บทที่ 64 เรื่องราวน่าอัศจรรย์และเรื่องราวบนขบวนรถไฟ โดย Ink Stone_Fantasy
เคียฟ เมืองหลวงประเทศยูเครน
มันสร้างขึ้นบนหน้าผาดินสีน้ำตาล สีดำและสีดินแดง แต่ไม่ได้สร้างชิดติดภูเขา แต่สร้างลึกเข้าไปอยู่ในตัวภูเขาเลย และมันก็ใหญ่โตพอสมควร ถึงแม้มองจากที่ไกลๆ ก็ยังเห็นเมืองนี้ได้ชัดเจน
กำแพงสีขาวด้านนอกดูเหมือนกำลังซ่อนความหมายบางอย่างเอาไว้ อีกทั้งสไตล์เรียบง่ายก็เหมือน แสดงจุดยืนของตัวมันเอง
มันคือ สำนักฝึกบาทหลวงถ้ำคีฟเปเชิร์สกลาวรา
อนาโตลี่ตามซัลลิแวนกลับไปถึงสำนักฝึกบาทหลวงแห่งนี้ได้สามวันแล้ว
สามวันนี้ อนาโตลี่ไม่ได้พบซัลลิแวนอีกเลย ดูเหมือนว่าเขาได้เข้าไปในสถานที่ส่วนลึกสุดด้านในของสำนักฝึกบาทหลวงแล้ว ในนั้นคือสถานที่ที่ถึงแม้เขาจะเป็นนักศึกษาจบจากที่นี่ก็ไม่เคยเข้าไปจนกระทั่งทุกวันนี้
ที่เล่าขานกันว่า…เป็นเขตหวงห้าม ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นที่เล่าลือกันในหมู่พวกนักศึกษาตั้งแต่สมัยที่เขายังเรียนอยู่ที่นี่แล้ว
ถึงแม้จะรู้ว่าส่วนใหญ่ก็แค่การคาดเดาของพวกนักศึกษาด้วยกัน แต่บาทหลวงอาวุโสของสำนักฝึกบาทหลวงก็ไม่เคยชี้แจงอย่างเป็นทางการเช่นกัน ดังนั้นหลายปีมานี้ ก็เลยเล่าต่อๆ กันมาแบบนี้
‘มีเพียงคนที่ได้รับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ถึงสามารถเข้าไปได้’
อนาโตลี่เป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เล็กๆ เขาถูกทิ้งไว้แถวๆ สำนักฝึกบาทหลวง ต่อมาบาทหลวงอาวุโสคนหนึ่งก็เก็บเขามาเลี้ยง เรียกได้ว่าเขาเติบโตอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็กๆ
ตอนที่บาทหลวงคนนั้นเจอเขาดูเหมือนจะเป็นช่วงรุ่งอรุณที่พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าพอดี ดังนั้นบาทหลวงอาวุโสจึงตั้งชื่อให้เขาว่า ‘อนาโตลี่’
ซึ่งมีความหมายว่าพระอาทิตย์ขึ้นนั่นเอง
ชีวิตในสำนักฝึกบาทหลวงนั้นเรียบง่ายมาก เรียบง่ายเสียจนเหมือนย้อนกลับไปในสังคมยุคโบราณ เขาเติบโตอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็กๆ รับศีลล้างบาป จากนั้นก็กลายเป็นบาทหลวงอย่างเป็นทางการ สุดท้ายยังได้รับการยอมรับจากอธิการด้วยผลการเรียนตลอดยี่สิบปีที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นเดียวกัน
เขาคือผู้มีพรสวรรค์ที่ผู้คนกล่าวขานถึง แต่เขากลับคิดว่า เขาก็แค่ขยันกว่าคนรอบข้างเล็กน้อยเท่านั้น
“อนาโตลี่ อยู่ไหม?”
