ศิษย์ที่มีพื้นฐานดีที่สุด ชอบการเรียนรู้ที่สุด และเชื่อฟังที่สุดอย่างหวงฝู่จี้เหินต้องการขอลาหยุด นั่นทำให้มู่เฉียนซีขมวดคิ้วฉงนสงสัยขึ้นมา

ชั่วอึดใจที่มาขอลาหวงฝู่จี้เหินตึงเครียดอย่างที่สุด ทว่าคำตอบของท่านอาจารย์มู่ซีทำให้เขาโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

“ได้ ข้าอนุญาต”

ในเมื่อสามารถขอลาหยุดได้ ศิษย์คนอื่น ๆ พลันคึกครื้นขึ้นมา “ท่านอาจารย์ ข้าก็อยากขอลาหยุดด้วยเช่นกัน”

“ข้าด้วย ท่านอาจารย์โปรดอนุญาต”

ดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นของมู่เฉียนซีในร่าง ‘อาจารย์มู่ซี’ ฉายแววเย็นยะเยือก “หึ ๆ ๆ หากพวกเจ้าอยากลาหยุดก็พิจารณาตัวเองก่อนเถอะ พวกเจ้ามีพื้นฐานก่อนหน้าที่ดีเป็นอย่างมากเหมือนกับสหายหวงฝู่จี้เหินแล้วรึ ? ถ้าหากไม่มีแล้วยังคิดลาหยุด เช่นนั้นพร้อมไหมล่ะ พร้อมให้ลูกรักของข้ารมพิษพวกเจ้าหรือไม่ล่ะ ?”

มู่เฉียนซีปิดท้ายด้วยคำถามที่ทำให้ขนแขนศิษย์หลายคนลุกซู่ พวกเขาสั่นระรัวไปทั่วร่าง ปากปิดสนิทแน่นไม่กล้าเอ่ยเรื่องลาหยุดอีก

“ไปที่ห้องหลอมยากันได้แล้ว ข้าจะเริ่มสอนพวกเจ้าโดยเริ่มจากยาที่ไม่มีระดับก่อน”

หวงฝู่จี้เหิน ศิษย์ผู้มีพื้นฐานดีเยี่ยมลาหยุดไป รายนั้นไม่น่าห่วงเท่าไหร่ แต่ทว่าซูเซิงนี่สิ มู่เฉียนซีคาดไม่ถึงว่าศิษย์ฝีมือค่อนข้างดีอย่างเขาจะหลอมยาแล้วเกิดความผิดพลาดขึ้นมา

นางบี้เม็ดยาที่เขาหลอมขึ้นมาจนแตกละเอียดก่อนจะกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ข้าให้เจ้าหลอมยาดูดวิญญาณ แต่ดูสิว่าเจ้ากำลังหลอมอะไร นี่มันยารวมพิษหรือยังไงกันศิษย์ซูเซิง ?”

ซูเซิงมองอาจารย์มู่ซีด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “โธ่ท่านอาจารย์ ข้านั้นสกัดเป็นแต่พิษ อยากตั้งใจฝึกแต่การปรุงพิษโดยเฉพาะ ข้าผิดรึ ?”

เจ้าเด็กนี่ลอบทำร้ายนางทุกวี่วันที่มาร่ำเรียน พิษหลากชนิดล้วนเคยถูกนำมาใช้ นางรู้มาแต่แรกแล้วว่าซูเซิงมีความสามารถมากขนาดไหน ต้องยอมรับเลยว่าเขาเป็นอัจฉริยะในเรื่องการหลอมปรุงยาพิษ

มู่เฉียนซียกนิ้วโป้งขึ้นมา ยิ้มตาหยีแล้วกล่าวว่า “ศิษย์ซูเซิง ข้าคิดว่าข้าผู้เป็นอาจารย์ควรไปเจรจาเกี่ยวกับเรื่องชีวิตของคนเราและความใฝ่ฝันของเจ้าเสียหน่อยแล้ว”

มู่เฉียนซีอดไม่ได้ที่จะจัดการกับเขา นางวางยาพิษกับทุกชั่วลมหายใจ เขาชอบเรื่องเช่นนี้มากมิใช่หรือ ? นางก็จัดให้สิ

“อ๊าก!”

