ในขณะที่อวี้เชียนเสวี่ยกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันว่าซย่าโหวฉิงเทียนหน้าด้านหน้าทน จะต้องอยู่ต่อที่จวนจงอี้กงให้ได้อยู่นั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ส่งมอบตำรา ‘เบญจพิชัยยุทธ์’ ให้กับอวี้จิงเหลยโดยอ้างว่าเขาจะต้องเข้าวัง ว่าแล้วก็หมุนกายเตรียมจากไป
นายท่าน ท่านจะทอดทิ้งผู้น้อยอย่างนั้นหรือ
ฮันจื่อลุกยืนขึ้นที่ด้านหลังของซย่าโหวฉิงเทียน ก้นของมันบิดส่ายไปมา
ในตอนนั้นเองซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวขึ้นว่า
“แมวน้อย ที่จวนของข้าไม่มีใครพอจะดูแลฮันจื่อได้ ข้าจะขอฝากมันไว้ที่นี่ได้หรือไม่”
ขณะที่กล่าว ซย่าโหวฉิงเทียนก็นั่งยองๆ ลงลูบหัวของฮันจื่อไปด้วย
ซย่าโหวฉิงเทียนมิได้พูดโกหกเลยแม้แต่น้อย ฮันจื่อจัดว่าเป็นสุนัขสีดำตัวใหญ่ที่แสนชาญฉลาด จึงไม่ใช่ใครก็ได้ที่เข้าตามัน
เพียงแค่ได้ยินคำพูดของซย่าโหวฉิงเทียน ฮันจื่อก็ตื่นตัวหูตั้งขึ้นทันที
นายท่าน ข้าน้อยรู้นะ นี่ท่านจะให้ข้าน้อยแฝงตัวเข้าไปอยู่ในบ้านของศัตรูเพื่อให้คอยเป็นหูเป็นตา ประสานงานกับท่านใช่หรือไม่!
ไอ้งานสายลับสอดแนมแบบนี้ ทดสอบความสามารถดีนักแล ข้าน้อยชอบที่สุดเลย!
ขอให้นายท่านวางใจ ข้าน้อยจะทำภารกิจให้สำเร็จ!
ข้าน้อยจะคอยเฝ้าดูแม่นางน้อยไว้ให้ดี!
ใครจะเข้าใกล้แม่นางน้อย หรือว่ามีใจคิดร้ายต่อแม่นางน้อย ข้าจะงับหัวมันให้เรียบ!
หนึ่งคนหนึ่งหมาสื่อสารกันผ่านสายตา ความชั่วร้ายต่างๆ ส่งผ่านสายตาของพวกเขา เพียงแต่ว่าคนอื่นมองไม่ออก ไม่เข้าใจก็เท่านั้น
อวี้เฟยเยียนเคยชินเสียแล้วกับการที่ได้แกล้งหยอกเย้าฮันจื่อในทุกวัน หากว่าฮันจื่อไม่ได้อยู่กับนางแล้ว นางเองก็คงไม่ชินเหมือนกัน
ดังนั้น นางจึงรับปากข้อเรียกร้องนี้ของเขา ซย่าโหวฉิงเทียนจึงค่อยกลับออกไป อวี้เชียนเสวี่ยมองตามแผ่นหลังของชายชุดสีม่วงไป ในใจก็ครุ่นคิด
ถอยเพื่อรุก!
เรียบร้อยมีมารยาทไม่ทำให้ใครเกลียดชัง…
ที่หมอนั่นทำเช่นนี้ ทำให้อวี้จิงเหลยเกิดความประทับใจ
แผนเยี่ยม!
ฝากสัตว์เลี้ยงแสนรักเอาไว้ที่นี่ ใช้คารมคมคายขอร้องให้อวี้เฟยเยียนช่วยดูแล
แท้ที่จริงแล้วใช้สัตว์เลี้ยงของตนเองเป็นสื่อ ถือโอกาสเข้ามาในบ้านตระกูลอวี้ ใกล้ชิดกับอวี้เฟยเยียน เป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมจริงๆเลย!