ตอนที่เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น อนาโตลี่กำลังสวดภาวนาอยู่ โดยปกติแล้ว เขาก็จะสวดภาวนายามว่างอยู่เสมอ
มันทำให้เขาได้ปล่อยวางความคิดของตนเอง และสามารถได้ยินคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างแท้จริง
“อธิการบอกว่า ให้เชิญคุณไปที่ห้องหมายเลขสิบสามครับ”
เขตหวงห้ามเหรอ?
…
อนาโตลี่ได้พบซัลลิแวนและอธิการคนที่มาอวยพรเขาในวันจบการศึกษา…รวมถึงบาทหลวงอาวุโสที่เก็บเขามาจากโลกที่อ้างว้าง และเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ด้วย
“อนาโตลี่ ลูกพ่อ มานี่สิ” ตอนนี้บาทหลวงอาวุโสที่เลี้ยงเขามากำลังส่งยิ้มเล็กน้อย พร้อมกวักมือเรียกเขา
อนาโตลี่เดินมาตรงหน้าคนทั้งสาม แล้วเขาก็เริ่มสังเกต ‘ห้องประชุมหมายเลขสิบสาม’ แห่งนี้ เขาพบว่าที่นี่ดูออกจะเก่าแก่มาก และมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ฟุ้งกระจายอยู่ตลอดเวลา ทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้…ได้ผลดีกว่าตอนที่เขาสวดภาวนามากนัก
แต่ในความเป็นจริงนั้น ห้องประชุมหมายเลขสิบสามนี้…ไม่ได้มีลักษณะเป็นห้องประชุมเลย
พูดกันตามจริงแล้ว ที่นี่เป็นแค่ห้องที่สร้างจากหิน บนผนังรอบๆ แขวนเชิงเทียนเอาไว้ และตรงกลางห้องมีฐานกลมๆ ตั้งอยู่อันหนึ่ง
เวลานี้ซัลลิแวนก็อยู่ตรงกลางฐานกลมๆ แห่งนี้ และกำลังรอให้เขาไปหา
อธิการและบาทหลวงอาวุโสยืนอยู่ข้างซ้ายและขวาของซัลลิแวน ตอนที่อนาโตลี่มาถึงตรงหน้าทั้งสามคนแล้ว จู่ๆ บาทหลวงอาวุโสก็ยื่นมือออกมา แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “อนาโตลี่ ลูกพ่อ คุกเข่าลงสิ”
อนาโตลี่พยักหน้าเล็กน้อย แล้วคุกเข่าลงบนพื้นทันที
ตอนนี้เองบาทหลวงอาวุโสก็พูดต่อว่า “ลูกหลับตาเสียเถอะ แล้วก็สวดภาวนาในใจ ตั้งในฟังให้ดี”
อนาโตลี่ค่อยๆ หลับตาของตนเองลง
แล้วอธิการกับบาทหลวงอาวุโสก็ค่อยๆ ถอยหลังไปอยู่ตรงขอบของฐานวงกลม ก่อนก้มศีรษะและหลับตาลงพร้อมกัน
เพราะหากพวกเขาเห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตาก็จะถือว่าสบประมาท
ฉับพลันนั้นบนฐานวงกลมก็เปล่งแสงออกมา ก่อนที่ซัลลิแวนจะย่างกรายเข้ามาหยุดตรงหน้าอนาโตลี่ สองมือของเขากางออก แล้วตัวก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้น
เขากำลังลอยขึ้นไป
ในชั่วพริบตานั้นเองภายในห้องประชุมหมายเลขสิบสาม ก็สว่างจ้าจากแสงบนตัวของซัลลิแวน และตอนนี้ขนนกสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ ก่อนร่วงหล่นสู่พื้นของห้องประชุม
ปีกเทพเรืองแสงละมุนคู่หนึ่งบนแผ่นหลังซัลลิแวนกำลังกางออกอย่างช้าๆ ในที่สุดซัลลิแวนก็ลืมตาขึ้น
นัยน์ตาของเขาได้ปลี่ยนเป็นสีทองอ่อนแล้ว
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ลำแสงสีทองจากฐานวงกลมกลางห้องประชุมก็สาดแสงอาบลงมาบนตัวอนาโตลี่…ทำให้เขาเหมือนล่องลอยอยู่กลางมหาสมุทรสีทอง
เขารับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและพระเมตตาอันเปี่ยมล้น
อนาโตลี่คล้ายมัวเมาไปกับความรู้สึกที่แทรกซึมอยู่ในดวงจิตของเขา จนหลงลืมเวลาที่หมุนเวียนไป
และในตอนนี้เอง!
