ร่างของจวินวูอี้นั้นหยุดนิ่ง ขณะที่ดวงตาของเขาเพ่งมองอยู่ที่รูปปั้นของพี่ชาย ดูราวกับว่าเป็นรูปปั้นรูปหนึ่งที่กำลังเพ่งมองไปยังรูปปั้นอีกรูป อย่างไรก็ตาม แววตาของรูปปั้นที่มีชีวิตนั้นสะท้อนถึงอารมณ์ของหัวใจที่ปราชัย
จวินวูอี้ยังคงอยู่ที่เดิมในขณะที่เพ่งมองไปยังรูปปั้นนั้น และดวงตาของเขาก็ค่อยๆพร่ามัวด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น และสุดท้ายน้ำตาหลดหนึ่งจึงไหลร่วงออกมาขณะที่เขากล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แหบห้าวและแผ่วเบา ราวกับว่าเขาพยายามเก็บซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้
“ … พี่ใหญ่ ข้าพาจวินโม่เซี่ยมาพบท่าน สุดท้ายเขาก็ได้พัฒนาไปมากพอจนเหมาะสมแก่การมาคาราวะท่าน ! ”
จวินวูอี้เงียบลง และหลับตาอย่างรวดร้าว และดูเหมือนว่าวามคิดของเขานั้นกำลังปลาบปลื้มกับความทรงจำในอดีต
เขาเติบโตขึ้นมาพร้อมกับพี่ของเขาสองคน เล่นกับพวกเขา และตั้งแต่เด็กจนโตเป็นหนุ่ม พี่ๆทั้งสองของเขานั้นดูแลเขามาตลอด แต่ในทางกลับกันเขาก็ได้รับคำสาปที่ไร้จุดสิ้นสุด ซึ่งได้ทำให้พี่ๆของเขาทั้งสองต้องจากไปในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของพวกเขา !
จากนั้น น้องสะใภ้ของเขาก็ตรอมใจตาย และเมื่อพ่อแม่ของนางมาถึงเพื่อปลอดประโลมนาง และรู้ว่านางได้ตายไปแล้ว พวกเขาจึงยกเลิกการติดต่อกับสกุลจวินไป ! จากนั้นทั้งสองสกุลที่เคยใกล้ชินกันอย่างมากจึงไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย …
ต่อมา หลานชายของจวินวูอี้ก็ต้องจากไปในวัยหนุ่ม เพราะความผิดพลาดของเขา !
สวรรค์รู้ว่าจวินวูอี้เลือกที่จะตายเป็นร้อยๆครั้ง ก่อนที่จะปล่อยให้พี่และหลานชายของเขาต้องตายไปในการต่อสู้ !ช่วงเวลาที่ผ่านไปนานนับสิบปีนี้ยังไม่มากพอที่จะทำให้หัวใจของเขาหลุดออกมาจากความเจ็บปวด ! ความเจ็บปวดยังคงระอุอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจของเขาแม้กระทั่งตอนนี้ !
เรื่องราวในอดีตฉายขึ้นมาในใจของเขาผ่านใบหน้าที่มีชีวิตชีวาและเจิดจ้าของพี่ชาย และหัวใจของจวินวูอี้ก็ได้จมลงไปสู่ขุมนรกแห่งความเจ็บปวด ความโศกเศร้าและความเกลียชังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด !
ลูกผู้ชายตัวจริงจะไม่ร้องไห้ แม้กระทั้งในตอนที่เขาเจ็บปวด !
“ พี่ใหญ …. ”
จวินวูอี้คุกเข่าลงไปบนพื้นเบื้องหน้า ร่างกายที่แข็งแกร่งและอดทนของขุนพลผู้กล้าหาญเริ่มสั่น
“ ข้าขอโทษ … ข้าทำให้ท่านผิดหวัง ! ข้าทำให้พี่รองผิดหวัง ! ข้าทำให้ท่านพ่อผิดหวัง และข้าทำให้ทั้งสกุลของพวกเราผิดหวัง ! ”
เขามองไปยังใบหน้าที่ทรหดและฉลาดหลักแหลมของพี่ชาย ผ่านดวงตาที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา และรู้สึกราวกับว่า พี่ชายอของเขาได้กลับมาจากความตาย ลูบหัวของเขา และมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า ราวกับกำลังสั่งสอนบทเรียนให้แก่เขา
“ น้องสาม … ไม่จำเป็นต้องทุกข์ใจ ไม่จำเป็นต้องร้องไห้ ! ”
ในตอนนี้ จวินวูอี้เริ่มร้องดังขึ้น ขณะที่ความรู้สึกซึ่งหลบซ่อนอยู่ในหัวมจของเขามานับสิบปีเริ่มพุ่งพล่านออกมา และจากนั้นเขาเริ่มคลานเข้าใกล้หลุมฝังศพของพี่ชายราวกับเด็กที่กำลังเสียใจ ผู้ที่วิ่งเข้าไปหาอ้อมแขนของผู้ที่รัดเขา ….