พิษที่มู่เฉียนซีปล่อยไปครานี้หนักหนายิ่งนัก ซูเซิงไม่อาจอดทนอดกลั้นเอาไว้ได้

เสียงเย็นชาของมู่เฉียนซีดังขึ้น “ข้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลใดที่เจ้าทำตัวดื้อรั้น และข้าก็ไม่ได้อยากรู้เหตุผลนั้นด้วย”

สายตาของนางตกทอดไปบนตัวของซูเซิง “เมื่อไรที่เจ้าเข้าใจคำว่าหมอพิษ เมื่อนั้นเจ้าค่อยมาเอายาแก้พิษกับข้า ภายในเวลาหนึ่งชั่วยามครึ่งหากเจ้ายังไม่ได้ยาแก้พิษเจ้าก็ไม่ตายหรอก หากแต่อยู่ไม่สู้ตายเสียก็เท่านั้นเอง”

“อ๊ากกกก!”

ทุกคนต่างได้ยินเสียงร้องโหยหวนของซูเซิง ใบหน้าพวกเขาซีดเผือดแทบไร้สีเลือด พากันลอบกล่าวในใจว่า ‘มารร้าย! ท่านอาจารย์ผู้นี้มารร้ายชัด ๆ’ เพื่อไม่ให้ตนเองต้องตกอยู่ในชะตากรรมดั่งเช่นซูเซิง พวกเขาจึงใช้ทักษะการปรุงยาทั้งหมดที่มีอยู่ในการปรุงยา

“อาจารย์มู่ซี รองอาจารย์ใหญ่เชิญท่านไปพบ”

เมื่อเจอรองอาจารย์ใหญ่ร่างอ้วนเตี้ยผู้นั้นอีกครั้ง ใจก็นึกย้อนไปถึงตอนที่เขากลั่นแกล้งนางในตอนนั้น คิ้วงามพลันขมวดมุ่น จิตใจร้อนรุ่มแทบอดไม่ได้ที่จะแจกยาให้เขาสักเข็มหนึ่ง

รองอาจารย์ใหญ่สำนักย่อยปรุงยาเอ่ยถามขึ้น “อาจารย์มู่ซี ไม่ทราบว่าไปสอนเหล่าศิษย์ห้องเรียนระดับต่ำหรือห้องเจ็ดมา เป็นยังไงบ้างรึ ?”

“แน่นอนว่าดีมาก” มู่เฉียนซีตอบง่าย ๆ

“ข้าว่าเจ้าควรระวังเอาไว้สักหน่อย แม้อาจารย์ที่เคร่งครัดจะหล่อหลอมลูกศิษย์สูงส่งออกมา แต่หากว่าเจ้าทำให้พวกเขาตายขึ้นมาจริง ๆ เบื้องหลังของพวกเขายังมีคนในตระกูลและยอดฝีมือ คนพวกนั้นไม่ปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน”

“เหอะ! ข้าไม่สนหรอก หากข้ากลัวก็คงไม่ทำเช่นนั้นตั้งแต่แรก” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างโอหัง

“เจ้าเป็นเจ้าของกิจการร้านโอสถแห่งหนึ่ง บอกมาเถอะว่ามาที่นี่เพื่อจุดประสงค์ใดกันแน่ ?”

ในตอนนี้หอหมอปีศาจนั้นนับวันยิ่งเลื่องชื่อลือกระฉ่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ รองอาจารย์ใหญ่จึงรู้ได้ว่าเป้าหมายที่มู่เฉียนซีมาเป็นอาจารย์ ณ ที่แห่งนี้ คงมิใช่อะไรที่บริสุทธิ์ใจเป็นแน่แท้

มู่เฉียนซีกล่าวสบาย ๆ “จุดประสงค์ของข้าคือศิษย์นักปรุงยาในสำนักศึกษาซวนเสียที่ได้ฝึกฝีมือมาอย่างดี ข้าอยากได้เหล่าศิษย์ที่มีความเป็นอัจฉริยะอยู่ในตัว พวกเขาจะได้ไปทำให้หอหมอปีศาจของข้าแข็งแกร่งเติบโต ทำไมรึ ? หรือว่ารองอาจารย์ใหญ่มีปัญหา ?” จะไม่มีปัญหาได้อย่างไร นี่เป็นการแทรกซึมเข้ามาภายในและขุดเอาคนของเขาไปชัด ๆ