ดูเหมือนว่าเขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกโกรธแค้น รวมทั้งความแน่วแน่บางอย่าง…ที่เขาเองก็ไม่แน่ใจ ฉับพลันนั้น ความรู้สึกอบอุ่นและเมตตาก็หายวับไปในพริบตา
ตัวเขาเหมือนเผชิญอยู่กับพันธนาการอันหนักอึ้งนี้ อนาโตลี่จึงลืมตาทั้งสองข้างของตนขึ้นมาตามสัญชาตญาณ เขารู้ว่าความทรงจำของเขามีปัญหาบางอย่างซะแล้ว ซัลลิแวนรวมทั้งอธิการเอาจริงเอาจังแบบนี้ ก็เพื่อช่วยเขาปลดปล่อยความทรงจำในส่วนลึก
แต่ดูเหมือนว่า ถึงแม้จะกลับมาถึงสำนักฝึกบาทหลวงแล้ว และยังเข้ามาถึงห้องประชุมหมายเลขสิบสามแห่งนี้…แต่เขาก็ยังฟื้นความจำที่หลงลืมไปไม่ได้
“ท่านซัลลิแวนครับ?” อนาโตลี่สุขุมอย่างที่สุด และมองคนตรงหน้าตนเองด้วยความงุนงง
เหตุการณ์อัศจรรย์รอบตัวได้หายไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ซัลลิแวนเพียงแค่หลับตายืนอยู่ตรงที่เดิม…สีหน้าดูซีดขาวลงไปบ้างเล็กน้อย
ขณะเดียวกันหลังจากอธิการและบาทหลวงอาวุโสได้ยินเสียงอนาโตลี่ ก็ตกใจจนลืมตาขึ้นมา
แล้วซัลลิแวนก็พูดเรื่องน่าตกใจเล็กน้อยว่า “อนาโตลี่ คุณถูกบางอย่างครอบงำ คุณต้องชำระบาปในตัวคุณ อธิการตัดสิทธิ์อำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้าบนตัวเขาเสีย หลังจากนี้อีกสามวัน ผมจะชำระดวงวิญญาณแปดเปื้อนบนตัวเขาด้วยตัวเอง”
อนาโตลี่ขยับริมฝีปาก
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้จิตใจสงบนิ่งตลอดยี่สิบปีของเขา เริ่มหวั่นไหวแล้ว
เขาไม่เข้าใจ
แล้ว…การฟื้นความจำที่บอกไว้ล่ะ?
