บทที่ 4 บทที่ 65 บ้านพักกลางป่า

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

ยามเย็นบนดาดฟ้าที่ทำจากไม้ ลั่วชิวกำลังมองพระอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้าไป 

 

ตัวบ้านหลังนี้สร้างเพิ่มออกไปบนทะเลสาบ ไอน้ำเย็นสบายเริ่มระเหยขึ้นมาช้าๆ ในช่วงอากาศยามค่ำที่เริ่มเย็นลง ณ ขณะนี้โยวเย่ก็กำลังยืนอยู่ริมขอบดาดฟ้าของบ้านหลังนี้ 

 

ตอนนี้เธอกำลังพยายามช้อนของขึ้นมาจากใต้น้ำ นั่นก็คือเบียร์ที่ใส่ตระกร้าเอาไว้อย่างดี คิดดูแล้วการแช่อยู่ในทะเลสาบตลอดทั้งบ่าย คงเพียงพอให้เบียร์พวกนี้มีรสชาติดีแล้วล่ะมั้ง  

 

ถึงแม้นี่จะเป็นริมทะเลสาบ แต่ก็ไม่ได้มีบ้านพักสร้างอยู่ติดๆ กันหลายหลัง ทว่าสร้างห่างกันเป็นบ้านพักโดดๆ 

 

บ้านหลังนี้เป็นเพียงตึกสามชั้น ดูจากภายนอกแล้วมีอายุประมาณร้อยสองร้อยปี แต่ด้านในกลับตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์โมเดิร์น  

 

ลั่วชิวไม่ชอบตรงที่มันใหญ่ไปหน่อย เพราะอยู่สองคน 

 

แต่เขาก็คิดว่าที่นี่เงียบสงบกำลังดี 

 

ตอนมาถึง ชายชราคนหนึ่งเหมือนกำลังรออะไรอยู่ที่บ้านพักหลังนี้ พอเขาส่งกุญแจของที่นี่ให้โดยไม่พูดไม่จา ก็ขับรถกระบะเก่าๆ สภาพดีคันหนึ่งจากไป 

 

คาดไม่ถึงว่าอาหารจะสดใหม่ทั้งหมด 

 

ตามกำหนดการทริปนี้เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ แต่ลั่วชิวรู้สึกว่าการได้เข้าพักที่นี่ในช่วงก่อนกลับเป็นความคิดดีจริงๆ 

 

อยู่ในบ้านเล็กๆ ที่ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้และทะเลสาบเล็กๆ…แห่งนี้ 

 

คุณสาวใช้งัดฝากระป๋องเบียร์ออก แล้วค่อยๆ รินเบียร์ลงในแก้ว จนกระทั่งเต็มแก้ว 

 

ลั่วชิวดีดนิ้วหนึ่งครั้ง แล้วเครื่องเล่นแผ่นเสียงในห้องรับแขกก็ใส่แผ่นเสียงสีดำไปอัตโนมัติ ตอนที่เพลงดังขึ้นช้าๆ เขาก็มองโยวเย่แล้วพูดเบาๆ ว่า “เต้นสักเพลงไหม? ฉันอยากดูเธอเต้นรำ” 

 

ความมืดยามค่ำคืนมาเยือน แสงไฟสว่างส่องให้เงาร่างยืดยาวออกไป เป็นค่ำคืนอันเงียบสงบ 

 

… 

 

รถออฟโรดที่ขับเที่ยวชมด้วยตัวเองกำลังแล่นไปตามถนนริมทะเลสาบ คู่รักสองคู่ วัยรุ่นสี่คนบนรถ พวกที่นั่งอยู่ด้านหลังกำลังกอดหอมกันอย่างลืมตัว ส่วนพวกที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็กำลังคุยกันไปตามอารมณ์ 

 

สองคนที่นั่งข้างหน้าเหมือนจะเพิ่งเป็นแฟนกันไม่นาน…หรือบางทีอาจเป็นเพราะผู้ชายเขินอายเกินไป จึงมักเหลือบมองสองคนตรงเบาะด้านหลังจากกระจกมองหลัง จากนั้นก็เลื่อนสายตามองไปบนขาหรือบนหน้าอกของอีกฝ่าย โดยอาศัยตอนที่แฟนสาวบนที่นั่งข้างคนขับไม่ทันได้สังเกตเห็น  

 

วันนี้พวกเขาออกมาเที่ยวพักผ่อนกัน ก็เป็นไอเดียของสองคนที่เบาะหลัง 

 

‘ฉันก็…’…เขากำลังให้กำลังใจตัวเองเงียบๆ 

 

จากนั้น ผู้หญิงข้างคนขับก็พูดว่า “มาผิดทางแล้วหรือเปล่า?” 