“ข้าจำได้ว่าหลังจากที่ศึกษาจบจากสำนักศึกษาซวนเสีย เหล่าศิษย์มีสิทธิ์เลือกว่าจะอยู่หรือไป สำนักศึกษาซวนเสียนั้นไม่ขัดขวางการพัฒนาตนของศิษย์มิใช่หรือ ?” มู่เฉียนซีตั้งคำถาม

“แต่เจ้ามีเจตนาไม่ดี” รองอาจารย์ใหญ่กัดฟันกล่าว เขาพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออกมา

“ถ้าหากว่าท่านคิดว่าข้ามีเจตนาร้ายก็สามารถไปฟ้องเรื่องข้ากับเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายได้เลย ถ้าหากพวกเขาไม่อยากให้ข้าเป็นอาจารย์ที่สำนักย่อยปรุงยา แน่นอนว่าข้าจะจากไป”

แม้สำนักศึกษาซวนเสียจะเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปเสียโจว แต่ทว่ามันไม่เหมือนกับสำนักอวิ๋นเยียน ที่นี่ไม่โอหัง ทว่าก็ขาดความชัดเจนและไม่ยุติธรรม

ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่เอาน้ำต้มไก่อะไรไปมอมผู้อาวุโสเหล่านั้น พวกเขาจะไปทำให้เจ้าเด็กนี่ลาออกได้อย่างไร รองอาจารย์ใหญ่ทั้งหงุดหงิดทั้งละเหี่ย เขากล่าว “เจ้าอย่าได้คิดว่าเจ้าไปบีบคั้นเจ้าพวกไร้ความสามารถนั่นแล้วมันจะกลายเป็นอัจฉริยะได้ ฝันไปเถอะ!” โชคดีที่เขามองการณ์ไกลไว้ตั้งแต่ตอนแรกจึงได้เอาเหล่าศิษย์จากห้องที่ไร้ความสามารถอย่างเข็นไม่ขึ้นที่สุดให้นางดูแลไป เพราะจะได้ไม่ต้องมาแย่งเอาตัวศิษย์อัจฉริยะไปจากสำนักของพวกเขา

เมื่อกลับมาจากสำนักย่อยปรุงยา มู่เฉียนซีเห็นเงาร่างหนึ่งที่คุ้นตา

“โม่ซางคงเจ้ามาแล้ว” มู่เฉียนซีเอ่ยปากขึ้น

“เสี่ยวซี” โม่ซางคงหันกลับไปมอง แววตาของเขาฉายความประหลาดใจออกมา

“เมื่อเข้าเรียนได้ครึ่งเดือน อาจารย์ให้พวกเราทำการฝึกราวกับปีศาจร้าย ไม่ทราบว่าช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมาเป็นเช่นไรบ้าง ? แล้วอาจารย์ของเจ้าเป็นยังไง ดีหรือไม่ แล้วเจ้า…” “นางสบายดี”

โม่ซางคงยังมีเรื่องอีกมากมายที่อยากถาม แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันได้ถามจบก็พลันมีเสียงเสียงหนึ่งที่สามารถทำให้ร่างกายทุกขุดแข็งทื่อลอยมา เจ้าของเสียงนั้นเป็นชายร่างสูงใส่ชุดคลุมสีดำยาวตลอดทั้งตัว ใบหน้าของเขาถูกบดบังด้วยหน้ากากผีสีดำสนิท ไม่ว่าจะมองมุมใด เขาผู้นี้เปรียบดั่งบุรุษเทพมารก็มิปาน

กลิ่นอายอันน่าเกรงขามแฝงเร้นไปด้วยความเย็นชาและการเหยียดหยาม

มู่เฉียนซีรีบกล่าว “นี่เป็นอาจารย์พิเศษส่วนตัวของข้าเอง อาจารย์หวงจิ่วเยี่ย เขาสอนข้าแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น ในครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ไม่เลวเลย และอีกไม่นานข้าก็จะบรรลุไปถึงขั้นจักรพรรดิแล้ว”

“อาจารย์พิเศษงั้นรึ ? โอ้!” ในฐานะนายน้อยของตําหนักโม่อวี่ โม่ซางคงรู้จักสำนักศึกษาซวนเสียอย่างแจ่มแจ้ง ที่สำนักส่วนนอกไม่มีใครมีเกียรติพอที่จะได้มีอาจารย์พิเศษส่วนตัวเช่นนี้เลย อีกทั้งพลังความสามารถของอาจารย์ผู้นี้ยังมิอาจหยั่งถึงได้ แม้จะเป็นบิดาของเขาก็ยังมิอาจเทียบชั้นด้วยได้

