ฮ่องเต้อ่านแผ่นพับแล้วให้ขมวดคิ้วครุ่นคิด
เมืองฝั่งเหนือผู้คนแร้นแค้น นี่เป็นปัญหาเรื้อรังมานาน ฮ่องเต้เคยสั่งการข้าราชการขุนนางหาวิธีแก้ปัญหาให้ได้ แต่ก็ไม่มีใครคิดวิธีที่ดีได้ ปล่อยเรื่องคาราคาซังมาจนถึงตอนนี้ ผู้คนในเมืองฝั่งเหนือยังต้องใช้ชีวิตอดมื้อกินมื้อ มีการค้าบุตรจนเป็นเรื่องปกติ การกระทำของเมิ่งเชี่ยนโยวในครั้งนี้ นับว่าช่วยแก้ปัญหาการดำรงชีวิตไปได้ระยะหนึ่ง เงินค่าแรงที่ได้มาอาจจะช่วยให้พวกเขามีชีวิตผ่านฤดูหนาวที่กำลังคืบคลานเข้ามานี้ได้
แต่ว่า เหตุใดนางถึงทำการใหญ่เช่นนี้ เพราะต้องการจริงๆ หรือต้องการทำให้ตนเองเห็น เพื่อเป็นข้อต่อรองเรื่องการแต่งงานของนางและเซวียนเอ๋อร์
คิดได้ดังนี้ ฮ่องเต้ก็ร้องเรียก “ใครอยู่ข้างนอก!”
ชายชุดดำเดินออกมาจากมุมลับ น้อมกล่าว “ฝ่าบาท!”
“เจ้าจงไปสืบความ ดูว่าสาวบ้านนานางนั้นต้องการซื้อที่จริงๆ หรือต้องการทำให้ข้าเห็น”
“พ่ะย่ะค่ะ” ชายชุดดำรับคำ รีบรุดจากไป
ฮ่องเต้มองดูรายงานในมือ วางทิ้งไว้อีกด้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีไม่รู้เลยว่าการรับสมัครคนของพวกเขา ไม่เพียงเรียกความสนใจจากคนในเมืองหลวง แม้แต่ฮ่องเต้และพระพันปีหลวงในวังก็ทราบเรื่องแล้ว ทั้งเกิดความคลางแคลงใจ ทั้งสองนำขบวนรถม้ากลับมาบ้าน กินอาหารค่ำเสร็จก็นั่งหารือเรื่องในวันพรุ่งนี้ต่อ
เมิ่งฉีพูดว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปเตรียมงานในโรงงานให้เรียบร้อยก่อน ค่อยพาคนงานไปนอกเมือง”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “โรงงานนี้ไม่เหมือนที่บ้าน ยังไม่มีใครชำนาญ ท่านจักต้องคอยควบคุมด้วยตัวเอง สำหรับงานนอกเมือง ข้าจะพาไปเอง เหวินเปียวและพี่น้องของเขาต่างก็อยู่ที่นั่น พอข้าจัดแจงงานเสร็จก็จะให้พวกเขาดูแล ต่อไปพวกเราก็ไม่ต้องไปทุกวัน”
“เจ้ายังต้องรักษาให้ฮูหยินเหวินไม่ใช่หรือ จะเอาเวลามาจากไหน เอาอย่างนี้ก็ได้ เรื่องงานแผ้วถางรออีกสองสามวัน พอข้าจัดการงานในโรงงานเรียบร้อย ค่อยดำเนินงานแผ้วถางต่อ”
“ไม่ได้ ท่านไม่เห็นคนที่มาลงชื่อในวันนี้หรือ พวกเขาแทบอยากจะไปแผ้วถางเสียวันนี้แล้ว หากพวกเราให้รออีกสองสามวัน เกรงว่าจะมีคนรอไม่ไหว ก่อความวุ่นวายสร้างความเดือดร้อนให้ใต้เท้าเปาจะไม่เป็นการดี เรื่องอาซ้อไม่ยากเลย ประเดี๋ยวข้าจะให้ชิงหลวนไปบอกเหวินซื่อ ให้พรุ่งนี้พวกนางเข้ามาตอนบ่ายก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งฉีไม่เห็นด้วย “ทำแบบนี้ เจ้าจะเหนื่อยเกินไป เอาอย่างนี้เถอะ วันพรุ่งข้าจะพาคนงานไปแผ้วถางก่อน พอจัดการเสร็จก็มอบให้เหวินเปียวดูแล จากนั้นค่อยกลับมาสอนคนงานทำงานในโรงงาน”
“พี่รอง” เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูดว่า “ในสายตาท่าน น้องสาวท่านกลายเป็นคนเปราะบางไปตั้งแต่เมื่อไร เรื่องแค่นี้ไม่หนักหนาอะไรเลย”
เมิ่งฉีคิดจะยืนหยัดต่อ เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดว่า “ว่าตามนี้เถอะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้เช้า ท่านทำงานของท่าน ข้าทำงานของข้า พวกเราสองพี่น้องช่วยกันพัฒนาการค้านี้ให้เจริญรุ่งเรือง”
