ซีเหมินจินเหลียนเดินออกไปส่งเขา เห็นผู้อาวุโสหูอายุปูนนี้ คิดไม่ถึงว่าจะขับรถฮัมเมอร์ ทำให้เธอรู้สึกว่าเขาไม่เพียงแต่ประหลาดเท่านั้น แถมยังมีความโรคจิตเล็กน้อย คิดว่าตัวเองเป็นหลานสาวยังไม่เท่าไหร่ แต่นี่ชอบขายคน…
เมื่อส่งผู้อาวุโสหูเสร็จแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็เดินกลับเข้ามา เมื่อเห็นว่าที่พื้นกองไปด้วยทุเรียน ก็เริ่มปวดหัวจี๊ดขึ้นมา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจ่านป๋ายเกลียดกลิ่นทุเรียนเป็นอย่างมาก แต่ถ้าจะเอามันไปทิ้งเธอก็รู้สึกเสียดาย อีกอย่างเธอก็ยังชอบกินทุเรียนอยู่ไม่น้อย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเสียดายของ
“จินเหลียน ทุเรียนพวกนี้จะทำยังไงกับมันดีครับ” จ่านป๋ายถาม
“เก็บไว้กินเองสักสองลูก ส่วนที่เหลือแล้วแต่คุณก็แล้วกัน!” ซีเหมินจินเหลียนพูด เพราะยังไงเธอก็คงกินคนเดียวไม่หมดแน่ ถึงทุเรียนจะอร่อยอย่างไร แต่ถ้ากินเยอะก็อาจจะทำให้ร้อนในได้
“สิ่งนี้มันกินได้จริงๆ เหรอ” จ่านป๋ายส่ายหัว โอเค ถึงแม้เขาจะเกลียดกลิ่นของทุเรียน แต่ในเมื่อเธอชอบก็ตามใจเธอแล้วกัน แต่ส่วนที่เหลือจะจัดการกับมันอย่างไรดี? ถึงกระนั้นจ่านป๋ายก็ใช้กระสอบป่านใส่ทุเรียนเข้าไปแล้วนำไปไว้กระโปรงหลังรถ จากนั้นก็ขับรถออกไป ทำไมถึงรู้สึกว่าเหมือนเป็นคดีร่องรอยการฆาตกรรมก็ไม่รู้…
ซีเหมินจินเหลียนเห็นจ่านป๋ายขนย้ายทุเรียนออกไปแล้ว ตนเองก็นั่งลงพิงโซฟาอย่างเหม่อลอย หินที่เหลือจากการที่เทพธิดาปิดฟ้า มันจะเป็นหินลักษณะไหนกันนะ
ห้าสี หรือเจ็ดสี? หรือว่าจะเป็นสิบสี?
เอาเถอะ ถึงจะเป็นหยกมีหลายสี แต่นั่นก็เป็นแค่หยกเท่านั้น มากสุดก็แค่มูลค่าไม่เท่ากัน มันจะมีอะไรที่น่าแปลกกันล่ะ เมื่อหันไปมองยังหินราชางูที่วางไว้บนโต๊ะไม้ ซีเหมินจินเหลียนก็เหม่อลอยอีกครั้ง ในใจหาคำตอบไม่ได้สักทีว่าทำไมต้องเป็นงู
แม้ว่าในหยกจะปรากฏไดโนเสาร์ที่น่ากลัวอยู่ในนั้น เธอก็ยังคงรู้สึกไม่มีอะไรที่น่าตื่นใจ เพราะว่าโลกนี้มีร่องรอยของซากฟอสซิลไดโนเสาร์กลายเป็นหินตั้งมากมาย
แต่การที่ข้างในหยกมีงูที่เหมือนมีชีวิตอยู่นี่น่ะสิ เธอไม่สามารถเข้าใจได้จนถึงตอนนี้ ไหนจะเรื่องที่ผู้อาวุโสพูดเกี่ยวกับเทพธิดาหน้าเป็นคนลำตัวเป็นงูอีก…
งูบ้าอะไรหน้าเหมือนคนแต่ตัวเป็นงู! ซีเหมินจินเหลียนพึมพำด่าอยู่ในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอดูถูกความคิดสร้างสรรค์ในตำนานเทพอะไรพวกนี้ ทำไมถึงได้เขียนบรรพบุรุษของคนให้กลายเป็นหน้าคนแต่มีลำตัวเป็นงูได้นะ?