เขายังคงจดจำคำพูดสุดท้ายที่พี่ชายของเขาพูดในคืนสุดท้ายก่อนที่เขาจะจากไปเมื่อหลายปีก่อนได้อย่างชัดเจน
“ สำหรับเรื่องของเมืองพายุหิมะขาวนี้ ข้ารู้สึกเสมอว่าธุระของเรากับพวกเขานั้นยังไม่จบลง และข้ากลัวว่าเมืองพายุหิมะขาวยังคงมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรซ่อนอยู่ ดังนั้น เมื่อพี่สองของเจ้าและข้าห่างไกลจากบ้าน เจ้าจงอย่าทำตัวหุนหันพลันแล่น เจ้าต้องไม่กังวลในเรื่องการแต่งงานของแม่นางฮั่น ความรักจะหาหนทางเสมอ เมื่อพี่สองของเจ้าและข้ากลับมา พวกเราจะหาทางช่วยเจ้า ทั้งสกุลจะช่วยหนุนหลังเจ้า ”
จวินวูอี้จดจำความกังวลในดวงตาของพี่ชายทั้งสองได้เป็นอย่างดี ภาพของแววตาที่เป็นกังวลและสนิทสนมแน่นแฝ้นนั้นกรีดหัวใจของเขาให้เกิดความเจ็บปวด ราวกับว่ามีใครบางคนเอามีดมาแทงที่หัวใจของเขา และบิดมัน !
ในตอนนั้น พี่ทั้งสองของเขาลืมความเจ็บปวดของตัวเองไปจนหมดสิ้น และเป็นกังวลเพียงแต่ผลประโยชน์ของน้องเล็กของพวกเขา ! พวกเขาทั้งสองกังวลเพียงแต่ความปลอดภัยของน้องเล็ก และกังวลว่าน้องเล็กของพวกเขาจะทำให้ตัวเองเจ็บปวดเนื่องด้วยแรงกระตุ้นอันรุนแรง และดูเหมือนว่าพวกเขาจะลืมเรื่องของศัตรูปที่พวกเขาจะต้องเผชิยหน้าในสงครามไปเสียแล้ว !
พวกเขาทั้งสองนั้นรักและฉลาดมากพอที่จะไม่แบ่งปันความกังวลที่มีแก่น้องของเขา เนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการที่จะให้เขาเป็นห่วง !
จากนั้น เสียงกลองที่รุนแรงและก้องกังวาลเริ่มดังขึ้น ดังมากพอที่จะเขย่าโลกทั้งใบได้ จวินวูอี้เห่ยกำลังยืนอยู่ในเครื่องแบบทหารของเขา เครื่องแบบทหารสีขาว และต่อจากนั้นเขาขึ้นขี่ม้า
“ น้องสาม ตอนนี้ข้าและพี่สองของเจ้าต้องไปแล้ว เจ้าเป็นชายเพียงคนเดียวที่สกุลจวินพึ่งพิงได้ ! ”
พี่ใหญ่ ! พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงได้พูดเช่นนั้น ? น้องชายของท่านโง่ขนาดใหน ข้าไม่เคยได้เข้าใจความหมายของคำพูดของท่านจนกระทั่งวันนี้ ! นั้นคือ … คำพูดสุดท้ายของท่าน !
พี่ใหญ่ ท่านรู้ถึงสิ่งนี้อยู่แล้วใช่ไหม ? ท่านได้รู้อะไรมา ? บางที ท่านอาจจะสัมผัสอะไรบางอย่างได้ ? ทำไมท่านถึงไม่พูดอะไร ? … ทำไมท่านถึงไม่บอกข้า !
ท่านรู้ว่าข้าเลือกที่จะตายก่อนที่จะส่งพี่น้องของข้าไปผังกำแพงแห่งความพินาศ … เอ๋ !
หากข้ามีโอกาสได้ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน ตอนที่ข้ายังไม่ได้พบนาง ข้าจะกลับไปและไม่ทำให้มันเป็นดั่งเช่นที่ผ่านมา … ข้าทำ ! ข้าจะทำ ! …..