อวี้เชียนเสวี่ยยิ่งคิด ก็ยิ่งรู้สึกว่าเหตุการณ์หลังจากนี้น่ากังวลใจยิ่งนัก
ดูแล้ว นี่เป็นสงครามพิทักษ์หลานสาวที่ทั้งซับซ้อนและยากลำบากเสียแล้ว!
แต่เขาก็จะต้องรบอย่างเต็มกำลังความสามารถ!
เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนกลับออกไป สมาชิกบ้านตระกูลอวี้ก็นั่งล้อมวงกัน กินข้าวอย่างมีความสุขครื้นเครง
มู่เหนี่ยนซีมีอารมณ์ขันและกล้าหาญ มีเรื่องอะไรก็พูดออกไปตรงๆ ทว่ากลับรู้จักขอบเขต ทำให้อวี้จิงเหลยรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก หากมิใช่นางมีสถานะเป็นโจรละก็ อวี้จิงเหลยแทบจะเคาะมือตัดสินให้ทั้งสองไหว้ฟ้าดินกันเสียเดี๋ยวนี้ไปเลย
เพียงแต่ว่าในบางทีบางครั้ง การที่คนเรายืนอยู่ในบางตำแหน่ง ทำให้ต้องไตร่ตรองเรื่องราวให้รอบคอบ
แม่ทัพที่ตั้งค่ายอยู่ริมมหาสมุทรแต่งงานกับนักโทษโจรสลัดสาว เรื่องนี้มิเพียงเกี่ยวข้องกับคนสองคนเท่านั้น มันยังเกี่ยวข้องกับการเมือง ราชสำนัก ยิ่งกว่านั้นคือเกี่ยวกับเรื่องของคุณธรรม
หลังจากมื้อเย็นเสร็จสิ้น อวี้จิงเหลยเรียกอวี้เชียนเสวี่ยเอาไว้ บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับเขา
มู่เหนี่ยนซีเห็นเช่นนั้นก็ไม่ยอมไป ตรงกันข้ามนางนั่งลงเคียงข้างอวี้เชียนเสวี่ย แล้วมองอวี้จิงเหลยด้วยสายตาแน่วแน่
“ท่านแม่ทัพ ท่านต้องการจะรู้อะไร สามารถถามข้าน้อยตรงๆได้เลย!”
อวี้จิงเหลยก็มิใช่คนชอบเสแสร้งใดๆ ดังนั้นจึงถามคำถามของตนเองออกไป
“ถามเจ้าก็ดีเหมือนกัน! เจ้าตอบข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าถึงได้ถูกประกาศจับ ข้าสืบเรื่องราวเกี่ยวกับคดีนั้นมาแล้ว ในรายงานกล่าวว่าเจ้าสังหารผู้บัญชาการหนึ่งคน”
“ใช่เจ้าค่ะ! ข้าน้อยสังหารคนผู้นั้นเอง!”
มู่เหนียนไม่มีปิดบังในการกระทำของตนเองเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่มีท่าทีเสียใจเลยสักนิดในการกระทำของตนเอง
คนผู้นั้นบังคับขู่เข็ญให้ชาวบ้านจ่ายส่วยที่แพงลิบ คนไหนที่จ่ายไม่ไหว ชายจะถูกจับไปเป็นกรรมกรสร้างบ้านให้เขา หญิงที่หน้าตาสะสวยหน่อยก็จะถูกเขาข่มขืนรังแก
เมื่อนึกถึงว่าชาวบ้านที่น่าสงสาร ถูกบีบบังคับจนบ้านสาแหรกขาด มู่เหนี่ยนซีอารมณ์พลุ่งพล่าน
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง”
อวี้จิงเหลยพยักหน้าเบาๆ สีหน้าหนักใจ
“คนเช่นนี้ควรจัดการให้สิ้นซาก! สมควรตาย! เจ้ากำจัดภัยให้กับราษฎร!”
