ตอนที่ 564 ทางกลับบ้าน / ตอนที่ 565 ใช้ชีวิตได้อย่างดีๆ

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 564 ทางกลับบ้าน

 

 

           มั่วไป๋ตะลึงงัน กว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ไป๋จิ่งก็เข้ามาจูบเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

           เขาชะงักค้าง รสชาติของเนยและครีมจางๆ ตลบอบอวล มั่วไป๋เห็นใบหน้าขนาดขยายใหญ่ของไป๋จิ่ง เขาตกใจค้างอยู่เป็นสองนาที

 

 

           ไป๋จิ่งจูบเสร็จก็ปล่อยมือออกทันที

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกเขินอายอย่างไรชอบกล เขาหันข้างไม่มองไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งยื่นมือไปพลางมองใบหน้าที่เลิ่กลั่กของเขา ก่อนจะใช้นิ้วเช็ดคราบเนยและครีมที่มุมปากพร้อมรอยยิ้ม

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกแค่เพียงความร้อนที่ริมฝีปาก เขาถอยหลังไปโดยอัตโนมัติ

 

 

           ไป๋จิ่งอารมณ์ดีมาก เพราะแบบนี้เขาจึงหรี่ตาลงมองมั่วไป๋พลางพยักหน้าด้วยท่าทีสงบนิ่ง “อร่อยมากจริงๆ”

 

 

           มั่วไป๋มองเขาแวบหนึ่ง เขาไม่ได้อยากจะฟังคำประเมินของไป๋จิ่งสักหน่อย

 

 

           เขาไม่สนใจไป๋จิ่งอีก แต่ก้มหน้ากินเค้กต่อ หลังจากกินเสร็จแล้ว เขาก็ให้ไป๋จิ่งเก็บของที่วางบนโต๊ะให้เรียบร้อย หลังจากนั้นเขาจึงวาดรูปต่อ

 

 

           ช่วงนี้เจียงมู่เฉินกำลังยุ่งเรื่องบริษัท เขาได้พูดคุยกับมั่วไป๋น้อยมาก ส่วนมั่วไป๋เองก็ติดต่อกับเจียงมู่เฉินน้อยมาก เพราะไป๋จิ่งวนเวียนอยู่ข้างกายเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

 

 

           ตั้งแต่ที่เซียวเย่ว์ติดต่อกับไป๋จิ่งได้ เธอก็ส่งข้อความหาไป๋จิ่งอยู่บ่อยครั้ง

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งเห็น ปกติเขาจะทำเป็นมองข้ามไปเสมอ เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นข้อความที่สำคัญ ถึงค่อยจะได้ตอบ ‘อืม…อ่า…อ่อ’ ตอบกลับสองสามคำไป

 

 

           รับมือกับเซียวเย่ว์ไปพลาง รอข้อมูลจากไมเคิลไปพลาง

 

 

           ผ่านไปสองวันด้วยความสงบสุข เหยียนอวี้จัดการตรวจร่างกายมั่วไป๋อีกครั้ง ครั้งนี้ไป๋จิ่งอยู่เป็นเพื่อนมั่วไป๋ตลอด ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ปล่อยผ่ายแม้สักนาที

 

 

           เมื่อมั่วไป๋เดินออกมาจากห้องตรวจร่างกาย เห็นไป๋จิ่งยืนตัวตรงอยู่นอกประตู ในใจก็มีความรู้สึกบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้

 

 

           ราวกับนักเดินทางพเนจรที่ในที่สุดก็ตามหาทางกลับบ้านเจอแล้ว

 

 

           เขาวนเวียนอยู่ในเขาวงกตมาหลายปีขนาดนั้น สุดท้ายก็ยังตามหาไป๋จิ่งเจอได้

 

 

           มั่วไป๋มองดูเงาร่างไป๋จิ่งที่ทอดยาว เขาก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

           ไป๋จิ่งยืนรออยู่ข้างนอกตั้งนานสองนาน ไม่เห็นมั่วไป๋เดินออกมาสักที รู้สึกกังวลอยู่ในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอยู่เป็นเพื่อนตอนมั่วไป๋ตรวจร่างกาย

 

 

           นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ไป๋จิ่งอยู่กับมั่วไป๋อย่างเปิดเผยแบบนี้ ความรู้สึกในใจไม่เหมือนกับการแอบดูเท่าไหร่นัก

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินเสียงจากด้านหลัง เขารีบหันกลับไปมองทันที ก็เห็นมั่วไป๋เดินออกมาจากข้างในพอดี

 

 

           เขารีบสาวเท้าเดินเข้าไป “เป็นยังไงบ้าง มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า”

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขาทำหน้าตื่นตระหนก รู้สึกน่าขำขันอย่างช่วยไม่ได้ทีเดียว

 

 

           ใบหน้าไป๋จิ่งปกปิดความห่วงใยได้ยากมาก เขายืนอยู่ข้างๆ อยากจะกอดมั่วไป๋ แต่กลับเกรงใจ สุดท้ายทำได้เพียงยืนอยู่ข้างๆ เท่านั้น