จิ่วเยี่ยไม่สนใจโม่ซางคงอย่างสิ้นเชิง สายตาเยือกเย็นของเขาตกอยู่ที่มู่เฉียนซีตลอดเวลา

โม่ซางคงสัมผัสได้ถึงความเย็นชาและจิตสังหารแผ่ออกมาจากกายของบุรุษผู้นี้ มันเป็นจิตสังหารที่สามารถทำให้เขาขวัญหนีดีฝ่อได้ทุกเมื่อ ตอนนี้เขารู้สึกตึงเครียดเป็นอย่างมาก จะไม่ให้เครียดได้ยังไง ?! นี่เป็นบุคคลอันตรายที่สุดที่เขาเคยพบพานมาในชีวิตนี้…

โม่ซางคงกล่าวเสียงสั่นเล็กน้อย “เสี่ยวซี เจ้ายังมิได้ไปท้าประลองจัดอันดับ ด้วยความสามารถในการต่อสู้ข้ามระดับของเจ้า เมื่อเข้าร่วมการประลองจัดอันดับก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร อ้อ และเจ้ายังจะมีโอกาสได้รับค่าพลังวิญญาณด้วย” เพราะว่านางมีค่าพลังวิญญาณที่ได้มาจากการแลกด้วยยาเม็ดจึงทำให้นางลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท

“การต่อสู้จัดอันดับงั้นรึ ? ทั้งยังสามารถทำกำไรเรื่องค่าพลังวิญญาณได้อีก อืม… น่าสนใจ เช่นนั้นข้าลองไปลุยกับพวกระดับล่างดูหน่อยก็ดีเหมือนกัน”

สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือนางนั้นได้ฝึกฝนกับจิ่วเยี่ย บุรุษผู้วิปริตอยู่ทุกวันจนเจ็บตัวไปหมดไม่ก็ถูกตำหนิอย่างรุนแรง นางจึงอยากไปสู้กับคนในระดับใกล้เคียงกันเพื่อเรียกเอาความมั่นใจของตนกลับคืนมา

มู่เฉียนซีมองใบหน้าไร้ที่ติของจิ่วเยี่ยก่อนจะถามขึ้น “อาจารย์จิ่วเยี่ย ข้าจะไปลงประลองจัดอันดับสักหน่อย อาจารย์คงไม่มีปัญหากระมัง”

“ได้”

เมื่อเสียงเยียบเย็นสิ้นสุดลง เงาร่างสีดำวาบแวบเคลื่อนเข้ามากอดร่างบางเอาไว้และได้พานางจากไปจากตรงนี้ในทันที แน่นอนว่าที่ที่พวกเขาจะไปคือเวทีประลองยุทธ์ของสำนักศึกษาซวนเสีย

ทันทีที่มาถึงเงาร่างสีดำหายไปในพริบตา เหลือเอาไว้เพียงแค่โม่ซางคงผู้เดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ที่นี่

นี่พวกเขา!

ดวงตาของโม่ซางคงเต็มไปด้วยความตกใจ ไม่ว่าอย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองก็ดูไม่เหมือนอาจารย์กับลูกศิษย์ธรรมดาทั่วไป

บุรุษผู้นั้นเมินทุกสิ่งอย่าง ในสายตาของเขามีเพียงแต่เสี่ยวซีผู้เดียวเท่านั้น

ส่วนเสี่ยวซีนางดูเหมือนว่าจะมีนิสัยสบาย ๆ แต่ที่จริงแล้วนางเป็นสตรีไม่มีหัวใจ น้อยนักที่จะเอาผู้ใดไว้ในใจ

ผู้ที่นางมิได้ชิงชังนางจะออกตัวช่วยเหลือและดีกับผู้นั้น ทว่านางจะไม่สนิทสนมใกล้ชิดกับชายผู้ใดเช่นนี้แน่

ความรวดเร็วของจิ่วเยี่ยจัดได้ว่ารวดเร็วเป็นอย่างมาก ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงเวทีประลองจัดอันดับ

“ต่อยมัน! ซัดเจ้าเด็กใหม่บ้านั่นให้ตาย!”

เมื่อมาถึงเวทีประลองจัดอันดับ เสียงโห่ร้องดังแว่วมาเข้าหูเป็นช่วง ๆ