“ ท่านน้าสาม ”
จวินโม่เซี่ยเดินออกไปจากเก้าอี้เลื่อนของเขา
“ คนที่ตายแล้วก็ตายไปแล้ว ยอมรับถึงโชคชะตา และละทิ้งความเศร้าของท่าน ! การดูแลตัวท่านเองคือวิธีที่ถุกต้องแล้ว ! ”
จวินวูอี้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาและมองไปยังจวินโม่เซี่ยขณะที่ใบหน้าของเขาเผยถึงร้อยยิ้มทีโศกเศร้า
“ โม่เซี่ย มีบางคนเคยพูดคำเหล่านั้นกับพ่อของเจ้าเมื่อหลายปีก่อน ยอมรับถึงโชคชะตา และละทิ้งความโศกเศร้ามันอาจจะทำให้เจ้าได้ดูแลตัวเอง เจ้ารู้ไหมว่าเขาตอบกลับมาว่าอย่างไร ? ”
“ เขา …. พ่อของข้าพูดว่าอย่างไร ? ”
“ พวกเราทั้งสามต่อสู้กันในสมรภูมิ และพวกเราพบกับความสูญเสียอย่างหนัก พ่อของเจ้าโศกเศร้าอย่างมากเมื่อได้เห็นคนของพวกเรามากมายล้มตายลงไปในสมรภูมิ ในเวลานั้นมีนายทหารคนหนึ่งให้คำแนะนำแก่เขา ท่านขุนพล ละทิ้งความโศกเศร้าของท่าน ! ควบคุมอารมณ์และร่างกายเอาไว้ ”
จวินวูอี้พูดช้าขณะที่เขานึกถึงคำพูดเหล่านั้น
“ ในเวลานั้น พี่ใหญ่ได้ตอบกลับไปว่า เหตุใดท่านถึงให้ข้าละทิ้งความโศกเศร้าละ ? เหตุใดข้าต้องหลีกหนีความโศกเศร้า ? พี่น้องของข้าตาย และพวกเขาถูกสังหารโดยศัตรูของข้า ตอนนี้ข้าไม่ควรจะสังหารศัตรูเหล่านั้นหรือ ? การละทิ้งความโศกเศร้าของข้าเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ? ขณะที่ควบคุมอารมณ์ของข้า …. ”
จวินวูอี้พูดเสียงดังขึ้น ราวกับว่าเขาพยายามที่จะเลียนแบบพี่ใหญ่ของเขา
“ ใช่ ข้าจะหาทางที่จะละทิ้งความโศกเศร้าในเวลาหนึ่ง … แต่ข้าจะไม่ทำลายความโศกเศร้านี้ด้วยน้ำตา ข้าจะใช้มันเพื่อสังหารศัตรู ! ข้าจะใช้ความโศกเศร้านี้โจมตีศัตรู และใช้มันเพื่อกำจัดศัตรูให้สิ้นซากเพื่อไม่ให้พี่น้องของข้าต้องประสบกับความโศกเศร้าเช่นนี้อีก ! ข้าจะไม่ละทิ้งความโศกเศร้า ! ข้าจะเปลี่ยนโชคชะตาของข้า ! ”
“ ข้าจะไม่ละทิ้งความโศกเศร้า ! ข้าจะเปลี่ยนโชคชะตาของข้า ! ”
จวินโม่เซี่ยทวนสองประโยคนี้ซ้ำด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล และทันใดนนั้นมีกระแสคลื่นไหลผ่านร่างกายของเขาและท่วมท้นร่างกายของเขาด้วยความภูมิใจและความเคารพนับถือ ขณะที่มันดังก้องเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา !
“ ข้าจะไม่เละทิ้งความโศกเศร้า ! ข้าจะเปลี่ยนโชคชะตาของข้า ! ”
ประโยคนี้ได้ปลุกความรู้สึกยกย่องเชิดชูต่อพ่อของเขาที่อยู่ในหัวใจของจวินโม่เซี่ยขึ้นมา พ่อที่เขาไม่เคยได้พบเจอ !
บุรุษเลือดเหล็กจะหัวเราะเมื่อเขารู้สึกอยากหัวเราะ ร้องไห้เมื่อเขาอยากร้องไห้ บุรุษเลือดเหล็กจะไม่เสแสร้ง !
ลูกผู้ชายตัวจริงจะต้องไม่ละทิ้งความโศกเศร้า ! ลูกผู้ชายตัวจริงจะทำบางอย่างเพื่อเปลี่ยนสถานการณ์ของเขา !
