เม็ดเหงื่อไหลเริ่มไหลลงมาจากหน้าผากของจวินโม่เซี่ยและเขาเกือบจะไม่สามารถบังคับให้ตัวเองแสดงรอยยิ้มออกมาได้
“ ท่านน้าสาม เครือข่ายสายข่าวกรองของท่านนั้นช่างน่าประทับใจ ดังนั้นแล้วจึงไม่มีเหตุผลที่ท่านจะไปที่นั่นด้วยตัวเองใช่ไหม ? ”
“ เนื่องจากมียอดฝีมือปรากฏตัวขึ้นมากมาย เดิมทีข้าจะต้องไปดูด้วยตาของตัวเอง ! ”
จวินวูอี้กัดฟันเสียงดัง
“ จากเรื่องทั้งหมดนั้น มันเกิดขึ้นในเมืองเทียนเชียงของข้า และเห็นได้ชัดว่ามันทำให้องค์จักรพรรดิตระหนักถึงภัยอันตราย ! ในกรณีที่องค์จักรพรรดิรับสั่งให้สืบหาความจริงในเรื่องนี้และข้าไม่มีข้อมูล แล้วสกุลจวินคงจะต้องได้รับการดูแคลน ! ”
เขามองไปยังจวินโม่เซี่ยด้วยดวงตาที่ฉลาดหักแหลม
“ สิ่งนี้มิใช่เรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญนั้นคือสิ่งที่ข้าต้องการจะรู้ว่า ใครคือชายชุดดำผู้ที่ขโมยเอาแกนเชวียนและเอาออกมาเปิดเผยเมื่อคืน ? เจ้าชั่วนั่นคือคนที่อยู่เบื้อหลังความวุ่นวายเมื่อคืน และข้าต้องการรู้ว่าตัวตนของเขาคือใคร ! ”
“ เอ่อ … จะต้องเป็นยอดฝีมือบางคนในตำนาน ! ข้าคาดว่ายอดฝีมือเช่นนั้นอย่างน้อยจะต้องอยู่ในระดับเดียวกับยุ่นเบ้ยเฉิน มิฉะนั้นเขาคงจะไม่มีฝีมือเช่นนี้ ! ”
จวินโม่เซี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ จริงหรือ ? ”
สีหน้าของจวินวูอี้ดูเหมือนกับภูเขาไฟที่กำละรอคอยการปะทุ
“ ข้าเอาแกนเชวียนขั้นหกให้เจ้าเมื่อไม่กี่วันก่อน เอามันออกมาดูหน่อย ข้าอยากเห็น ”
แกนเชวียนนั่นตอนนี้อยู่ในมือของกระเรียนขายาว แล้วข้าจะเอามันออกมาได้อย่าไรกัน ? ข้าไม่ใช่ผู้ที่จะสามารถสร้างสิ่งของต่างๆออกมาจากอากาศได้นะ !
“ เอิ่ม แกนเชวียนขั้นหกนั้น ข้า …. ”
จวินโม่เซี่ยกรอกตาไปมา
“ … ข้าทำมันหาย ”
“ เจ้าไม่ได้เสียมันให้กับสัตว์เชวียนทรงพลังที่จะมาจากปาเถียนฟาทั้งสองนั้นใช่ไหม ? ”
จวินวูอี้เหลืบมองไปยังหลานชายของเขา
“ ตอนนี้เจ้าจะต้องตื่นได้แล้ว ข้ามีคำถามมากมายที่ข้าต้องการจะถามเจ้า แต่เจ้าควรจะรู้ไว้ว่ามีบทลงโทษที่รอเจ้าอยู่เมื่อเจ้าโกหกกับข้ามากมายเช่นนี้ จวินโม่เซี่ย น้าสามของเจ้านั้นแก่กว่าเจ้า และมีประสบการณ์มากกว่า … ”
“ ข้าไม่รู้ว่าทำมเจ้าถึงมั่นใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมากนัก ข้าไม่รู้ว่าเจ้าทำมันสำเร็จได้อย่างไร และข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าหลอกคนเหล่านั้นได้อย่างไร แต่กระนั้น ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องไม่โกหกข้า แต่ …. ”
จวินวูอี้พูดช้าๆด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
ในการเผชิญหน้ากับความหายนะและความกลัว มันทำให้จวินโม่เซี่ยตัวสั่น จวินโม่เซี่ยลุกออกจากเตียงอย่างเงียบๆ