 

 

           “การตรวจเล็กๆ ก็เป็นการตรวจเหมือนกัน ต้องเป็นห่วงอยู่แล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งใช้ชีวิตมาหลายปีขนาดนี้ พูดคำนี้ออกมาได้ก็แปลกแล้วจริงๆ นี่ถ้าเป็นคนอื่น คิ้วไป๋จิ่งจะไม่ขมวดเข้าหากันเลยด้วยซ้ำ

 

 

           แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อเป็นมั่วไป๋ก็ไม่ใช่ความหมายแบบนั้นแล้ว

 

 

           เขามองมั่วไป๋พลางเอ่ยถามขึ้น “ยังมีอะไรต้องทำอีกไหม”

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัว “ไม่มีแล้ว กลับไปก่อนเถอะ”

 

 

           ที่จริงการตรวจเล็กๆ ก็เป็นการตรวจเหมือนกัน เวียนวนมารอบหนึ่ง มั่วไป๋ก็เหนื่อยล้าไม่มากก็น้อยอยู่ดี

 

 

           หลังจากสองคนกลับไป มั่วไป๋ก็ถอดเสื้อคลุมข้างนอกออกแล้วนอนหลับบนเตียง

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นใบหน้ามั่วไป๋ดูมีความเหนื่อยล้าไม่เบา เขาก็ไม่กล้าจะรบกวนอีกฝ่าย ทั้งยังไม่ตามวอแวอยู่ข้างหลังเหมือนยามปกติด้วย

 

 

           ปล่อยให้เขานอนหลับไปทั้งอย่างนี้

 

 

           หลังจากมั่วไป๋นอนหลับ ไป๋จิ่งก็โทรหาไมเคิลถามถึงความคืบหน้า ไมเคิลเพิ่งจะสืบหาข้อมูลเสร็จพอดี เขาพูดตอบ “ฉันกำลังจัดข้อมูลเสร็จพอดี จะส่งให้นายเดี๋ยวนี้เลย”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้า พอวางสายมือถือก็เห็นเมลเข้ามาพอดี

 

 

           เขาวางมือถือลงแล้วเปิดดูเมล ข้างในเป็นข้อมูลของเปาเหวินซิง

 

 

           ไป๋จิ่งอ่านดูผ่านๆ แวบหนึ่ง สุดท้ายก็กุมขมับจนได้   

 

 

 

 

ตอนที่ 565 ใช้ชีวิตได้อย่างดีๆ

 

 

           ดูท่าว่าเรื่องราวจะง่ายดายกว่าที่เขาจินตนาการไว้ ไป๋จิ่งครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะส่งข้อความหาไมเคิล

 

 

           ให้ไมเคิลทำตามแผนของเขาไปวางกับดักไว้ก่อน

 

 

           รอหน้างานขั้นต้นนี้ให้เสร็จก่อน ส่วนที่เหลือรอเก็บกวาดทีเดียวก็เรียบร้อยแล้ว

 

 

           ไมเคิลทางนั้นตอบกลับมาเร็วมาก ไป๋จิ่งอ่านแวบหนึ่ง เวลานี้ถึงได้ปิดโน้ตบุ๊กลง

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งทำเรื่องพวกนี้เสร็จ ถึงคลำขึ้นเตียงอย่างเงียบๆ นอนเป็นเพื่อนมั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋ไม่ชัดเจนกับสิ่งเหล่านี้ที่ไป๋จิ่งทำ ไป๋จิ่งเองก็ต้องไม่ได้บอกเขาเป็นธรรมดา

 

 

           สาเหตุหลักที่ไม่บอกมั่วไป๋ก็เพราะเขาไม่อยากให้เซียวเย่ว์มากระทบกระเทือนจิตใจของมั่วไป๋อีกครั้ง ในเมื่อเรื่องราวก็ผ่านไปหลายปีแล้ว มั่วไป๋เองก็ไม่ได้เอ่ยถึงมาตลอด

 

 

           แสดงให้เห็นว่ามั่วไป๋ไม่อยากจะย้อนนึกถึงเรื่องนั้นจากในใจขึ้นมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขายิ่งไม่อยากจะเอาเรื่องของเซียวเย่ว์มาทำให้มั่วไป๋ย้อนนึกถึงอดีต

 

 

           เขารักมั่วไป๋ เขาก็อยากให้มั่วไป๋ใช้ชีวิตได้อย่างดีๆ

 

 

           สุขภาพแข็งแรง อยู่เย็นเป็นสุขใจ

 

 

           เรื่องที่เหลือให้เขามาจัดการเองก็เรียบร้อยแล้ว

 

 

           มั่วไป๋ของเขา มือไม่จำเป็นต้องมาแปดเปื้อนของอะไรก็ตามที่ไม่ดีไม่งาม

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูใบหน้าของมั่วไป๋ยามหลับใหล เขาโน้มเข้าไปจูบครู่หนึ่ง ก่อนจะโอบกอดมั่วไป๋แล้วนอนหลับไป

 

 

