กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 965

ผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งนิ่งเงียบ

“เช่นนั้นแล้วตอนนี้เราควรทำเช่นไรดี? วรยุทธ์ที่แท้จริงของตระกูลเหวินแข็งแกร่งกว่าเรามาก หากฝ่าบาทต้องการลงมือจริง ลำดับต่อไปอาจจะต้องเป็นตระกูลซั่งกวนของเราแน่ๆ”

“ตระกูลซั่งกวนของเรามีความจงรักภักดีต่อฝ่าบาทมาเสมอ และไม่เคยทำเรื่องไม่ดีต่อพระราชโองการรับสั่งของฝ่าบาทเลยสักครั้ง ฝ่าบาทคงไม่คิดลงมือกับเราหรอกกระมัง”

“ปัดโธ่ เหตุใดเจ้าถึงยังไร้เดียงสาเช่นนี้ ฝ่าบาทคือฝ่าบาทตัวปลอม นางไม่ได้เป็นฝ่าบาทตัวจริง จุดมุ่งหมายของนางก็เพื่อดูดพลังวรยุทธ์ของทุกคนที่มีวรยุทธ์อันโดดเด่น เพื่อเพิ่มระดับวรยุทธ์ของตัวนางเอง”

“ใช่ เจ้าลองดูตระกูลไป๋หลี่สิ ตระกูลไป๋หลี่ก็จงรักภักดีต่อฝ่าบาท แต่สุดท้ายเป็นเช่นไร? ฝ่าบาทยังคงดูดพลังวรยุทธ์ของพวกเขาไปจนหมดไม่ใช่หรือ”

บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง

ห้องขนาดใหญ่ที่เงียบจนได้ยินแม้เสียงลมหายใจ

เป็นเวลานาน ผู้นำตระกูลซั่งกวนจึงกล่าวขึ้นมาประโยคหนึ่ง “หาคนสนิทจำนวนหนึ่งไปค้นหาเสด็จอาเสวี่ย ไม่ว่าอย่างไร……จะต้องหาเสด็จอาเสวี่ยให้เจอให้ได้”

ทุกคนรับคำสั่ง

หากต้องเป็นเช่นนั้นจริง คิดอยากจะโค่นล้มจักรพรรดินีตัวปลอมให้ได้ จำเป็นต้องให้เสด็จอาเสวี่ยเป็นคนออกหน้า

ซั่งกวนชิงรีบกล่าวขึ้นมา “ข้าจะส่งคนสนิทออกไปตามหาเสด็จอาเสวี่ย ท่านผู้นำวางใจได้ ข่าวนี้จะไม่ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างแน่นอน”

“หากถูกเผยแพร่ออกไป เช่นนั้นแล้วเวลาของตระกูลซั่งกวนของเราก็คงมาถึงจุดจบแล้ว”

“เข้าใจแล้วขอรับ”

ซั่งกวนชิงเดินออกไปอย่างเคร่งขรึม

ผู้นำตระกูลซั่งกวนกล่าวต่อไปอีกว่า “ผู้อาวุโสหลิว ผู้อาวุโสเสิ่น พวกเจ้าคัดเลือกลูกศิษย์ที่มีความโดดเด่นมาจำนวนมาก และคัดเลือกผู้อาวุโสที่มีความสามารถและน่าเชื่อถือมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นคอยคุ้มกันพวกเขาออกไปจากรัฐปิงอย่างลับๆ เพื่อเดินทางไปยังดินแดนบรรพบุรุษของตระกูลซั่งกวน ต้องรีบดำเนินการล่ะ”

“ท่านผู้นำ……”

ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างพากันตกตะลึง

นี่คือหนทางสุดท้ายของตระกูลซั่งกวน มีเพียงผู้อาวุโสคนสนิทไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ หากไม่ถึงขั้นร้ายแรง ปกติแล้วจะไม่มีทางย้ายไปดินแดนบรรพบุรุษอย่างแน่นอน

แต่ตอนนี้……

พวกเขายังไม่หมดหนทาง แต่ทำไมกลับ……

ผู้นำตระกูลซั่งกวนถอนหายใจเล็กน้อย

“วรยุทธ์ที่แท้จริงของนางนั้นแข็งแกร่งมากเกินไป นางจะฆ่าสังหารตระกูลหนิงนางก็ฆ่าสังหาร หากไม่วางแผนตั้งแต่เนิ่นๆ เกรงว่าตระกูลซั่งกวนของเราก็จะเป็นเหมือนกับตระกูลหนิง ที่ไม่เหลือแม้แต่เมล็ดพันธุ์”