 

ชายหนุ่มที่ขับรถค่อนข้างเอาใจใส่แฟนสาว เพราะก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมีแฟน และเธอเป็นแฟนคนแรกของเขา เขาจึงใส่ใจทุกคำพูดของเธอ 

 

ด้วยถนนไร้ผู้คนทำให้เขาจอดรถได้ตามอำเภอใจ อย่างเช่นตอนนี้ เขารีบเปิดจีพีเอสนำทางในมือถือทันที ก่อนเงยหน้าอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “เหมือน…จะมาผิดทางแล้วจริงๆ จะกลับไปตามทางเดิมหรือเปล่า?” 

 

หญิงสาวบนเบาะหลังกลับพูดพึมพำว่า “ฉันหิวแล้ว” 

 

“ที่นี่ก็ดูใช้ได้นะ แถวนี้มีแต่ป่าไม่ใช่เหรอ?” ชายหนุ่มบนเบาะหลังอีกคนพูดแบบไม่สนใจแม้แต่น้อย “ในชีวิตของพวกเรา บางครั้งก็ต้องการเรื่องเหนือคาดกันบ้าง”  

 

หญิงสาวที่นั่งข้างคนขับได้แต่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “หวังว่าพวกเราจะไม่ต้องค้างคืนบนรถคันนี้นะ อีกอย่างนายแน่ใจว่าจะหาอาหารในที่แบบนี้ได้เหรอ?” 

 

ชายหนุ่มที่นั่งเบาะหลังคนขับก็ตอบกลับแบบไม่ยี่หระ “ฉันจับปลาเก่งนะบอกให้” 

 

หญิงสาวที่นั่งข้างคนขับเพียงแค่มองค้อนเล็กน้อย 

 

ตอนนี้เอง แฟนของชายหนุ่มที่นั่งเบาะหลังก็ชะโงกหัวออกไป แล้วก็หันหน้ามาพูดทันทีว่า “ตรงนั้นเหมือนมีบ้านนะ ฉันเห็นแสงไฟ พวกเราอาจไม่ต้องนอนบนรถแล้วก็ได้” 

 

ชายหนุ่มที่ขับรถรีบปล่อยเบรกแล้วพูดว่า “ฉันจะลองขับไปดู!” 

 

… 

 

“ขอโทษครับ มีใครอยู่ไหมครับ?” 

 

รถออฟโรดจอดอยู่หน้าบ้านริมทะเลสาบ หลังจากไรอันชายหนุ่มบนที่นั่งคนขับลงจากรถแล้ว ก็ตะโกนเสียงดัง แต่หลังจากรอสักพักแล้ว ก็ยังไม่มีการตอบรับ เขาจึงตะโกนถามอย่างสุภาพอีกครั้ง “ขอโทษครับ มีคนอยู่ไหมครับ?” 

 

คนที่อยู่ด้านหลังไรอันก็คือเลห์แมน เขาเป็นคนเรื่อยเฉื่อยกว่า ตอนนี้เลห์แมนเอามือตบที่บ่าของไรอันแล้วพูดว่า “นี่เพื่อน จะตะโกนเรียก ควรทำแบบฉันนี่” 

 

เขาพูดเสียงเบาว่า “ฉันว่าเอลลี่คงชอบเห็นด้านที่เก่งกาจตรงไปตรงมาของนายมากกว่านะ” 

 

ดังนั้นเลห์แมนจึงเดินขึ้นบันไดไม้ของบ้านไปสามสี่ขั้น แล้วออกแรงเคาะประตูอย่างรัวเร็ว 

 

ปังๆๆ ปังๆๆ! 