ท่าทางของจ่านป๋ายรีบร้อนกลับมาหลังจากที่จัดการกับปัญหาเรื่องทุเรียนเสร็จ เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนจึงรีบพูดขึ้นว่า “จินเหลียน พวกเรารีบไปกันก่อนที่จะเย็นเถอะครับ”
“ไปทำอะไร” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างไม่เข้าใจ
“ไปที่ตลาดฮวาเหนี่ยวไง” จ่านป๋ายรีบพูด “คุณคงไม่ได้ลืมไปแล้วหรอกนะ?”
ซีเหมินจินเหลียนเพิ่งนึกขึ้นได้ ตอนเช้าพวกเขาทั้งคู่คุยกันว่าอยากจะทดลองว่างูตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือว่ากลายเป็นหยกไปแล้ว แต่ก็กลัวว่าถ้ากระแสไฟสูงเกินไปอาจจะทำให้งูที่อยู่ในหยกตายได้ เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงตั้งใจจะไปซื้องูเลี้ยงมาทดลองดูก่อน
“โอเค ไปดูกัน” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น การจะทดลองว่างูในหยกตัวนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ไม่ใช่ปัญหา แต่เธอยังติดค้างเด็กผู้ชายที่เลี้ยงงูอยู่ข้างบ้านนั่น แม้ว่าเขาจะพูดว่าไม่ต้องการการชดใช้ แต่ซีเหมินจินเหลียนก็คิดว่าซื้อกลับไปให้เขาน่าจะสบายใจกว่า
เด็กคนนั้นเลี้ยงงูมาตั้งสองปี แต่กลับถูกเธอใช้มีดปลิดชีวิตมันอย่างนั้น ก็รู้สึกว่าไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
“ไปกันเถอะ” จ่านป๋ายเรียกให้ซีเหมินจินเหลียนออกมาข้างนอก
“คุณจัดการกับทุเรียนพวกนั้นยังไง” นั่งอยู่บนรถอย่างซีเหมินจินเหลียนถามเขาขึ้นมา จมูกของเธอยังคงรู้สึกได้ถึงร่องรอยของกลิ่นทุเรียนอ่อนๆ
“ผมให้ยามในหมู่บ้านของเราไป เขาดีใจมากเลยนะ เลยไม่ได้ทิ้งไป ผมกลัวว่าคุณจะบอกว่าผมสิ้นเปลือง” จ่านป๋ายพูด “ผมจัดการได้ดีเลยใช่ไหมล่ะ”
“ดี…” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาสาธยายความดีของตัวเองให้ฟัง “เสี่ยวป๋าย คุณไปติดตั้งอะไรที่บ้านฉันเพื่ออะไรกัน” ในที่สุดเธอก็ถามคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจ
“ผมไม่ได้ทำนะ!” จ่านป๋ายรีบพูดปฏิเสธออกมา
“ถ้าอย่างนั้นคุณแอบฟังฉันกับผู้อาวุโสหูคุยกันได้ยังไง” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย เธอไม่ได้ใส่ใจ การที่เขามีงานอดิเรกพิเศษแปลกๆ มันเป็นเรื่องที่เธอคุ้นชินแล้ว
“ผมก็แค่ติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้เพื่อกันขโมย วันนี้ก็เลยใช้โน๊ตบุ๊คเชื่อมต่อกับระบบของกล้องวงจรปิดเพื่อดู ผมไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหูคนนี้จะทำอะไร เขาก็ดูแปลกประหลาดเกินไป ปล่อยไว้เฉยๆ ไม่ได้ ต้องคอยระวัง แล้วผมก็ไม่ใช่คนโง่นะ การที่เขาเอาทุเรียนกองหนึ่งมานั้นก็หมายความว่าไม่อยากให้ผมฟัง แต่เทคโนโลยีของเขาไม่ได้ทันสมัย อย่าพูดถึงจะให้ผมออกไปเลย ถึงผมจะอยู่ในที่ที่ไกลจากบ้าน ผมก็รู้ได้ เขาปิดผมไม่ได้หรอก”
“หึๆ…” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “เขายังเชื่อตลอดว่าหยกนั่นมาจากเทพธิดาฝึกหิน”
จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไม่พูดจา “จินเหลียน แล้วคุณเชื่อไหมหรือเปล่าครับ”
“เรื่องนี้จะให้ฉันพูดยังไงดีล่ะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด “ฉันยอมที่จะเชื่อว่าหยกเกิดจากการรวมตัวของเปลือกไข่จะยังดีเสียกว่า ไม่ต้องมีความสัมพันธ์กับตำนานเทพอะไรนั่น แต่สิ่งที่ผู้อาวุโสหูพูดก็ดูมีเค้าโครงอยู่ ฉันก็มีส่วนที่เชื่ออยู่บ้าง แต่ปัญหาก็คือหยกพวกนี้มีประวัติมานาน แต่ทำไมฉันไม่เคยเห็นตำนานอะไรเกี่ยวกับพวกมันเลย?”