ผู้อาวุโสหลิวอยากจะบอกเขาว่า

หลายวันมานี้ ฝ่าบาทได้รับสั่งให้ลูกศิษย์ที่มีวรยุทธ์โดดเด่นของตระกูลซั่งกวนเข้าวังไปเข้าเฝ้าอยู่บ่อยครั้ง แม้แต่หมิงหล่างก็ถูกเรียกไปเข้าเฝ้าแล้ว และตอนนี้ลูกศิษย์ที่มีวรยุทธ์โดดเด่นก็เหลือไม่กี่คนแล้ว

ทว่าเมื่อนึกถึงความรู้สึกของท่านผู้นำในตอนนี้แล้วนั้น เขากลับไม่กล้าพูดออกมาและทำได้เพียงรับคำสั่งไปเท่านั้น

หลังจากที่ผู้นำตระกูลซั่งกวนจัดแจงวางแผนเรื่องราวในตระกูลซั่งกวนเสร็จแล้วนั้น ตัวเขาเองได้หันไปมองพระจันทร์ และกล่าวออกมาว่า “รัฐปิง……กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่……”

ไม่นานหลังจากที่กู้ชูหน่วยออกไปจากเรือนของตระกูลซั่งกวน ผู้นำตระกูลซั่งกวนก็เดินทางไปหานางด้วยตัวเอง

เขาปลอมตัวออกไป เขาสวมชุดสีดำและหมวกงอบ และมีผ้าคลุมไหล่ เผยให้เห็นแค่ดวงตาเท่านั้น

หากเขาไม่ถอดหมวกออก กู้ชูหน่วนคงไม่มีทางจำเขาได้อย่างแน่นอน

กู้ชูหน่วนตกตะลึงเล็กน้อย

“ท่านผู้นำตระกูลซั่งกวน เพิ่งจะแยกจากกันไม่นาน ท่านก็คิดถึงข้ามากเช่นนี้เลยหรือ?”

นางยังคิดไม่ตกว่าจะพูดเกลี้ยกล่อมเหวินเส่าอี๋ได้อย่างไร

ในตอนกลางวันแต่ละพื้นที่เต็มไปด้วยประกาศจับของนาง นางจึงลงมือได้เพียงตอนกลางคืนเท่านั้น

และตอนนี้……

กู้ชูหน่วนมองไปบนท้องฟ้า

พระอาทิตย์เพิ่งจะตกดินไปเองเท่านั้น

ผู้นำตระกูลซั่งกวนพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าได้แอบสั่งให้ลูกน้องคนสนิทคุ้มกันลูกศิษย์ที่โดดเด่นและผู้อาวุโสที่มีความสามารถหลบหนีออกไปก่อนชั่วคราว และเพิ่งจะออกไปจากเขตเมืองหลวง พวกเขาทั้งหมดก็ถูกฆ่าสังหารลง ไม่เหลือใครรอดชีวิตสักคนเดียว”

กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว

“ในตระกูลซั่งกวนมีสายลับของจักรพรรดินี?”

“พวกเขาล้วนอยู่กับตระกูลซั่งกวนมาหลายสิบปี แต่ละคนล้วนเป็นคนสนิท”

“คนที่คุ้มกันและคนที่ถูกคุ้มกันล้วนสละชีวิตตัวเอง?”

“ใช่”

“ตายเพราะถูกดูดพลังวรยุทธ์ไปจนหมดตัวอย่างนั้นหรือ?”

“ไม่ใช่ ทั้งหมดถูกฆ่าตายด้วยดาบ”

“สถานที่ในการต่อสู้ล่ะ?”

“ไม่มีสถานที่ในการต่อสู้ คาดว่าอีกฝ่ายคงต้อนพวกเขาให้จนมุม พวกเขาไม่แม้แต่จะสู้กลับได้เลย”

กู้ชูหน่วนพึมพำ “จักรพรรดินีคงต้องการจะตักเตือนพวกท่าน”

“ใช่”

“เช่นนั้นท่านคิดว่าควรทำเช่นไร?”

“นี่อาจเป็นหายนะครั้งใหญ่ที่สุดของตระกูลซั่งกวนในรอบกว่าหลายร้อยปี”

“หากท่านคิดเปลี่ยนใจ ข้าก็จะไม่ฝืนยื้อท่านไว้”

“เราเปลี่ยนใจได้ด้วยหรือ?”

จักรพรรดินีตัวปลอมได้วางแผนลงมือตระกูลซั่งกวนของพวกเขาแล้ว เพื่อการเพิ่มวรยุทธ์ นางทำได้ทุกอย่าง

เขาไม่รู้ว่าเหตุใดจักรพรรดินียังไม่ลงมือจัดการพวกเขา ทว่าเขารู้ว่าไม่ว่าพวกเขาจะจงรักภักดีต่อจักรพรรดินีมากเพียงใด จุดจบของตระกูลซั่งกวนก็คงไม่ต่างไปจากตระกูลหนิงอย่างแน่นอน?

