กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 964
“เป็นถึงผู้นำของหนึ่งในตระกูลใหญ่ทั้งสี่ มีความสามารถเท่านี้เองหรือ?” ผู้นำตระกูลซั่งกวนรีบยืดอกและมองไปยังกู้ชูหน่วน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ไม่ตอบโต้กลับ รอให้ตระกูลไป๋หลี่ถูกฆ่าสังหารเหมือนที่จักรพรรดินีฆ่าสังหารตระกูลหนิง”
“ตระกูลซั่งกวนของพวกข้าสนองงานตามราชโองการของฝ่าบาทมาช้านาน ฝ่าบาทไม่มีทางทำอะไรตระกูลซั่งกวนของข้าอย่างแน่นอน”
“จริงหรือ? เช่นนั้นแล้วซั่งกวนหมิงหล่างล่ะ? จักรพรรดินีเรียกเขาเข้าเฝ้าที่วังหลวงด้วยไม่ใช่หรือ? พวกท่านมีซั่งกวนหมิงหล่างคนเดียวเท่านั้นที่เป็นสายเลือดของภรรยาเอก ท่านไม่สนใจความเป็นความตายของซั่งกวนหมิงหล่างแม้แต่นิดเดียวจริงๆ หรือ?”
ผู้นำตระกูลซั่งกวนกำหมัดแน่น ในใจรู้สึกโกรธมาก ทว่าสีหน้ากลับไม่แสดงความโกรธใดๆ สักนิด
กู้ชูหน่วนไม่สนใจท่าทางสีหน้าของเขาและกล่าวต่อไป “หากข้าบอกท่านว่า จักรพรรดินีในขณะนี้เป็นตัวปลอม ท่านจะเชื่อหรือไม่?”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” ผู้นำตระกูลซั่งกวนตกตะลึงอีกครั้ง
จักรพรรดินีคือตัวปลอมอย่างนั้นหรือ?
เป็นไปได้อย่างไร?
รอบกายของจักรพรรดินีมียอดฝีมือมากมายนับไม่ถ้วน แม้ว่านางจะมีวรยุทธ์ระดับเจ็ด ทว่าก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย
“เช่นนั้นแล้วท่านคิดว่าเหตุใดนิสัยของจักรพรรดินีถึงเปลี่ยนไปมากเช่นนี้?”
ขณะที่ผู้นำตระกูลซั่งกวนถูกถามด้วยคำถามนี้ เขาผลักประตูออกไปและเมื่อมั่นใจว่าไม่มีสิ่งผิดปกติบริเวณโดยรอบ เขาก็ได้ถามขึ้นมาว่า “เจ้าพูดเช่นนี้ เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”
“ในวังหลวงมีวังใต้ดินอยู่หนึ่งแห่ง ข้าบังเอิญได้เข้าไปในวังใต้ดิน และได้พบกับจักรพรรดินีตัวจริงในวังใต้ดิน นางเป็นคนเล่าให้ข้าฟัง”
“เจ้าหมายความว่า จักรพรรดินีตัวจริงยังมีชีวิตอยู่ และถูกจักรพรรดินีตัวปลอมกักขังไว้ในวังใต้ดินอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ จักรพรรดินีตัวจริงตายไปแล้ว ศพของนาง……คาดว่าคงจะถูกทำลายไปแล้ว”
“เช่นนั้นแล้วฝ่าบาทได้ทิ้งราชโองการหรือเบาะแสอะไรไว้หรือไม่?”