“เป็นเพราะอย่างนี้ไงครับ ผมก็เลยเชื่อคำพูดของผู้อาวุโสหูอยู่บ้างเหมือนกัน!”
ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม เชื่อแล้วจะยังไง? ถึงแม้ว่าหยกนี้จะมาจากการฝึกหินที่หลงเหลือ แล้วจะอย่างไร หาเจอหินหยกที่เหลือแล้วจะเป็นอย่างไรเหรอ มันก็แค่ปัญหาในเรื่องของมูลค่าหยกก็เท่านั้น
เครื่องประดับอัญมณีมักจะมาคู่กับตำนานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่าในตำนานนี้มันก็ดูจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล
“จินเหลียน ผมคิดหาหนทางอะไรดีๆ ได้แล้ว หนทางที่จะเผยแพร่ตีตลาดต่างชาติในอนาคต” จ่านป๋ายยิ้ม
“หินที่เหลือจากการปิดฟ้า?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างเบาบาง
“ใช่ครับ!” จ่านป๋ายพูด “คนเรามักจะไม่สนใจความจริงแท้ในตำนาน ขอแค่มีเรื่องราวทำให้คนรู้สึกประทับใจก็พอ นอกจากนี้เรื่องเทพธิดาสร้างคน เรื่องการเล่นหินมาปิดฟ้า ต่างเป็นเรื่องที่เราต่างรู้จักกัน แม้กระทั่งต่างประเทศยังตีพิมพ์ออกมาตั้งหลายภาษา ถ้าอยากจะเผยแพร่มันก็ง่ายขึ้นเยอะ”
“นี่นับว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว” ซีเหมินจินเหลียนพูดเอ่ยชมออกมา พร้อมพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการใช้วิธีนี้
“ถึงเวลานั้น ค่อยนำหินราชางูของคุณออกมาแสดง อยากจะปกปิดชื่อเสียงก็ยากแล้ว!” จ่านป๋ายพูด
“หินราชางู?” ซีเหมินจินเหลียนเงียบไปอยู่ชั่วครู่ถึงได้พูดออกมา “ตอนนี้อย่าเพิ่งกระโตกกระตากอะไรจะดีเสียกว่า ของสิ่งนั้นมีพลังชั่วร้ายเกินไป อีกทั้งยังมีความแปลกกว่าสิ่งอื่น ฉันกลัวว่าอาจจะนำเรื่องยุ่งยากตามมาอีกมาก จริงสิ งานประมูลวันนี้ตอนกลางคืน คุณเตรียมตัวพร้อมแล้วยัง”
“งานประมูลไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก” จ่านป๋ายถาม “มันไม่มีอะไรมากไปกว่าราคาสูงและต่ำ” เขารู้ความคิดของซีเหมินจินเหลียน หินราชางูก้อนนั้นเป็นที่ดึงดูดสายตาของคน ข้างในของหยกก้อนนั้นมีสิ่งแปลกประหลาดอยู่ที่มีผิวเหมือนมนุษย์
ถ้าหากเรื่องนี้แพร่ออกไป คงจะมีปัญหาตามมาอีกมาก
เพราะอย่างนั้นถ้าหากไม่มีอำนาจชื่อเสียง เขาก็จะไม่ปล่อยประกาศออกไปง่ายๆ ขนาดเขายังสงสัยมากว่างูในหยกก้อนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือว่ากลายเป็นหยกไปแล้วกันแน่ แล้วคนอื่นๆ ล่ะจะคิดยังไง?
