนเหงื่อออกเต็มหลัง หากหนังสือรายงานเหล่านี้ได้รับอนุมัติทั้งหมด กรมโยธาไม่เป็นตัวตลกสิจึงจะเป็นเรื่องแปลก เจ้าคิดว่าหนังสือรายงานเช่นนี้จะได้รับอนุมัติหรือไม่

 

 

ส่วนเล่มที่สามซึ่งก็เป็นผลงานที่เจ้าภูมิใจ มันเองก็ทำให้เหล่ามหาอำมาตย์ทั้งสามสำนักดูล้มเหลวไม่เป็นท่า เกรงว่าแม้จะเป็นฝ่าบาทก็คงจะรู้สึกเสียใจภายหลังเป็นแน่ที่ทรงตรัสประโยคอันโอ้อวดนั้นว่า วีรบุรุษผู้เก่งกล้าใต้หล้านี้ได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว อย่างไรก็ตามข้าไม่กล้าพอที่จะวิพากวิจารณ์ และไม่มีความสามารถพอในการแสดงความคิดเห็น ได้ยินว่าหลังจากที่ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรหนังสือรายงานของเจ้า พอกลับไปที่วังแล้วได้ลงโทษขันทีฝ่ายในเจ็ดแปดคน เช้าวันรุ่งขึ้นจึงมีพระราชโองการสั่งให้จัดตั้งสำนักศึกษาด้วยพระองค์เอง อีกทั้งยังทรงมีรับสั่งกับขุนนางทุกคนว่า ต่อไปหนังสือรายงานทุกฉบับจะต้องทำได้ถึงขั้นที่ว่าทุกคำกล่าวต้องมีหลักฐาน หากทั้งฉบับเป็นเพียงคำพูดน้ำท่วมทุ่งที่เอาแต่ประจบสอพลอ ยกยอปอปั้นปั้นแต่งผลงานจะต้องถูกปรับเงิน หักเสบียงและเงินเดือน ถังหงหลู! เจ้าเองก็เคยถูกหักเงินและเสบียงใช่ไหม”

 

 

ถังเจี่ยนยิ้มและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้านั้นโชคไม่ดี ข้าถวายหนังสือรายงานเพื่อเบิกเงินหลังจากที่ ‘หนังสือขอเบิกจ่ายค่าแรงสำหรับการทำงาน’ ของเจ้าได้ถูกนำส่งขึ้นไปแล้ว ใครจะรู้ว่านอกจากจะไม่ได้เงินแล้ว ตัวเองยังถูกหักเงินอีกเป็นเวลาสองเดือน เจ้าหนุ่ม นี่คือภัยพิบัติที่เจ้าก่อขึ้น ทำให้ข้าต้องถูกหัวเราะเยาะถึงครึ่งปี หนี้ก้อนนี้เจ้าจะชำระอย่างไรดี”

 

 

อวิ๋นเยี่ยเข้าใจในทันใดว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่นี่ จึงทำให้ตนเองกลายเป็นคนนอกคอกในราชสำนักอย่างงงงวย เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เอาตัวรอดไปวันๆ

 

 

จู่ๆ ก็มีคนน่ารังเกียจปรากฏตัวออกมากวนน้ำในสระที่เดิมใสสะอาดจนกลายเป็นน้ำขุ่นสกปรก ทำให้ทุกคนอยู่ไม่เป็นสุข แน่นอนว่าต้องหาข้อผิดพลาดของชายผู้นี้

 

 

ยังโชคดีที่ขณะที่ทุกคนกำลังรอให้อวิ๋นเยี่ยวางแผนการอันยิ่งใหญ่และยาวไกลอยู่นั้น คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเยี่ยจะไร้ซึ่งปณิธาน ความกล้าถดถอยหนีไปหลบอยู่ในสำนักศึกษา ทำให้พวกเขาดวงตาเกือบถลนออกจากเบ้า เมื่อคิดถึงตรงนี้อวิ๋นเยี่ยนั้นแอบภาคภูมิใจ ฉันอยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนอยู่แล้ว มีกระดูกสุนัขท่อนหนึ่ง พวกเจ้ากลับแย่งกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฉันยืนอยู่ข้างๆ กินเนื้อพลางดูเรื่องสนุก หากมีอะไรที่ขัดตาก็เข้าไปเตะทิ้ง มีอะไรไม่ดีกัน