กู้ชูหน่วนครุ่นคิดอยู่นานและส่ายหน้า
นางไม่ต้องการเป็นจักรพรรดินี
และไม่ต้องการเกี่ยวพันกับเครือราชวงศ์
สำหรับนางแล้ว นางเป็นเพียงมู่หน่วน ลูกสาวของมู่ซินเท่านั้น
ผู้นำตระกูลซั่งกวนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“แต่……เสด็จอาเสวี่ยน่าจะคาดเดาได้ว่าจักรพรรดินีเป็นตัวปลอม เราสามารถไปพบเสด็จอาเสวี่ยได้”
“คืนนี้ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้า เจ้ากลับไปเสียเถอะ” ผู้นำตระกูลซั่งกวนไล่นางออกไป
เขารู้สึกขอบคุณกู้ชูหน่วนที่เล่าทั้งหมดให้เขาฟัง
แต่น่าเสียดาย……
ไม่ว่านางจะเป็นจักรพรรดินีตัวจริงหรือตัวปลอม วรยุทธ์ของนางช่างแข็งแกร่งอย่างมาก
ดูเหมือนว่ากู้ชูหน่วนจะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร และไม่สนใจการขับไล่ของเขา จากนั้นพูดขึ้นมาเสียงดังชัดถ้อยชัดคำ
“ผู้นำตระกูลเหวินไม่ต้องการแต่งงานกับจักรพรรดินีเลยสักนิด และถึงขั้นต้องการล้มเลิกด้วยซ้ำ การที่จักรพรรดินีแต่งงานกับเหวินเส่าอี๋ก็เพียงเพื่อต้องการดูดพลังวรยุทธ์ระดับหกขั้นสูงสุดของเขาไปเท่านั้น ตระกูลเหวิน……อาจจะร่วมมือกับเรา”
“พละกำลังที่แท้จริงของตระกูลเหวินนั้นเหนือชั้นกว่าที่ท่านจะคาดเดา เพียงแค่พวกเขาตอบตกลงฆ่าสังหารจักรพรรดินี เราก็จะมีความมั่นใจขึ้นมามาก”
“เยี่ยจิ่งหานและจักรพรรดินีมีเรื่องบาดหมางกัน และในมือของข้าก็มีสิ่งที่เยี่ยจิ่งหานต้องการ เพียงแค่ทำข้อตกลงกับเขา เขาจะต้องให้ความร่วมมืออย่างแน่นอน”
“และข้า……ยังสามารถสั่งการอสูรร้ายสัตว์ร้ายทั้งหลายอีกด้วย”
ผู้นำตระกูลซั่งกวนไตร่ตรองคำพูดของกู้ชูหน่วนอย่างตั้งใจ
ที่นางพูดถึงเหวินเส่าอี๋และเยี่ยจิ่งหาน นับว่าวรยุทธ์ของพวกเขาสูงส่งอย่างมาก
การสั่งการบรรดาสัตว์ร้ายของนางก็ถือเป็นตัวช่วยที่สำคัญ
เพียงแต่……
พูดง่าย แต่ลงมือทำนั้นยาก
“เท่าที่ข้ารู้ ผู้นำตระกูลเหวินและคุณชายเยี่ยมีความแค้นอย่างลึกซึ้ง พวกเขาจะร่วมมือกันได้อย่างไร อีกอย่าง ความสัมพันธ์ของตระกูลเหวินและจักรพรรดินีก็แน่นแฟ้นอย่างมาก”
“ไม่เพียงแค่ในอดีต จนถึงตอนนี้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวอย่างมาก หากต้องการให้ตระกูลเหวินคิดกบฏและต่อต้านจักรพรรดินี คาดว่าคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
“หากข้าสามารถพูดเกลี้ยกล่อมผู้นำตระกูลเหวินได้ล่ะ?”
ผู้นำตระกูลซั่งกวนวางมือลงที่โต๊ะเบาๆ
ดูเหมือนกับกำลังคิดอะไรบางสิ่ง
เพียงแต่ในเวลานี้เขาไม่อาจตัดสินใจ
หลังจากผ่านไปนาน เขาจึงได้พูดขึ้นมา “รอให้ผู้นำตระกูลเหวินตอบตกลงแล้วค่อยว่ากันใหม่เถอะ”
กู้ชูหน่วนยิ้มออกมา
ผู้นำตระกูลซั่งกวนพูดออกมาเช่นนี้ ก็แสดงว่าเขาตอบตกลง
“มู่หน่วนขอเป็นตัวแทนประชาชนทุกคนขอบคุณท่านผู้นำตระกูลซั่งกวน”
“เจ้าเพียงบอกข้าว่าซือม่อเฟยอยู่ที่ใดก็พอแล้ว”
ทันใดนั้นสีหน้าของกูู้ชูหน่วนก็เปลี่ยนไป
จนถึงตอนนี้แล้ว เขายังคิดจะฆ่าอาม่ออีกหรือ?