…
…
“เมื่อนานแสนนานมาแล้ว ในป่าทึบมีปีศาจแสนจิตใจดี แต่หน้าตาอัปลักษณ์ตัวหนึ่ง”
คุณแม่วัยสาวกำลังเล่านิทานให้ลูกสาวตัวน้อยที่ร้องงอแงฟัง บนขบวนรถไฟที่มุ่งหน้าไปยังเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
“ต่อมา ปีศาจได้เจอเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง เด็กหญิงคนนั้นไม่ได้กลัวมัน แต่ใจดีกับปีศาจตนนั้น จนทั้งสองกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ปีศาจจะเก็บผลไม้รสหวานที่สุดจากในป่าทึบ ตักน้ำแร่ใสสะอาดมาให้เด็กหญิงกินทุกๆ วัน แต่ว่าเด็กหญิงต้องรับปากว่าจะไม่บอกคนอื่น”
ลูกสาวในอ้อมกอดค่อยๆ เริ่มสนใจนิทานเรื่องนี้ ผู้เป็นแม่ยังคงอ่านนิทานต่อไป “ผ่านไปหลายวันแล้ว เด็กหญิงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข โดยมีปีศาจเป็นเพื่อนเล่น แต่แล้ววันหนึ่ง เด็กหญิงก็ให้สีญญาอย่างไร้เดียงสากับปีศาจตนนั้นว่า ในวันที่เธออายุครบสิบแปดปี เธอจะแต่งงานกับปีศาจตนนี้”
“ต่อมาเด็กหญิงได้ย้ายตามครอบครัวไปโดยไมได้บอกลาปีศาจตนนั้น ปีศาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่มันยังคงเก็บผลไม้ที่ดีที่สุดและเก็บน้ำแร่รสหวานที่สุดมาให้ แต่ทว่ามันกลับไม่เห็นเด็กหญิงคนนี้อีกเลย”
ลูกสาวในอ้อมกอดฟังมาถึงตรงนี้ก็มีสีหน้าเศร้าสลด
ผู้เป็นแม่ลูบใบหน้าเรียวรูปไข่ของเธอเพื่อปลอบใจ แล้วเล่าต่อด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “มันคอยนับวันตลอด ใช้กรงเล็บกรีดทำเครื่องหมายบนบ้านต้นไม้ที่มันกับเด็กหญิงเคยสร้างไว้ด้วยกัน ผ่านไปหนึ่งวัน มันก็ขีดหนึ่งขีด แล้วก็เป็นแบบนี้ทุกๆ วัน ทันใดนั้นวันหนึ่ง ปีศาจตนนั้นก็พบว่าเวลาล่วงเลยมาถึงวันเกิดครบรอบสิบแปดปีของเด็กหญิงแล้ว แต่ในวันนั้น มันก็ยังคงไม่เห็นเด็กหญิงกลับมา”
พอได้ฟังมาถึงตรงนี้ ลูกสาวก็ยู่ปากแล้วพูดว่า “แม่คะ ปีศาจตนนี้น่าสงสารจังเลยค่ะ! มันจะไม่ได้เจอเด็กหญิงคนนั้นอีกแล้วเหรอคะ?”
แล้วแม่ก็ตอบเธออย่างอ่อนโยนว่า “ต่อมาก็ได้เจอกันจ้ะ ในที่สุดปีศาจตนนั้นก็รวบรวมความกล้าออกมาจากป่าทึบแห่งนี้ มันเข้าไปปะปนอยู่กับผู้คน ตามหาเด็กหญิงไปเรื่อย จนในที่สุดมันก็ได้พบกับเด็กหญิงคนนี้แล้ว แน่นอนว่า เด็กหญิงอายุครบสิบแปดปีแล้ว และเป็นสาวน้อยที่งดงามมากคนหนึ่ง”
“งั้น ปีศาจกับสาวน้อยก็ได้แต่งงานกันแล้วเหรอคะ?”
ผู้เป็นแม่กำลังคิดจะเล่าตอบการรอคอยของลูกสาว
คาดไม่ถึงว่าในตอนนั้นเอง ผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นทันที “ไม่ได้แต่งงานกัน! สาวน้อยรักคนอื่นแล้ว ปีศาจก็เลยกินสาวน้อยไปในคำเดียวด้วยความโกรธแค้น จากนั้นก็กลายเป็นชายรูปงาม แล้วก็พบกับรักแท้ครั้งใหม่ทันที!”
ขณะที่พูดอยู่นั้น ผู้เป็นพ่อยังกางมือสองข้างออก แยกเขี้ยวยิงฟันโน้มตัวเข้ามาใกล้ลูกสาวตนเอง “กินลูก พ่อก็จะได้เปลี่ยนเป็นชายรูปงามไงล่ะ! ฮ่าๆ!”