ได้ยินคำพูดนี้ของอวี้จิงเหลย ในที่สุดมู่เหนี่ยนซีก็ยิ้มออก
“ท่านแม่ทัพคิดเช่นนี้จริงๆ หรือเจ้าคะ ท่านมิคิดหรือว่าการกระทำของข้าน้อยเป็นการกระทำที่บุ่มบ่ามเกินไปหรือเจ้าคะ”
“เจ้าเป็นเพียงแค่หญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง แต่กลับมีจิตใจกว้างขวางเช่นนี้ หายากนัก หากว่าในตอนนั้นข้าอยู่ที่ทะเลหมอกด้วยละก็ ข้าจะต้องจับเจ้าขุนนางสุนัขนั่นแล้วลองปล่อยให้มันเร่ร่อน แล้วค่อยตัดหัวมันต่อหน้าประชาชน เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง!”
อวี้จิงเหลยเป็นผู้ที่เถรตรงและเที่ยงธรรม เมื่อเขาได้ไต่ถามจนล่วงรู้สาเหตุแล้วนั้นก็มิได้กล่าวโทษมู่เหนี่ยนซีแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับชื่นชมวิธีการและแนวความคิดของนางด้วยซ้ำไป
ถึงแม้ว่าการที่นางกระทำเช่นนี้ จะทำให้ตนเองต้องกลายเป็นนักโทษอาญาแผ่นดิน แต่อวี้จิงเหลยก็รู้ดีว่า ในราชสำนักมีขุนนางไม่น้อยที่คอยช่วยเหลือพวกเดียวกันเอง
หากว่ามู่เหนี่ยนซีปรับเปลี่ยนวิธีการ เป็นนำเรื่องไปแจ้งแก่ทางการละก็ ไม่แน่ว่าผลลัพธ์ที่ได้มิเพียงแต่ไม่มีใครสนใจนาง ตรงกันข้ามกลับนำมาซึ่งอันตรายถึงแก่ชีวิตมาสู่ตัวนางเอง
โลกใบนี้มันก็โหดร้ายเช่นนี้นี่เอง ดังนั้นผู้ที่มีเปี่ยมด้วยคุณธรรมมากมายจึงทำได้แต่เพียงใช้วิธีการของตนเองเพื่อช่วยเหลือราษฎรตาดำๆ
ขอเพียงแต่แม่นางน้อยผู้นี้เป็นผู้ที่มีจิตใจดี เพียงเท่านี้ก็เหมาะสมที่จะเป็นสะใภ้ของเขาแล้ว
“ตอนนี้เจ้าสำเร็จขั้นอะไรแล้ว”
อวี้จิงเหลยกล่าวถามต่อ
“ขั้นราชัน เพิ่งเข้าขั้นราชันเจ้าค่ะ”
มู่เหนียนยิ้มบางด้วยความเคอะเขินแล้วกล่าวตอบ
“ขั้นราชัน ดีนี่นา!”
คราวนี้ อวี้จิงเหลยถึงกับลุกขึ้นด้วยความดีใจ
“ดีมาก! ดีมากๆเลย!”
อวี้จิงเหลยตื่นเต้นดีใจเป็นอันมาก ทำเอามู่เหนี่ยนซีและอวี้เชียนเสวี่ยถึงกับไปไม่ถูกเลยทีเดียว จะมีสะใภ้เป็นนักรบขั้นราชันแค่นี้ ต้องดีใจถึงขนาดนี้เชียวหรือ
สุดท้ายมีเพียงอวี้เฟยเยียนที่เข้าใจในความคิดของอวี้จิงเหลย
หากคิดตามหลักการของชาวแผ่นดินใหญ่ ขั้นราชันขึ้นไปมิต้องรับการลงทัณฑ์
จนกระทั่งหลังจากที่อวี้เชียนเสวี่ยเข้าใจในหลักการคิดของอวี้จิงเหลย อวี้เชียนเสวี่ยก็รีบกล่าวถามขึ้นด้วยความดีใจ
“ท่านพ่อ ท่านรับปากแล้วหรือ ท่านเห็นด้วยแล้วใช่หรือไม่ครับ”
“ใช่”
อวี้จิงเหลยพยักหน้าเบาๆ
“ก่อนหน้านี้พ่อยังเป็นกังวลเรื่องชาติกำเนิดและคดีที่นางก่อขึ้น พ่อยังคิดว่า หากว่าเจ้ายืนยันที่จะอยู่กับนาง เช่นนั้นก็จะให้พวกเจ้าแต่งงานแล้วหนีไปด้วยกันเสียเลย!”