กู้ชูหน่วนหันกลับไปและคิดอยากจะออกไปจากห้องนั้น และได้พูดทิ้งท้ายไว้อย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่รู้”
เดินไปได้สองสามก้าว นางก็เดินกลับไปอีกครั้ง
“อ้อใช่ เมื่อหลายวันก่อนจักรพรรดินีคิดอยากจะมีอะไรกับซั่งกวนหมิงหล่าง จากนั้นก็จะดูดวรยุทธ์ของเขาจนหมด ข้ายุ่งเรื่องคนอื่น จึงได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ แต่วรยุทธ์ระดับสามของซั่งกวนหมิงหล่างนั้น จักรพรรดินีไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน หากข้าเดาไม่ผิด สามวัน อย่างมากสามวัน หากซั่งกวนหมิงหล่างไม่ออกมาจากวังหลัง พวกท่านจะไม่มีทางหาเขาเจอ แม้แต่โครงกระดูกก็ไม่มีวัน”
สีหน้าของผู้นำตระกูลซั่งกวนแย่ลงเล็กน้อย
กู้ชูหน่วนจากไปแล้ว
นางระมัดระวังตลอดทางที่เดินผ่าน เพราะกลัวว่าจะมีใครแอบติดตาม
คนของตระกูลซั่งกวนก็คอยแอบปกป้องคุ้มครองกู้ชูหน่วนไปตลอดทาง เพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นว่ากู้ชูหน่วนและตระกูลซั่งกวนเกี่ยวข้องอะไรต่อกัน
หลังจากที่กู้ชูหน่วนเดินจากไป ซั่งกวนชิงก็ลุกขึ้นยืน
ท่าทางของเขาดูเคร่งขรึม “ท่านผู้นำ สิ่งที่มู่หน่วนพูดมาเป็นความจริงหรือ?”
ผู้นำตระกูลซั่งกวนเหม่อลอยและสั่งให้คนจัดเตรียมน้ำชาอีกหนึ่งถ้วย
หากสังเกตอย่างละเอียดก็สามารถเห็นได้ว่า มือที่เขาถือถ้วยน้ำชานั้นสั่นไหวเล็กน้อย เพียงแค่เขาควบคุมได้ดีเท่านั้น
เขาตอบกลับไปอย่างเฉยเมย “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
“มู่หน่วนมีความน่าสงสัยอย่างมาก นางตายแล้วยังสามารถฟื้นคืนชีพได้ อีกทั้งวรยุทธ์การฟื้นคืนชีพของนางก็รวดเร็วอย่างมาก
หากไม่ใช่เพราะดูดพลังวรยุทธ์ของคนอื่น เช่นนั้นแล้วนางจะมีวรยุทธ์ถึงระดับห้าในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เขาบำเพ็ญเพียรมากว่าครึ่งชีวิต แต่มีวรยุทธ์เพียงระดับห้าเท่านั้น
แล้วนางล่ะ?
นางเป็นเพียงเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
“ข้าได้ลองสัมผัสพลังชีพจรของนาง พลังวรยุทธ์ของนางล้วนแต่เป็นเพราะนางบำเพ็ญเพียรฝึกฝนด้วยตัวเองทั้งสิ้น ส่วนที่ดูดพลังมาจากคนอื่นนั้นน้อยนิดอย่างมาก”
ซั่งกวนชิงตกตะลึง “นางบำเพ็ญเพียรฝึกฝนด้วยตัวเองจริงๆ หรือ?”