คำพูดของเขาเอาชนะหัวใจของข้า !
ทันใดนั้นเอง จวินโม่เซี่ยรู้สึกถึงเหตุการณ์เช่นนี้ในชีวิตก่อนของเขา เขายอมรับคนเช่นนนี้เป็นพ่ออย่างง่ายดาย ! แม้ว่าชายผู้นี้จะเป็นพ่อของร่างกายที่ข้าอาศัยอยู่ และมิใช่พ่อแท้ๆของจิตวิญญาณนี้ ข้าก็จะยอมรับว่าเขาเป็นพ่อในชีวิตนี้ ! ข้าจะยอมรับคนเช่นนี้เป็นพ่อในทุกๆชีวิต !
น้าและหลานคู่นี้นั่งอยู่อย่างอย่างสงบและเงียบราวกับไม่มีการไหวติง และไม่มีใครที่พูดขึ้นมาเป็นเวลานาน
ทันใดนนั้น มีเสียงก้าวเท้าอย่างรวดเร็วดังขึ้นด้านนอก เสียงเดินนี้มาถึงประตูแลเปิดมันออก และเสียงนั้นร้องดังขึ้น
“ แม้ทัพสาม โจวเจียนฮั่นขุนพลแห่งอาณาจักรยูถัง ต้องการที่จะเข้ามาคาราวะต่อท่านแม่ทัพ ท่านแม้ทัพ โปรดออกคำสั่งด้วย ! ”
“ โจวเจียงฮั่น ?! ”
ดูเหมือนว่าจวินวูอี้จะสับสนเนื่องจากเขาไม่เคยคาดคิดว่าศัตรูของพี่ของเจาจะมาที่นี่ !
“ บอกให้เขาเข้ามา ข้าอยากจะพบเขา มันเป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้พบเพื่อนเก่า ! ”
“ ขอรับท่านแม่ทัพ ! ”
นายทหารหนุ่มรับคำสั่ง และเดินจากไป
ไม่นานหลังจากนั้น มีเงาสีดำค่อยๆปรากฏตัวขึ้น ชายผู้นี้สูงอย่างผิดปกติ และใส่ชุดสีดำ นาฬิกาสีดำ และแม้แต่หน้ากากสีดำ ดูราวกับว่าทั้งร่างของคนผู้นี้ทำมาจากโลหะสีดำ แต่ละก้าวของเขานั้นทรงอำนาจราวกับเสือ เขามองตรงไปข้างหน้า ทหารของอาณาจักรเทียนเชียง ที่ยืนเรียงแถวอยู่ทั้งสองฝั่งทางเดินมองไปที่เขาด้วยสายตาที่เป็นศัตรู แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจพวกนั้นเลย !
คนผู้นี้ผอม สูง และมีไหล่ที่กว้าง แขนที่ยาว จมูกเป็นสัน และดวงตาที่คมกริบ ริ้วรอยบนใบหน้าของเขานั้นคมกริบดูราวกับว่าพวกมันโดนกรีดด้วยมีด กลิ่นไอที่น่ากลัวแห่งสงครามหลั่งไหลออกมาจากร่างของเขา ขณะที่เขายังคงเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่มองไปด้านข้าง หรือหันกลับไปด้านหลังเลย !
ชายผู้นี้เข้ามาเพียงผู้เดียว !
เขาเสี่ยงเข้ามาในค่ายของศัตรู เพื่อทำความเคารพต่อศัตรูที่ตายไปแล้วของเขา ! ด้วยตัวเขาเอง !
ชายผู้นี้คือ โจเจียนฮั่น !
ว่ากันว่ากล้าหาญกินกว่ากระบี่ !
กล้าหาญและองอาจมากพอจนเป็นขุนพลที่ได้รับเครื่องประดับยศมากที่สุดในอาณาจักรยูถัง !
โจวเจียนฮั่นเดินใกล้เข้ามาและมาหยุดอยู่ตรงหน้าของจวินวูอี้
“ จวินวูอี้ ในที่สุดเราได้พบกันอีกครั้งหลังจากหลายปีมานี้ ”
เสียงที่ทรงพลังและก้องกังวาลของเขานั้นยังคงยับยั้งเสียงร้องเรียกการต่อสู้ได้ !