“ไม่มีปัญหาก็ดีแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม ไม่ได้ถามอะไรต่อไป
แต่จ่านป๋ายก็เอ่ยปากถามเธออีกครั้ง “จินเหลียน คุณเคยเห็นสิ่งมีชีวิตในหยกบ้างหรือเปล่าครับ”
“ไม่เคย” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า เธอมักจะรู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในหยกช่างแปลกประหลาดหนัก เธอเคยเข้าเยี่ยมชมฟอสซิลไดโนเสาร์ สิ่งมีชีวิตที่กลายเป็นฟอสซิล เธอยอมรับมันได้ แต่การที่กลายเป็นหยก เธอรู้สึกว่ามันค่อนข้างเหลือเชื่อ
“ผมเคยมีโอกาสได้เจอครั้งหนึ่ง” จ่านป๋ายถาม “แต่ว่ามันไม่ได้น่าดูอะไรหรอก”
“คุณเคยเห็นสิ่งมีชีวิตอะไรที่กลายเป็นหยกเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้นมาอย่างสงสัย “กลายเป็นหยกแล้วน่าจะสวยสิ?”
“เป็นคนน่ะ…” จ่านป๋ายส่ายหัวพูด “ผมเคยเห็นที่ต่างประเทศมีคนที่เคยสะสมเป็นของส่วนตัว ของที่น่ากลัว ไม่ได้น่าดูเหมือนงูตัวนั้น ที่เหมือนมีชีวิตอยู่…”
“คุณพูดจาไร้สาระอะไรกัน คนจะกลายเป็นหยกได้ยังไง?” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างไม่เชื่อ
“เป็นเรื่องจริงนะ!” จ่านป๋ายอธิบาย “คุณไม่รู้เหรอว่าในสมัยโบราณเมื่อผู้ที่ร่ำรวยและมีเกียรติเสียชีวิต พวกเขาทั้งหมดจะถูกฝังหยกเข้าไปตามช่องหรือรูของร่างกายทั้งเก้า จากนั้นนำร่างไปฝังใต้ดิน ภายใต้เงื่อนไขพิเศษบางอย่าง อาจทำให้ศพกลายเป็นหยกได้…”
“คุณอย่าพูดเรื่องน่ากลัวแบบนี้สิ ฉันกลัวนะ!” ซีเหมินจินเหลียนไม่มีอารมณ์มองเขา เขาตั้งใจจะทำให้ตกใจหรืออย่างไรกัน!
จ่านป๋ายส่ายหน้า ไม่พูดอะไรออกมา ความจริงเขาอยากจะยืนยันว่างูตัวนี้ไม่ได้กลายเป็นหยก ไม่ว่ามันจะไม่มีชีวิต มันเป็นสิ่งที่แปลกและไร้เหตุผล
รถขับมาจอดอยู่ที่ประตูทางเข้าของตลาดฮวาเหนี่ยว จ่านป๋ายเดินนำซีเหมินจินเหลียนเข้าไป เดินไปตามทางในที่สุดก็หาร้านที่ขายงูเลี้ยงเจออยู่สองร้าน เมื่อเห็นลวดลายสีเขียวที่เลื้อยไปมาในตู้กระจก ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าขนลุกขนพองขึ้นมา เธอไม่ได้กลัวงู แต่เธอก็เหมือนผู้หญิงทั่วไป ที่รังเกียจสัตว์ที่น่าเกลียดแบบนั้น…
เจ้าของร้านทักทายพวกเขาอย่างอ่อนน้อม “ทั้งสองท่านอยากจะซื้อสัตว์เลี้ยงแบบไหนหรือครับ”