“ ท่านน้าข้าปาดฉี่ และข้าอยากจะ …. ”
“ เจ้าไม่สามารถอั้นฉี่ได้หรือ ? ไร้สาระ ! ”
จวินวูอี้คำราม จวินโม่เซี่ยหยุดนิ่งขณะที่จวินวูอี้พูดต่อ
“ … ข้าคิดว่ามันถึงเวลาที่เจ้าจะต้องได้รับบทลงโทษของสกุลแล้ว ! ”
กวนเชียงฮั่นเดินไปมาในลานบ้านของจวินโม่เซี่ยอย่างร้อนรนเนื่องจากนางได้ข่าวว่าน้าสามเข้าไปในห้องของจวินโม่เซี่ยหลังจากที่เขาตื่น แม้ว่าจวินโม่เซี่ยนั้นเป็นน้องเขยของนาง แต่ยังไงมันก็ยังเป็นห้องนอนของผู้ชายอยู่วันยังค่ำ ดังนั้นนางจึงยังรู้สึกเขิลอายเมื่อคิดว่าจะเข้าไปยังห้องของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาติ เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น นางจึงต้องรอย่างร้อนใจอยู่ข้างนอกเมื่อนางไม่ยินเสียงคำรามของจวินวูอี้ และอดที่จะเป็นกังวลและเป็นห่วงไม่ได้
เหตุใดท่านน้าสามจึงโมโหเช่นนั้น … นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุเล็กน้อยเท่านั้น …
ในตอนที่นางง่วนอยู่กับความกังวล …
“ ปังง ! ”
ก้อนของผ้าสีขาวลอยออกมาจากในห้อง และเชียงฮั่นยืนขึ้นทันที และเกือบจะล้มลงไปบนพื้นเนื่องจากแรงกระแทกของสิ่งที่นางพยายามคว้าเอาไว้ ในขณะที่ของสิ่งนี้กำลังกรีดร้องออกมา
“ ท่านน้า … ใจเย็นก่อน ! ”
เห็นได้ชัดว่าวัตถุที่ลอยออกมานี้คือนายน้อยจวิน !
กวนเซียงฮั่นร้องออกมาด้วยความตกใจ ขณะที่ร่างของนางร่วงลงไปบนพื้นก่อน
จวินโม่เซี่ยโดนน้าสามเตะเข้าไปที่ก้น และแม้ว่าจะร้องออกมาเพื่ออธิบาย เขาก็ยังหมุนตัวกลางอากาศอย่างรวดเร็วเพื่อทำให้เขาสามารถร่อนลงไปบนพื้นได้อย่างปลอดภัย แต่ทันใดนั้นเองเขาพบว่าตัวเองกอดเข้ากับร่างอันบอบบางโดยไม่คาดคิดในขณะที่เขายังคงกรีดร้องออกมา และกลิ่นหอมนั้นลอยเข้ามาในจมูกของเขาในขณะที่เขาปะทะเข้ากับบางอย่างที่อบอุ่นและนุ่มนวล และร่างที่พุ่งออกไปราวกับจรวดของเขาเด้งกลับมา …
เขาอดที่จะรู้สึกถึงความสุขใจไม่ได้ แต่ในขณะที่เขามีความสุขอยู่กับมัน เขาก็พบว่าตัวเองกำลังร่วงลงไปบนพื้น
เวลานี้ เขาไม่มีเวลามากพอที่จะตั้งตัวและ ล้มลงไปโดยการเอาใบหน้าของเขาปะทะเข้าไปที่พื้น จวินวูอี้กระโดดออกมาจากในห้องโดยที่ไม่มีการอธิบายอะไรเพิ่มเติม และเริ่มเล่นปิงปองกับร่างกายของหลานชาย โดยการเตะและต่อยเข้าใส่ร่างของหลานชายราวกับสายฝน ในขณะที่กวนเซี่ยงฮั่นยังคงติดอยู่กับความหวาดกลัว
กวนเซี่ยงฮั่นรู้ว่าจวินวูอี้นั้นได้รับการฟื้นฟูแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่เป็นกังวลอะไร ในขณะที่เขายังคงต่อยตีจวินโม่เซี่ยต่อไป
ด้วยความสามารถทั้งหมดของเขา จวินโม่เซี่ยเอามือข้างหนึ่งป้องกันหัวของเขาไว้ และปิดบังระหว่างขาไว้ด้วยอีกข้างหนึ่ง และเริ่มกลิ้งไปราวกับกระสอบทราย
เขายอมรับถึงชะตากรรมของเขา และยอมรับถึงการลองโทษ !