 

 

“หึๆ ก็เพียงแค่เอกสารทางการที่มีแบบแผนตายตัวสามฉบับก็ทำให้พวกท่านราวกับเจอศัตรูตัวยง จะบอกอะไรให้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามต้องฟันฝ่าอุปสรรคเพื่อก้าวหน้าต่อไป พวกเจ้ากำลังนอนกินเงินเก่าที่ได้มาจากความดีความชอบ ก็ยังพอมีเวลาสองสามปี รอให้นักเรียนในสำนักศึกษาจบการศึกษาเสียก่อน หนังสือราชการงานเขียนของพวกเขานั้นจะเหมือนที่ข้าเขียนราวกับแกะออกจากแม่พิมพ์อันเดียวกันเลย ถึงเวลานั้นมันจะไม่ใช่สามฉบับ แต่จะเป็นสามสิบ สามร้อยฉบับ ถึงตอนนั้น ท่านถัง ท่านสวี่ พวกท่านจะจัดการตัวเองอย่างไร ” อวิ๋นเยี่ยพูดจบก็หัวเราะฮ่าๆ พลางเดินจากไป

 

 

“เหล่าถัง ข้าไม่เป็นไร หลังจากกลับไป ข้าจะได้บรรจุเป็นกรรมการของสำนักศึกษา อย่างมากก็ยอมลดทิฐิไปที่ห้องเรียนเพื่อฟังบรรยาย ด้วยคุณสมบัติของข้าสวี่จิ้งจง มีหรือจะเรียนไม่รู้เรื่อง เหล่าถัง เจ้ารอดูหนังสือรายงานฉบับใหม่ของข้าก็แล้วกัน” เห็นถังเจี่ยนมีท่าทีคิดหนักจึงกระตุ้นเขาสักหน่อย จากนั้นก็เอามือไพล่หลังเดินไปดูว่าเหอเซ่าสวมห่วงที่จมูกให้วัวตัวอื่นอย่างไรด้วยความสบายอกสบายใจ

 

 

เสียงร้องโหยหวนของวัวทำให้ถังเจี่ยนได้สติคืนมา เมื่อคิดถึงที่อวิ๋นเยี่ยบอกว่าภายหน้าจะมีหนังสือรายงานเช่นนี้ก่อกำเนิดขึ้นอย่างท่วมท้นมากมายนับไม่ถ้วน แต่ตัวเขาเองกลับไม่สามารถตัดสินข้อผิดพลาดในนั้นได้ ภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ นอกเหนือจากลาออกจากราชการกลับบ้านเกิดแล้ว ตัวเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น

 

 

ไม่ได้ ให้ข้าไปเรียนที่สำนักศึกษามันน่าอับอายเกินไป แต่ลูกน้อยที่ชาญฉลาดที่บ้านสามารถไปได้นี่ เขายังเป็นเด็กอยู่ เขาบ่นว่าอยากจะไปเรียนที่สำนักศึกษามานานแล้วไม่ใช่หรือ

 

 

เมื่อปมในใจได้รับการแก้ไขแล้ว เขาก็รู้สึกผ่อนคลาย แม้แต่เสียงร้องโหยหวนของวัวนั้นก็ยังไพเราะน่าฟัง

 

 