จวินวูอี้ไม่ได้มองกลับไปที่เขา และยังคงมองต่ำลงไปบนพื้น
“ โจวเจียนฮั่น ข้ารอที่จะเจอเจ้ามาเป็นเวลานาน ! นานจริงๆ ! ”
“ แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ ? ไม่มีสกุลจวินในสงครามมาเป็นสิบปีแล้ว …. ”
น้ำเสียงของโจวเจียนฮั่นดูเหมือนจะจริงใจ
“ … ข้า โดดเดี่ยวเป็นอย่างมาก ! ”
“ หากยังมีสกุลจวินอยู่ในสมรภูมิในรอบสิบปีนี้ ข้ากลัวว่าเจ้าคงไม่มีโอกาสที่จะมายืนตรงหน้าเขาและอธิบาย ”
จวินวูอี้มองไปที่เขาอย่างเยือกเย็น
“ เพราะว่าเจ้าได้เกิดใหม่ไปแล้ว ! ”
แม้ว่าประโยคนี้ค่อนข้างจะหยิ่งทะนง แต่โจวเจียนฮั่นนั้นสามารถบอกได้อย่างชัดเจนจากน้ำเสียงของผู้พูดว่าเขากำลังปิดบังโศกเศร้าเอาไว้ ซึ่งยืนยันว่านั่นเป็นจวินเพียงคนเดียวที่มีค่าพอจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาอย่างแท้จริง ! อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะเข้าใจความหมายที่อยู่เบื้อหลังคำพุดของจวินวูอี้อย่างชัดเจน แต่เกียรติของทหารที่อยู่ภายในยังคงรู้สึกถึงการร้องเรียกการต่อสู้อยู่ในตอนนี้ !
“ ใช่ หากสิบปีมานี้เจ้ายังคงอยู่ในสนามรบ บางทีข้าอาจจะพบว่าตัวเองถูกฝั่งอยู่ใต้ผืนดินแล้ว ! แต่เจ้าไม่ได้อยู่ที่นั้น ! ทำไมเจ้าถึงไม่อยู่ที่นั่น ? ”
โจวเจียนฮั่นดูเหมือนจะโกรธเล็กน้อย
น้ำเสียงของขุนพลแห่งยูถังที่มีชื่อเสียงนั้นทำให้จวินวูอี้สับสน ในขณะที่จวินโม่เซี่ยถึงกับต้องเกาหัว
ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม ? แม้ว่าเขาจะชนะสงครามภายใต้สถานการณ์ที่น่าสงสัย แต่เขาก็เป็นขุนพลเพียงคนเดียวที่เอาชนะ ขุนพลขาว จวินวูเห่ยในการต่อสู้ได้ และเป็นเพียงคนเดียวที่จวินวูเห่ยไม่สามารถเอาชนะได้ นอกจากได้เผชิญหน้ากับพี่น้องจวินทั้งสามมาหลายปีแล้ว เขาก็ยังได้เห็นจวินสองคนตายไป และคนที่สามนั้นพิการ เขารู้ดีว่าน้าสามนั้นไม่สามารถที่จะต่อสู้กับเขาในสมรภูมิได้หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ แต่คนผู้นั้นยังคงต้องการจะต่อสู้และเอาชนะเข้า ? คนผู้นี้บ้าไปแล้วหรือ ?
โจวเจียนฮั่นเดินต่อไปยังรูปปั้นของจวินวูเห่ย และหยุดลง เขายืนอย่างสงบเป็นเวลานานพร้อมด้วยใบหน้าที่จริงจัง ร่างของเขาตั้งตรงอย่างสวยงาม แต่แววตาของเขาแสดงถึงความเคารพอย่างจริงใจ จากนั้น เขาโค้งลงไปเสมอเอว และไม่ยอมยกตัวขึ้นมาเป็นเวลานาน
หลังจากที่เขายืดตัวขึ้นอีกครั้ง และมองตรงไปยังดวงตาที่เป็นหินของศัตรูด้วยแววตาที่ยกย่องเชิดชู ! เขาถอนหายใจและพูด
“ จวินวูอี้ เจ้ารู้อะไรไหม ? ข้า โจวเจียนฮั่น ได้เข้าร่วมกองทหารตั้งแต่ยังหนุ่ม และใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการต่อสู้กับยอดขุนพลมากมายในสมรภูมิ ข้าแพ้และชนะวีรบุรุษมากมายในโลกนี้ แต่มีเพียงผู้เดียวที่สามารถมากพอที่จะทำให้หัวใจของโจวเจียนฮั่นรู้สึกถึงความยกย่องได้ ! จะมีเพียงคนเดียวที่ข้าจะโค้งคำนับให้ ! ”
“ ชายผู้นั้นมีนามว่า จวินวูเห่ย ! ”
Translate by iHaveNoName