           ……

 

 

           รายงานผลตรวจร่างกายออกมาในวันต่อมา เหยียนอวี้ถือผลตรวจอ่านดูสักพัก ถึงได้เข้าไปยังห้องพักผู้ป่วยของมั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋ยังคงขลุกตัวอยู่บนโซฟา ไป๋จิ่งโทรศัพท์อยู่ข้างๆ

 

 

           หลังจากเห็นเหยียนอวี้มาแล้ว ไป๋จิ่งตอบแบบลวกๆ แล้ววางสายไปทันที

 

 

           เหยียนอวี้ส่งรายงานผลตรวจร่างกายให้มั่วไป๋ “ตอนนี้อาการผิดปกติในร่างกายทุกรายการของนายไม่มีปัญหาอะไร ฉันจะจัดวันผ่าตัดให้นาย วันที่ห้าเดือนหน้า ยังมีเวลาอีกสิบกว่าวัน”

 

 

           ไป๋จิ่งชะโงกหน้าไปดูด้วยความตื่นตระหนก มั่วไป๋เห็นแบบนี้ก็ถือโอกาสส่งผลตรวจให้ไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งหยิบมาอ่านโดยละเอียดสักพัก ถึงแม้ว่าจะอ่านศัพท์เทคนิคไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็พอเข้าใจไปได้เกินครึ่ง

 

 

           ทั้งยังมาได้ยินคำพูดของเหยียนอวี้อีก เวลานี้ถึงได้โล่งใจไปที

 

 

           ไป๋จิ่งมองเหยียนอวี้ “หลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว เขาจะยังมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

 

 

           เหยียนอวี้ส่ายหัว “ต้องดูสภาพการผ่าตัดจริงก่อน ถ้าหลังจากผ่าตัดฟื้นฟูได้ดี ต่อไปก็จะไม่มีปัญหาอะไรครับ”

 

 

           เมื่อไป๋จิ่งได้ยิน ใจก็จุกอกขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

 

 

           “งั้นก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้ที่จะผ่าตัดไม่ดีเหรอครับ”

 

 

           เหยียนอวี้ส่ายหัว “นี่ก็เป็นเรื่องธรรมชาติครับ ทุกการผ่าตัดย่อมมีความเสี่ยงอยู่แล้ว”

 

 

           พอไป๋จิ่งได้ยินคำว่า ‘ความเสี่ยง’ เขาก็ไม่ต่างอะไรกับครอบครัวคนไข้ ค่อนข้างกระวนกระวายใจทีเดียว

 

 

           มั่วไป๋รู้ว่าเพราะเขาเป็นห่วงมากเกินไป ดังนั้นถึงได้เป็นแบบนี้ได้

 

 

           เขาเอื้อมมือไปกุมมือไป๋จิ่งไว้ “วางใจเถอะ ฉันไม่เป็นไร เหยียนอวี้พูดแล้ว ความเสี่ยงในการผ่าตัดน้อยมาก”

 

 

           “การผ่าตัดต่อให้เล็ก ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี” อีกอย่างบริเวณที่ผ่าตัดคือสมอง ไม่ใช่บริเวณอื่นที่ไหน

 

 

           คิดได้เช่นนี้ ไป๋จิ่งยิ่งตื่นตระหนกขึ้นไปอีก

 

 

           เหยียนอวี้เห็นไป๋จิ่งเป็นแบบนั้น เขาก็รู้สึกว่าน่าขบขันไม่เบา ไม่ว่าเหยียนอวี้จะทำอย่างไรก็ตาม ปกติจะรู้สึกว่าอะไรๆ ก็เข้าทางไป๋จิ่งไปหมดเสียทุกอย่าง คิดไม่ถึงว่าจะมีอีกด้านที่ตื่นตระหนกขนาดนี้ด้วย

 

 

           คิดๆ แล้วน่าตลกสิ้นดี

 

 

           เป็นห่วงจึงกระวนกระวายใจ จะว่าไปคือไป๋จิ่งในตอนนี้ เพราะมั่วไป๋สำคัญกับเขาเกินไป ดังนั้นแค่ความเสี่ยงเพียงน้อยนิด เขาก็ไม่อยากให้มั่วไป๋ประสบพบเจอใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

           เขาไม่มีทางจะผ่านเรื่องราวการสูญเสียมั่วไป๋ไปอีกครั้งได้แล้ว

 

 

           เหยียนอวี้ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ยังมีอีกสิบวันกว่าจะผ่าตัด ตอนนี้คุณกังวลไปจะไม่ดูว่าเร็วไปสักหน่อยเหรอครับ…

 

 

           …อีกอย่าง มีผมอยู่ทั้งคน ผมกับอาจารย์ของผมจะพยายามลดความเสี่ยงให้ถึงที่สุดให้ได้ครับ”

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็รู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองดูจะตื่นตระหนกไปสักหน่อย เขาพยายามทำให้ตัวเองสงบจิตสงบใจลง จากนั้นก็พยักหน้ารับทันที “งั้นก็รบกวนคุณด้วยนะครับ”