ใจเย็นท่านน้า มิเช่นนั้นข้าคงจะต้องจบลงที่เก้าอี้เลื่อนดั่งเช่นท่าน !
“ ท่านน้า .. ท่าน … หยุดเถิด .. อย่าทำเขา … ”
กวนเซี่ยงฮั่นโน้มน้าวเขาอย่างร้อนรน
สีหน้าของนางแสดงถึงความกังวลใจและร้อนรนอย่างชัดเจน และทำให้จวินวูอี้ยั้งมือไว้กลางอากาศอย่างไม่ตั้งใจ แม้แต่จวินโม่เซี่ยจะเบิกตากว้างขณะที่เขายังคงนอนอยู่บนพื้น น้าและหลานคู่นี้ก็ใจตรงกัน และเพ่งมองไปยังกวนเซียงฮั่นด้วยความกระหลาดใจ จากนั้นหันมามองหน้ากัน โดยไม่เชื่อถึงปฏิกริยาตอบสนองของนาง
เมื่อใหร่กันที่เซียงฮั่นสนใจความเป็นตายของจวินโม่เซี่ย ?
หลานสะใภ้ของข้าโดนผีสิงหรือ ?
กวนเซี่ยงฮั่นตระหนักได้อย่างทันทีว่าชายสองคนนี้เพ่งมองมาที่นางด้วยความประหลาดใจเนื่องจากนางวิงวอนขอความเมตตาแก่น้องเขยที่นางไม่เคยชอบมาก่อน
แต่เหตุใดข้าถึงวิงวอนเพื่อช่วยเหลือเขา ?
ใบหน้าของเซียงฮั่นนั้นแดงก่ำขึ้นมาในทันที ในขณะที่หูของนางเริ่มกลายเป็นสีม่วง และทันใดนั้นนางกระทืบเท้าด้วยความโกรธ
“ ข้า … ข้ากลัวว่าท่านน้าจะเหนื่อย … ต่อยตีเขา ต่อยตีเขาอีก สังหารเขาเลย ”
นางพูดจบประโยคราวกับเด็กน้อยที่เกรี้ยวกราด และจากนั้นนางจึงหน้าแดงด้วยความเขิลอายเมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งสองยังคงเพ่งมองนางอยู่ ราวกับว่าดวงตาของเขาจะหลุดออกมาจากเบ้า นางคำรามทางจมูกเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“ ข้าเข้าใจผิดไป ? ข้าหูฝาด ? คนผู้นั้นเป็นพี่สะใภ้ของข้าจริงหรือ ? ”
จวินโม่เซี่ยเกาหัวสองครั้งขณะที่เขายืนขึ้นมาอย่างช้าๆ
“ ดูเหมือน … จะใช่ ”
น้ำเสียงของจวินวูอี้ฟังดูเหมือนจะไม่แน่ใจ และทันใดนนั้นเขาโมโหขึ้นมาอีกครั้ง
“ ใครบอกให้เจ้าลุกขึ้นมาได้ ? รู้สึกได้จริงๆว่าเจ้ายังไม่เข้าใจ … ”
จากนั้นเขาก็เริ่มฝึกฝนกับกระสอบทรายของเขาต่อไป …
จวินวูอี้ยังคงใช้แขนและขาของเขาต่อไปเป็นเวลานานจนกระทั้งเขาพอใจกับผลลัพธ์ จากนั้นเขาพูดขึ้น
“ พรุ่งนี้ เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อของเจ้า และเจ้าจะต้องตามข้าไปยังอนุสรณ์สถาน และจากนั้นเจ้าจะต้องไปจุดธูปต่อหน้ารูปปั้นของพ่อของเจ้า เจ้าเข้าใจในหน้าที่ของลูกชายของสกุลใช่ไหม ? ”
จวินโม่เซี่ยครวญครางและจากนั้นทำเสียงเจ๊าะแจ๊ะ
“ ขอรับ ”