เมื่ออวิ๋นเยี่ยกลับมาถึงกระโจม ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ที่จริงแล้วเขาหวังเป็นอย่างมากว่าน่ารื่อมู่จะยอมรับความหวังดีของเขา เมื่อครู่ก็เพียงแค่ตั้งใจหลีกเลี่ยง เพื่อปล่อยให้เกิดพื้นที่ว่างให้ฮ่วนเหนียงเกลี้ยกล่อมน่ารื่อมู่ ตอนนี้ในกระโจมมีเขาอยู่เพียงลำพัง อวิ๋นเยี่ยคิดว่าควรเข้านอนได้แล้ว ในยุคสมัยโบราณที่ปราศจากความบันเทิง เขาเกิดความเคยชินกับวัฏจักรชีวิตที่เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นทำงานและพระอาทิตย์ตกก็พักผ่อนแล้ว

 

 

ไม่รู้ว่าจะฮ่วนเหนียงไปไหนแล้ว แม้แต่น้ำล้างเท้าก็ไม่เตรียมไว้ให้ แม้ว่าจะอยู่ด้วยกันในช่วงเวลาสั้นๆ อวิ๋นเยี่ยถูกฮ่วนเหนียงตามใจจนเป็นคุณชายใหญ่ที่เมื่อข้าวป้อนมาก็อ้าปาก เสื้อผ้ายื่นมาก็กางแขนไปแล้ว

 

 

ช่วยไม่ได้ คนไม่อยู่ จึงได้แต่ทำด้วยตัวเองเท่านั้น ก่อนที่เขาจะลงมือทำ ผ้าม่านกระโจมก็ถูกเปิดขึ้น น่ารื่อมู่ที่สวมชุดงดงามสีแดงเดินเข้ามา คืนนี้นางแปลกมาก บนใบหน้าไม่มีคราบโคลนแม้แต่นิดเดียว สองมือที่ยกอ่างน้ำก็สะอาดสะอ้าน บนศีรษะก็เต็มไปด้วยเครื่องประดับเงิน ไม่รู้ว่านางไปเอามาจากไหน

 

 

วันนี้ในกระโจมไม่มีตะเกียงน้ำมัน แต่มีเทียนขนาดใหญ่สองอัน เห็นชัดๆ ว่าเป็นสีขาวแต่กลับถูกคนเคลือบด้วยแป้งสีแดง สภาพแวดล้อมผิดปกติ บรรยากาศผิดปกติ แม้แต่คนก็ดูผิดแปลกไป ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังขยับเส้นประสาทเพื่อคาดเดาว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนี้อยู่นั้น น่ารื่อมู่ก็ย่อตัวลงและวางอ่างน้ำบนพื้น ก่อนจะผลักอวิ๋นเยี่ยลงบนเตียง ถอดเสื้อ ถอดรองเท้า ถุงเท้าของอวิ๋นเยี่ยออก

 

 

สองมือของน่ารื่อมู่ค่อนข้างหยาบ นางจับเท้าอวิ๋นเยี่ยฝืนจุ่มลงไปในอ่างน้ำ น้ำในอ่างนั้นร้อนมาก อวิ๋นเยี่ยอยากดึงเท้ากลับเป็นอย่างมากแล้วตบหน้าน่ารื่อมู่สักฉาดหนึ่ง แต่เห็นว่าน่ารื่อมู่มีสีหน้าจริงจัง จึงฝืนการกระทำที่ไม่เหมาะของเท้าเพื่อดูว่านางจะทำอะไร

 

 

มือที่หยาบกร้านปัดผ่านฝ่าเท้าไป รู้สึกคันมาก น่ารื่อมู่ก็ดูแลใครไม่เป็น ดึงนิ้วเท้าแล้วออกแรงถู นี่ไม่ได้เรียกว่าเสพสุขเลย ราวกับว่ากำลังถูกทรมานชัดๆ โชคดีที่นางล้างอย่างรวดเร็ว ขณะที่เท้าของอวิ๋นเยี่ยซึ่งถูกลวกจนแดงพองยกขึ้นจากอ่างน้ำ อวิ๋นเยี่ยก็แอบคร่ำครวญว่าจะสุกอยู่แล้ว

 

 

ทุกครั้งที่ล้างเท้าเสร็จ ถ้าเป็นฮ่วนเหนียง นางจะยกอ่างน้ำออกไปแล้วทับผ้าม่านกระโจมให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้ลมพัดเข้ามา