“อ๊า!”
ลูกสาวสะดุ้งตกใจจนกระโดดหนีจากอ้อมกอดแม่ทันที แต่ไม่ทันไรเธอก็ชนเข้ากับอะไรบางอย่าง แล้วตัวเธอก็เซกำลังจะล้มลงไปกับพื้น
“ระวัง”
ที่จริงแล้วเธอไม่ได้ล้มหรอก แต่พยุงตัวยืนขึ้นมาได้อย่างมั่นคง เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมา เอียงศีรษะมอง สิ่งที่เห็นคือพี่ชายวัยรุ่นที่รูปร่างหน้าตาต่างจากพ่อแม่ของเธอ
ผมสีดำ นัยน์ตาสีดำ สำหรับเด็กหญิงแล้วไม่ได้พบเห็นคนลักษณะแบบนี้บ่อยนัก
“ขอโทษค่ะคุณ!” ผู้เป็นแม่เห็นเหตุการณ์ก็รีบลุกจากที่นั่ง กล่าวขอโทษด้วยความรู้สึกผิดว่า “สามีของฉันแกล้งหยอกลูกเล่นน่ะค่ะ ไม่คิดว่าลูกจะตกใจจนไปชนคุณเข้า ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ”
ขณะพูดอยู่นั้น ผู้เป็นแม่ก็จ้องสามีของตนด้วยสายตาตำหนิ
“ไม่เป็นไรครับ” พี่ชายวัยรุ่นยิ้มแล้วลูบศีรษะเด็กน้อย ก่อนพูดขึ้นทันทีว่า “ตอนจบของนิทานที่สามีของคุณผู้หญิงเล่า สนุกสุดๆ เลยล่ะครับ”
“หา?” พ่อของเด็กหญิงชะงักไป…อึ้งไม่รู้ว่าควรจะตอบชายหนุ่มชาวตะวันออกคนนี้ไปอย่างไรดี
เขาได้แต่ยิ้มอย่างเก้อเขิน
“จริงสิ นิทานเรื่องนี้แต่งขึ้นเป็นครั้งแรกเหรอครับ?” จู่ๆ พี่ชายวัยรุ่นก็ถามอย่างแปลกใจ
ผู้เป็นพ่อของเด็กหญิงรีบโบกมือตอบ “ไม่ใช่หรอกครับ ยังไงก็เป็นนิทานที่เคยได้ยินคนเก่าคนแก่เล่าให้ฟังสมัยเด็กๆ ส่วนตอนจบนั่นผมก็แค่พูดส่งๆ คุณอย่าถือสาเลยครับ”
“งั้นเหรอครับ…งั้นไม่รบกวนแล้วครับ”
เด็กหญิงมองดูพี่ชายคนนี้เดินไปข้างหลัง จากนั้นปีนขาของคุณพ่อ แล้วโผล่หัวขึ้นมาบนพนักพิง มองเห็นพี่ชายนั่งอยู่ตรงเบาะหลังห่างออกไปห้าหกแถว เธอทำปากจู๋ แล้วก็ก้มหน้ามาพูดกับแม่ของตนเองทันที “แม่คะ! ตรงนั้นมีพี่สาวสวยมากๆ ด้วยค่ะ!”
“เอาล่ะๆ ใกล้ถึงสถานีหน้าแล้ว นั่งให้เรียบร้อยหน่อย! อีกเดี๋ยวก็จะถึงบ้านคุณย่าของลูกแล้ว!”
ผู้เป็นแม่พูดเสียงเคร่งขรึม ขณะเดียวกันก็บิดหูสามีของตนเองที่กำลังคิดจะหันไปมองด้านหลังให้หันกลับมา
ในที่สุดขบวนรถไฟก็หยุดลง
ถึงสถานีเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแล้ว