จวินวูอี้นวดข้อมือของเขา ขณะที่เขาเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้เลื่อน และจากนั้นเขาเริ่มดันเก้าอี้เลื่อนของเขาและออกไป เขาหันมาขณะที่ไปถึงประตูของลานบ้าน
“ คฤหัสน์ฉีฮั่น … พวกเขาเกี่ยวอะไร ?! ”
“ ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว …. ”
จวินโม่เซี่ยอยากจะร้อง แต่เขาก็ไม่สามารถทำน้ตาให้ไหลได้
ดี ! ดีมาก ! ดูเหมือนว่าการต่อยตีข้าจะเป็นเพียงการเล่นสนุกที่น้าสามรอคอยให้ถึง
ในวันต่อมา ท้องฟ้ายังคงหม่นหมอง
จวินโม่เซี่ยและจวินวูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้เลื่อนของตัวเอง และมองไปยังอนุสาวรีย์ซึ่งดูสง่างาม อย่างเงียบๆ
สิ่งที่เรียกว่า อนุสาวรีย์นี้ ดูเหมือนกับว่ามีใครบางคนมาสร้างปราสาทไว้กลางค่ายทหาร
ที่นี่ได้รับการปรับปรุงสภาพแวดล้อมไว้เป็นอย่างดีก่อนที่จวินวูอี้จะมาถึง
เสาหินทั้งแปดยืนตระหง่าเพื่อค้ำยันโดมที่อยู่ด้านบน พร้อมกับหินก้อนใหญ่ที่แบนและเรียบที่หันหน้าเข้าหากัน ซึ่งได้รับการแกะสลักไว้
ด้านซ้าย
สายลมรับฟังจวิน !
ด้านขวา
สวรรค์และโลกเป็นส่วนหนึ่งของจวิน !
มีบันไดทอดยาวไปยังหลังคาทรงกลม และทั้งสองฝั่งของบันไดมีรูปแกะสลักของทหารที่อยู่บนหลังม้า ขณะที่พวกเขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้า มีรูปปั้นเพศชายที่ใหญ่และกำยำอยู่แปดรูป ในแต่ละด้านของประติมากรรมที่อยู่ตรงกลาง มือของพวกเขาวางเอาไว้บนด้ามกระบี่ ราวกับพวกเขาสามารถที่จะชักกระบี่ออกมาได้ตลอดเวลา และแม้ว่าพวกเขานั้นจะเป็นเพียงรูปปั้น และดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีชีวิตขึ้นมาในเวลาที่เจ้านายของพวกเขามีอันตราย
“ รูปปั้นทั้งแปดนี้คือพี่น้ององครักษ์ทั้งแปดที่ได้อุทิศตัว ชายทั้งแปดนี้ได้รับมอบหมายให้ปกป้องเขาในเวลาที่เขาเข้าร่วมกองทัพ และพวกเขาจะติดตามเขาไปจนกระทั้งวันตาย ชายทั้งแปดนั้นจะเสี่ยงอันตรายอยู่ข้างๆวูเห่ยเสมอ ”
ดวงตาของจวินวูอี้เพ่งมองไปยังรูปสลักของชายทั้งแปดในขณะที่แววตาของเขาสะท้อนถึงความสำนึกในบุญคุณของเขาต่อความซื่อสัตย์ของพวกเขา น้ำเสียงของเขานั้นลึกซึ่งอย่างมาก ราวกับเขาพยายามนึกถึงความกล้าหาญและมิตรภาพของพวกเขา
“ นี่คือชื่อเสียงและเกียติยศ ไม่ว่าในตอนที่ผู้บัญชาการสีขาว จวินวูเห่ยจะเป็นหรือตาย ! ผู้ใดจะสามารถเทียบได้กับเขา ? ”