 

สุดท้ายมือของ เลห์แมนก็หวืดทันที ประตูบานนั้นค่อยๆ เปิดออกแล้ว เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วเลห์แมนก็ตกไปในภวังค์ อีกทั้งยังทำเสียงผิวปากน่าฟังเบาๆ 

 

คนที่เปิดประตูเป็นสาวสวยสุดๆ ตาสีฟ้าไพลินของเธอเหมือนสีอัญมณีสีฟ้า ชวนให้หลงใหลอย่างยิ่ง 

 

“ขอโทษนะคะ มีธุระหรือเปล่าคะ?” หญิงสาวพูดเสียงเบา พร้อมยิ้มน้อยๆ 

 

จู่ๆ คนพูดมากอย่างเลห์แมนก็กลายเป็นคนเงียบไปชั่วขณะ เขาคิดว่าตัวเองเกือบจะถลำตัวหลงอยู่ในความงดงามจนแทบลืมหายใจ 

 

แต่เขาก็จำขึ้นมาได้ว่าตัวเองมีแฟนแล้ว จึงรีบตอบไปว่า “พวกเราหลงทางครับ แถวนี้ไม่มีบ้านหลังอื่นเลย ให้พักที่นี่สักคืนได้ไหมครับ? ถ้ามีของกินด้วยยิ่งดีเลยครับ”  

 

ขณะพูดอยู่นั้น เขาก็รีบหยิบกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋า “แน่นอนว่าพวกเราจะจ่ายเงินให้ครับ”  

 

“กรุณารอสักครู่ค่ะ” เธอพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเดินเข้าบ้านไป แต่กลับปิดประตูด้วย  

 

เลห์แมนมองเหตุการณ์นี้อย่างงงงัน แล้วหันไปมองเพื่อนของตัวเองพร้อมยักไหล่อย่างเสียไม่ได้  

 

แต่เอลลี่กลับเงยหน้าขึ้นมาพิจารณาบ้านพักตากอากาศเล็กๆ สไตล์โบราณหลังนี้ ป่าและทะเลสาบรอบๆ นั้นราวกับพาเข้ามาในสมัยเมื่อร้อยปีก่อนทันที 

 

ทันใดนั้นเธอก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นยามค่ำ จึงยกมือกอดอกและถูตัวเบาๆ สายตาจ้องไปทางไรอันที่กำลังก้มหน้าดูแผนที่ในโทรศัพท์แวบหนึ่ง  

 

จากนั้นเธอก็เริ่มกลุ้มใจเล็กน้อย ถ้าหมอนี่เป็นฝ่ายรุกมากกว่านี้อีกหน่อย บางทีก็อาจจะดีกว่านี้?  

 

แฟนของเลห์แมนเดินมาข้างๆ เอลลี่ ก่อนยื่นมือไปตบๆ ที่หลังของเธอ แล้วพูดขึ้นทันที “ไรอัน เป็นผู้ชายจริงใจก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ?”  

 

“กลอเรีย บางครั้งจริงใจเกินไปก็รู้สึก…” เอลลี่หยุดพูดกะทันหัน เหมือนยากที่เธอจะหาคำพูดมาบรรยายต่อได้ จึงถอนหายใจยอมแพ้ แล้วปล่อยมือทั้งสองข้างลง “ช่างเถอะ เธอไม่เข้าใจหรอก”  

 

กลอเรียกำลังคิดจะพูดอะไร แต่แล้วประตูก็เปิดออกอีกครั้งทันที  

 

หญิงสาวที่สวยแบบไม่นึกไม่ฝันคนนั้นปรากฏตัวตรงหน้าคนทั้งสี่อีกครั้ง…รอยยิ้มยังเหมือนเดิมคล้ายภาพแกะสลักอย่างไรอย่างนั้น  

 

เธอพูดว่า “ทุกท่านเข้ามาได้แล้วค่ะ นายท่านบอกว่า ถ้าพวกคุณต้องการ ก็พักที่นี่ได้คืนหนึ่งค่ะ”  

 

… 

 

“ผมชื่อเลห์แมน คนนี้คือไรอัน เอลลี่ และนี่กลอเรียครับ” 

 

“ผมลั่วชิวครับ คนนี้คือโยวเย่ เธอทำงานที่บ้านผม” 

 