 

 

คืนนี้น่ารื่อมู่เป็นคนล้างเท้าให้อวิ๋นเยี่ย ดังนั้นนางจึงไม่ออกไป ทั้งยังถึงกับเริ่มถอดเสื้อผ้าออก เมื่อคิดโยงไปถึงฉากประหลาดทั้งหมดในคืนนี้ อวิ๋นเยี่ยก็เข้าใจว่าคืนนี้เขาถูกจับแต่งงาน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผู้บงการก็คือฮ่วนเหนียง ผู้ลงมือปฏิบัติคือน่ารื่อมู่ พวกเขาถึงกับมีเวลาทำเทียนสีแดงสองเล่มมาได้

 

 

พริบตาเดียว น่ารื่อมู่ก็เปลื้องผ้าจนเปลือยเปล่าแล้วมุดตัวเองเข้าไปในผ้าห่ม เผยให้เห็นเพียงดวงตากลมโตที่สดใสคู่หนึ่ง กะพริบตาปริบๆ ให้อวิ๋นเยี่ยไม่ยอมหยุด หรือจะบอกว่านี่คือส่งตาหวานที่เล่าลือในตำนาน

 

 

อวิ๋นเยี่ยรู้กฎระเบียบของทุ่งหญ้าดี ถ้าตอนนี้เขาขับไล่น่ารื่อมู่ออกไป พรุ่งนี้ก็รับประกันได้เลยว่านางต้องกลายเป็นศพอย่างแน่นอน ขณะที่ยังอยู่ในค่ายของอวิ๋นเยี่ย คนในเผ่าของนางไม่กล้าทำร้ายนาง ผู้ที่สามารถทำร้ายนางได้มีเพียงตัวนางเอง หญิงที่ถูกลากออกไปข้างนอกในคืนแต่งงานก็คืออูหมี่หรือก็คือหญิงที่เป็นหมัน ตามที่เล่าขานกันว่าภรรยาของเทพเจ้าทังกรีนั้นคืออูหมี่ที่งดงามที่สุดในแผ่นดิน อูหมี่คือผู้ที่ถูกปีศาจร้ายสาปให้นางไม่สามารถสืบเชื้อสายให้กับเทพเจ้าทังกรีได้ชั่วชีวิต อูหมี่จึงไปยังดินแดนแห่งความตายด้วยตัวเองและเฉือนเนื้อบนร่างกายทั้งหมดทิ้ง เหลือเพียงโครงกระดูก จากนั้นก็ใช้ส่วนที่งดงามที่สุดของหญิงพรหมจารีเก้าสิบเก้าคนที่เสียชีวิตไปแล้วมารวมกันเป็นร่างของนาง ด้วยเหตุนี้นางจึงงดงามยิ่งขึ้น จากนั้นนางกับเทพเจ้าทังกรีได้ค่อยๆ ช่วยกันรวบรวมชนเผ่าแห่งทุ่งหญ้าอันยิ่งใหญ่ขึ้นมา ดังนั้นหญิงที่เป็นหมันจึงต้องไปยังดินแดนแห่งความตายหนึ่งครั้ง หากตัวนางไม่ต้องการไป คนในเผ่าผู้ซึ่งกระตือรือร้นก็จะช่วยพานางไป

 

 

ไม่รู้ว่าน่ารื่อมู่มีความสามารถในการฟื้นคืนชีพหรือไม่ อวิ๋นเยี่ยคิดว่าความเป็นไปได้นี้น้อยมาก จึงไม่ได้ไล่น่ารื่อมู่ออกไป อวิ๋นเยี่ยจึงต้องปีนขึ้นไปบนเตียงแล้วพูดกับน่ารื่อมู่ว่า “กระเถิบเข้าข้างในหน่อย เหลือที่ว่างให้ข้าหน่อย”

 

 

ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ได้ยินแต่เพียงเสียงลมหายใจเบาๆ ของน่ารื่อมู่เท่านั้น