“แต่มาตอนนี้ พ่อไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นอีกแล้ว!”
คำพูดของอวี้จิงเหลย ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยและมู่เหนี่ยนซีซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าประมุขแห่งตระกูลอวี้มิได้ตั้งใจจะคัดค้านเขาทั้งสองตั้งแต่แรก
แต่คนที่ซาบซึ้งที่สุดนั่นก็คือ อวี้เฟยเยียน
ในปีนั้น เพื่อหลบหลีกมิให้บุตรชายคนที่สองถูกท่านหญิงแห่งหนานซานใช้อำนาจบังคับแต่งงาน อวี้จิงเหลยถึงกับแอบปล่อยอวี้เชียนหานและเยียนเอ๋อร์ไปอย่างลับๆ
มาตอนนี้บุตรชายคนเล็กก็ต้องพบเจอเรื่องราวที่คล้ายคลึงกัน แต่อวี้จิงเหลยก็ยังยืนหยัดที่จะกระทำเช่นเดิม
อวี้จิงเหลยช่างเป็นบิดาที่คิดถึงเพียงแค่ความสุขของลูกไม่เคยคิดถึงตนเองเลยจริงๆ!
ขณะเดียวกันในเวลานั้น ในวังหลวง ละครบิดาแสนดีก็กำลังเล่นอยู่เช่นเดียวกัน
ครานี้ซย่าโหวฉิงเทียนจากวังหลวงไปเป็นเวลานาน ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่กังวลใจเป็นอย่างมาก
ซึ่งถึงแม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะเขียนจดหมายมาเพื่อแจ้งว่าปลอดภัยแล้ว แต่ฮ่องเต้ก็ยังทรงคิดคำนึงเขาอยู่มากนัก
ตอนนี้เมื่อได้พบซย่าโหวฉิงเทียนตัวเป็นๆ ปลอดภัยกลับมาอยู่ตรงหน้า ซย่าโหวจวินอวี่ถึงกับจ้ำอ้าวเข้าไปสวมกอดซย่าโหวฉิงเทียนที่ตัวสูงกว่าเขาอยู่มากโขอย่างรวดเร็วด้วยความดีใจ
กริยาที่ใกล้ชิดเช่นนี้ ทำเอาซย่าโหวฉิงเทียนตกตะลึงอยู่ครู่ใหญ่
จะว่าไป นี่เป็นครั้งแรกที่ซย่าโหวฉิงเทียนถูกสวมกอดจากผู้สูงวัยกว่า
ซย่าโหวจวินอวี่รูปร่างอวบอ้วนเล็กน้อย มีเนื้อหนังมาก แน่นอนว่าต้องอบอุ่นมาก อ้อมกอดของเขาอบอุ่นกว้างขวาง ให้ความรู้สึกราวกับว่าได้กลับบ้าน
“ในที่สุดเจ้าก็ยอมกลับมาเสียทีนะ”
หลังจากคลายอ้อมกอดจากซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว ซย่าโหวจวินอวี่ก็ถอยหลังสองก้าว แล้วใช้สายตาสำรวจซย่าโหวฉิงเทียนโดยละเอียด
“ผอมลงไป! ตกลงแล้วเจ้ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ มีข้าวกินสมบูรณ์พูนสุขหรือไม่”
จริงๆแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนมิได้ผ่ายผอมลงไป เพียงแต่ซย่าโหวจวินอวี่มิได้เห็นซย่าโหวฉิงเทียนเป็นเวลานาน ในสายตาของเขาจึงเห็นว่าซย่าโหวฉิงเทียนต้องลำบากลำบน จนผ่ายผอมลงไป ทำให้หัวใจของเขารู้สึกสงสารซย่าโหวฉิงเทียนนั่นเอง!