“เช่นนั้นท่านมาหาข้าเพื่ออะไรหรือ คงไม่ใช่เพียงมาบอกให้ข้ารู้เท่านั้นกระมัง?”

“ข้าต้องการให้อสูรร้ายของเจ้าคุ้มกันลูกศิษย์จำนวนหนึ่งของตระกูลซั่งกวนออกไป จากนั้นช่วยชีวิตหมิงหล่างออกมา”

กู้ชูหน่วนหัวเราะ “ยอดฝีมือของพวกท่านยังไม่สามารถคุ้มกันออกไปได้ อสูรร้ายของข้าจะคุ้มกันได้อย่างไร? อีกอย่าง ซั่งกวนหมิงหล่างอยู่ในวังหลวง และตอนนี้ข้าก็เป็นเพียงนักโทษที่หนีคดี ข้าจะช่วยได้อย่างไร?”

ผู้นำตระกูลซั่งกวนพยักหน้าอย่างเชื่อมั่น “เจ้าทำได้”

“ท่านเชื่อมั่นข้าเกินไปแล้วกระมัง?”

“ตระกูลซั่งกวนจำเป็นต้องหลงเหลือเมล็ดพันธุ์เอาไว้ ข้าจึงสามารถวางใจได้และร่วมมือกับเจ้าโค่นล้มจักรพรรดินี ข้าไม่อาจเดิมพันทั้งหมดและปล่อยให้ตระกูลซั่งกวนต้องล่มสลาย”

“อสูรร้ายของเจ้ามีอยู่ทั่วทุกสารทิศและมีหลากหลายประเภทสายพันธุ์ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรอดพ้นจากกรงเล็บของจักรพรรดินีไปได้ มีเพียงอสูรร้ายของเจ้า”

“ท่านแน่ใจแล้วหรือ?”

ผู้นำตระกูลซั่งกวนเหมือนจะยิ้ม ทว่าท่าทีของเขาได้แสดงออกถึงความต้องการของเขาไปหมดแล้ว

กู้ชูหน่วนผายมือออกและยิ้มออกมา “ในเมื่อท่านเชื่อมั่นในตัวข้า หากข้าไม่ช่วย ก็คงทำให้ท่านผิดหวังอย่างมาก”

“ข้าขอบใจเจ้าแทนทุกคนในตระกูลซั่งกวน”

“ไม่เป็นไรหรอก ใครบอกให้ข้าเป็นคนดีล่ะ ข้าสามารถช่วยคุ้มกันลูกศิษย์ของตระกูลซั่งกวนออกไปได้ แต่ซั่งกวนหมิงหล่าง……การคุ้มกันของวังหลวงช่างแน่นหนาเหลือเกิน และจากความสามารถของข้าในตอนนี้ ข้ายังไม่สามารถช่วยเขาออกมาได้ แต่ข้าไม่มีวันทิ้งเพื่อนของข้าเอาไว้ข้างหลัง เช่นนั้นแล้วกัน ข้าจะพาท่านไปพบใครคนหนึ่ง ไม่แน่เขาอาจจะมีวิธีช่วยซั่งกวนหมิงหล่างออกมาก็ได้”

“ไปพบใครหรือ?”

“ไปพบใครท่านไม่ต้องรู้หรอก ท่านไปกับข้าก็พอแล้ว”

ผู้นำตระกูลซั่งกวนมองดูท้องฟ้าและลังเลใจเล็กน้อย ทว่ากู้ชูหน่วนกลับลากเขาไปทันที

ผู้นำตระกูลซั่งกวนรีบดึงมือกลับ เพื่อป้องกันการสัมผัสระหว่างเขาและกู้ชูหน่วน

“เป็นถึงผู้ชาย และยังเป็นคนแก่ ข้าไม่ใช่เด็กน้อยเสียหน่อย ท่านกลัวอะไร กลัวว่าข้าจะกินท่านอย่างนั้นหรือ?”

ต่อให้เป็นเช่นนั้น ผู้นำตระกูลซั่งกวนก็ยังคงรักษาระยะห่างกับนางตลอดการเดินทาง

เดินทางผ่านไปเป็นเวลาเนิ่นนาน และไม่รู้ว่าเดินมาไกลแค่ไหนแล้ว จากนั้นทั้งสองก็ได้หยุดลงที่หน้าถ้ำ

ผู้นำตระกูลซั่งกวนหรี่ตาลง

“พลุสัญญาณของเผ่าเพลิงฟ้า”

“ท่านผู้นำตระกูลซั่งกวนก็รู้จักเผ่าเพลิงฟ้าหรือ?”

“ข้าเคยได้ยิน”

“อืม ดูไปแล้วเผ่าเพลิงฟ้าก็ดูมีชื่อเสียงอย่างมากในดินแดนวิญญาณเยือกแข็งแห่งนี้”