จวินวูอี้พูดช้าๆขณะที่เขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ พร้อมกับดวงตาที่ยังคงจับจ้องรูปปั้นแต่ละรูปที่ผ่านไป
จวินโม่เซี่ยอดที่จะเกรงต่อความสง่างามของอนุสาวรีย์เหล่านี้ไม่ได้
เสื้อคลุมเหล่านั้นเรียบและสะอาด ราวกับว่าไม่มีฝุ่แม่แต่เม็ดเดียวเกาะอยู่เลย แม้ว่าจะมีฝนตกอย่างนักเมื่อคืน และตอนนี้คือช่วงฤดูใบไม้ร่วง แต่ไม่มีใบไม้สักใบ หรือร่องรอยการกัดกร่อนของสายฝนอยู่บนรูปปั้นเหล่านี้เลย
“ จะมีบางคนที่มีหน้าที่ต้องดูแลอนุสรณ์สถานนี่เสมอ ความจริง มีกฏที่ไม่ได้เขียนเอาไว้ในค่ายทหาร ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ตราบใดที่เจ้ามีหน้าที่ดูและอนุสรณ์สถานของพี่ใหญ่ และพบว่ามีฝุ่นอยู่แม้แต่เม็ดเดียวเกาะอยู่ที่นี้ บนลงโทษเดียวของเจ้าก็คือ …. โทษประหาร ! โดยไม่มีการสืบสวน ! ไม่มีการรับฟังคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น … ไม่มีกฏใดในกองทัพที่เข้มงวดมากกว่ากฏนี้แล้ว ! ไมมีใครได้รับการยกเว้ย และไม่มีผู้ใดพูดถึงมันหรือพยายามฝ่าฝืนมันอีก ! ”
จวินวูอี้พูดช้าๆขณะที่เขาผลัดเก้าอี้เลื่อนของเขาไปรอบๆ
จวินโม่เซี่ยผลักเก้าอี้เลื่อนตามน้าชายของเขาไปอย่างเงียบๆ แต่หัวใจของเขาเริ่มสั่นด้วยความกลัว จุดนี้แสดงให้เห็นถึงความรักและความสดุดีของกองทัพต่อพ่อของเขา เห็นได้ชัดว่าพ่อของเขา จวินวูเห่ย ชื่อเสียงของขุนพลขาว ได้กลายเป็นเทพเจ้าในสายตาของคนในกองทัพของประเทศไปแล้ว !
ภายใต้หลังคาทรงโค้ง มีรูปปั้นขนาดใหญ่ สูง ของชายวัยกลางคนที่อยู่บนหลังม้า ร่างของเขาตั้งตรง ดวงตาที่เจิดจ้าและฉลาดหลักแหลมของเขานั้นดูเหมือนว่าเขากำลังคิดถึงกลยุทธ์ทั้งหมดในการต่อสู้ มือข้างซ้ายของเขาจับบังเหงียนม้าเอาไว้ ในขณะที่มือข้างขวานั้นวางลงไปบนด้ามกระบี่ซึ่งผูกเอาไว้กับเอวของเขาอย่างนุ่มนวล แม้แต่รอยย่นบนใบหน้าของเขาถูกสลักเอาไว้อย่างชัดเจน ในขณะที่ปากของเขาโค้งเป็นรอยยิ้มที่เยือกเย็นและน่าเกรงขาม ราวกับว่าเขานั้นคือ ผู้มีอำนาจที่อยู่เหนือผู้คนนับร้อยล้าน !
ผ้าคลุมที่อยู่ด้านหลังของเขานั้นดูเหมือนว่าจะลอยด้วยสายลม และแม้ว่ารูปปั้นนี้จะไม่มีชีวิต แต่มันยังแสดงให้เห็นถึงความสง่างามและจิตวิญญาณที่กล้าหาญของจวินวูเห่ย !
Translate by iHaveNoName chap 198