แต่เลห์แมนจำได้อย่างชัดเจนมาก ว่าผู้หญิงที่ชื่อโยวเย่คนนี้ เพิ่งพูดคำว่า ‘นายท่าน’ สองพยางค์นี้ พอเข้ามาในบ้านหลังเล็กนี้ ถึงพบว่าที่นี่ไม่ได้ดูธรรมดาเหมือนภายนอกเลย 

 

คิดดูแล้วการตกแต่งที่นี่คงต้องใช้เงินไปไม่น้อยเลย แถมยังอยู่ริมทะเลสาบแบบนี้อีก…ที่ดินตรงนี้คงจะหามาไว้ในครอบครองได้ยากสินะ 

 

ชายหนุ่มที่ดูแล้วมีเชื้อสายเอเชียคนนี้…พูดภาษารัสเซียได้ดีมากจริงๆ จนเขาเกือบแยกไม่ออกว่ามาจากประเทศไหนกันแน่ 

 

แต่คิดดูแล้ว ไม่ว่าจะมาจากประเทศไหน อย่างน้อยก็เป็นคนรวยมาก 

 

“ต้องรบกวนคุณลั่วชิวจริงๆ ครับ” ไรอันพูดอย่างสำรวมกิริยา 

 

ลั่วชิวไม่ใช่คนชอบรับแขกเท่าไร ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้ แต่ด้วยความจำเป็นเรื่องงาน จึงมีแนวโน้มที่ยินดีจะพูดคุยกับคนแปลกหน้ามากขึ้น 

 

คู่รักสองคู่ใช้วันหยุดเสาร์อาทิตย์ พากันขับรถมาพักผ่อนนอกชานเมือง ฟังดูแล้วก็เหมือนเป็นวิธีที่เจ๋งมากๆ เลยสินะ?  

 

พวกวัยรุ่นคุยเก่งกันจริงๆ 

 

บนโต๊ะอาหาร ลั่วชิวกำลังตั้งใจฟังพวกคู่รักสองคู่นี้พูดเป็นน้ำไหลไฟดับตั้งแต่ยังเกร็งๆ จนเริ่มคล่องปาก  

 

“ประเทศจีน!” สุดท้ายเลห์แมนก็สืบถามได้ว่านายท่านของบ้านตากอากาศหลังนี้มาจากประเทศไหน จึงถอนหายใจ “ผมคิดว่านี่เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความลึกลับและสีสันมากมาย ผมชอบสถานที่ที่แฝงไว้ด้วยความลึกลับแบบนี้มากครับ”  

 

ลั่วชิวหั่นมันฝรั่งชิ้นหนึ่ง แล้วตักเข้าปากเคี้ยวอยู่สองครั้ง ก่อนพูดเสียงเบาๆ ว่า “ดูเหมือนคุณเลห์แมนจะชอบเรื่องลี้ลับ?” 

 

“ผมเป็นคนกล้ามากครับ” เลห์แมนยิ้ม สองมือท้าวอยู่บนโต๊ะ “ผมชอบเรื่องเร้าใจและน่ากลัว! อย่างเช่น…” 

 

เขาชะงักไปทันที จากนั้นก็เริ่มมองรอบด้าน เหมือนจะระวังตัวขึ้นมาทันที เขาลดเสียงต่ำลงพูดว่า “อย่างเช่น พวกคุณดูสิ บ้านเงียบขนาดนี้ พวกเราก็เป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกัน ถ้าจู่ๆ ที่นี่มีเสียงเคาะประตูขึ้นมากะทันหัน คงเจ๋งสุดๆ เลยใช่ไหมล่ะ?” 

 

แฟนสาวกลอเรียลูบขนที่ลุกชันบนแขนตัวเองทันที แล้วจึงพูดตำหนิว่า “หุบปากนายไปซะ! นายไม่ดูบรรยากาศบ้างเลยหรือไง?” 

 

เลห์แมนยักไหล่พูด “ฉันแค่สมมุติ ก็แค่ยกตัวอย่างเท่านั้น อีกอย่างจะมีคนมาเคาะประตูตอนนี้ได้ยังไง…” 

 

แล้วตอนนี้เอง 

 

ก๊อก ก๊อกๆ…ก๊อก 

 

เสียงเคาะประตู 

 

จู่ๆ ก็ดังขึ้นมา