“ข้าก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ข้าได้ลองสัมผัสตรวจสอบอยู่หลายครั้ง ผลลัพธ์ก็เป็นเช่นเดิม”
นี่คือวิชาลับเฉพาะของตระกูลซั่งกวนของพวกเขา และเป็นความภาคภูมิใจของพวกเขา และไม่เคยผิดพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ครั้งนี้……ก็คงไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน
“ผู้หญิงคนนี้……ช่างเป็นยอดอัจฉริยะเสียจริง อย่าว่าแต่รัฐปิงเลย แม้แต่ดินแดนวิญญาณเยือกแข็งก็ไม่อาจหาใครเทียบเท่านางได้เลยสักคน”
จากลักษณะของนางแล้ว หากได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลซั่งกวนก็คงดีไม่น้อย
ทว่า……
เมื่อนึกถึงอดีตที่มีเรื่องบาดหมางกับนางต่างๆ นานา โดยเฉพาะตอนที่นางถอดเสื้อผ้าของเขา และแย่งชิงสมบัติล้ำค่าไป
ซั่งกวนชิงกลับรู้สึกโมโหขึ้นมา
นอกจากซั่งกวนชิงแล้ว ยังมีผู้อาวุโสอีกจำนวนหนึ่ง
พวกเขาต่างพากันพูดขึ้นมาว่า “จากความรวดเร็วในการบำเพ็ญเพียรของนางในตอนนี้แล้วนั้น ไม่แน่นางอาจจะสามารถบำเพ็ญเพียรถึงวรยุทธ์ระดับเจ็ดก็เป็นได้ หากตระกูลซั่งกวนของเราสามารถมีใครสักคนที่มีวรยุทธ์ระดับเจ็ด บนโลกนี้ใครจะยังกล้ามารังแกหรือทำร้ายเราได้อีก? ท่านผู้นำ นางและหมิงหล่างได้สัญญาว่าจะแต่งงานกันตั้งแต่วัยเด็ก แม้ว่าตอนหลังจะยกเลิกการแต่งงานไปแล้ว ทว่า……หมั้นหมายกันอีกครั้งหลังจากยกเลิกการแต่งงานไป ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่เช่นนั้นเรา……”
ซั่งกวนชิงกล่าว “คิดอะไรกัน ตระกูลซั่งกวนเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตามีชื่อเสียง คนที่ยกเลิกสัญญาคนแรกก็เป็นเรา หากเป็นเพราะความสามารถอันสูงส่งของนางทำให้เราต้องเสียดาย ต่อไปหากถูกเผยแพร่ออกไป คนของตระกูลซั่งกวนจะมีหน้าอยู่ในดินแดนนี้ได้อย่างไร?”
“ตอนนั้นข้าบอกว่าอะไรนะ บอกว่าไม่ต้องล้มเลิกการแต่งงาน ไม่ต้องล้มเลิกการแต่งงาน แต่พวกเจ้ากลับไม่ฟัง และคิดแต่จะล้มเลิก ตอนนั้นหากไม่ยกเลิกการแต่งงาน มีหรือจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้? ตอนนี้มู่หน่วนก็คงได้เป็นสะใภ้ของตระกูลซั่งกวนไปนานแล้ว และหมิงหล่างก็คงไม่ถูกบังคับให้เข้าไปในวังหลวง”
“เจ้าหมายความว่าทั้งหมดคือความผิดของข้าอย่างนั้นหรือ? อย่าลืมสิว่าตอนนั้นคนที่พูดให้ล้มเลิกการแต่งงานก็คือเจ้า”
“ข้าพูดก็จริง แต่ข้าก็พูดเรื่อยเปื่อยไปก็เท่านั้น ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าจะคิดจริงจัง”
ผู้อาวุโสยิ่งทะเลาะกันเสียงดังมากขึ้น
ผู้นำตระกูลซั่งกวนตะโกนออกไปอย่างรำคาญ “พอได้แล้ว หยุดทะเลาะกันได้แล้ว นอกจากเรื่องเหล่านี้แล้ว มู่หน่วนเป็นนักโทษคนสำคัญที่ฝ่าบาทต้องการตัว อย่าว่าแต่ให้มู่หน่วนเข้ามาในตระกูลซั่งกวนเลย แค่สนิทสนมใกล้ชิดกับนางแม้เพียงเล็กน้อย เช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการประกาศตัวเป็นศัตรูกับฝ่าบาท”