นางมีนิสัยพูดคำไหนคำนั้น เมื่อตัดสินใจแล้วจะไม่ยอมเปลี่ยนง่ายๆ เมิ่งฉีจนใจ ได้แต่พยักหน้า
เช้าวันถัดมาหลังกินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีนั่งรถม้ามาถึงเมืองฝั่งเหนือ
เมิ่งฉีไปโรงงาน
เมิ่งเชี่ยนโยวพาคนงานถือเครื่องมือเดินเป็นขบวนออกจากประตูเมืองฝั่งเหนือ
นายทหารเฝ้าประตูได้ยินเรื่องเมิ่งเชี่ยนโยวรับสมัครคนงานตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่พอเห็นคนหลายร้อยคนก็อดตกใจไม่ได้ หากพวกเขาไม่ถือเครื่องมือแผ้วถางที่ดิน นายทหารนึกว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างจริงๆ แล้ว
ที่ดินร้างอยู่ไม่ไกลจากเมืองฝั่งเหนือ แต่การเดินเท้าต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วยาม พอมาถึงที่ดินร้าง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ให้พวกเขารอก่อน ส่วนตัวเองนั่งรถม้าตรงมาบ้านสวน
เหวินเปียวพักอยู่บ้านสวนร่วมกับพี่น้องสำนักคุ้มภัยด้วย หลายวันมานี้ต่างกินดีอยู่ดี เรื่องที่ควรพูดก็พูดออกมาจนหมดแล้ว กำลังกลัดกลุ้ม การให้พวกเขามากินเล่นไปวันๆ เช่นนี้ พวกเขาก็ชักเริ่มทำใจไม่ได้ ได้ฟังดังนั่นเหวินหย่วนพูดขึ้นทันควัน “แม่นางเมิ่งมีอะไรก็สั่งมาได้เลย ขอเพียงพวกเราทำได้ จะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด”
“หาใช่เรื่องใหญ่อันใดไม่ ข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วยคุมคนทำงาน คอยจดบันทึกรายชื่อคนเข้างานในแต่ละวันก็พอ”
พวกเขาไม่เข้าใจ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงบอกเรื่องที่ตนเองรับคนงานหลายร้อยชีวิตมาแผ้วถางที่ดิน สุดท้ายพูดว่า “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพียงคอยควบคุมการทำงานของพวกเขาก็พอ พวกเขาจะทำงานช้าบ้างไม่เป็นไร แต่ห้ามแอบอู้ หากพบเข้าให้ไล่ออกทันที”
คนของสำนักคุ้มภัยนายหนึ่งปากไว พูดว่า “เช่นนั้นพวกเราก็คือผู้คุมนะสิ”
เหวินหย่วนเอ็ดเขา “อย่าพูดสอด ให้แม่นางพูดให้จบก่อน”
คนของสำนักคุ้มภัยหน้าแดงวาบ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เขาพูดถูกต้องแล้ว พวกเจ้าเปรียบได้กับผู้คุม แต่พวกเจ้าเพียงรับผิดชอบคอยตรวจตราการทำงานของพวกเขา ห้ามกดขี่พวกเขา”
เหวินหย่วนรับประกัน “แม่นางวางใจเถอะ จะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนั้นเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ล้วงสมุดจดออกมา มอบให้เหวินเปียว “นี่เป็นรายชื่อคนทำงานทั้งหมด พวกเจ้าจัดแบ่งคน รับผิดชอบเป็นส่วนๆ นับแต่วันนี้ไป คนพวกนี้จะติดตามพวกเจ้า”
เหวินเปียวรับมา เปิดออกดู เห็นรายชื่อคนยุบยับ สะดุ้งตกใจร้องถาม “แม่นาง คนมากเกินไปแล้ว”
“อากาศใกล้จะเย็นแล้ว ใช้โอกาสนี้แผ้วถางที่ดินให้เสร็จ ปีหน้าพออากาศอบอุ่น พวกเราจะได้ปลูกมันฝรั่งได้ทันที ดังนั้นจึงจ้างคนมากหน่อย แต่ว่า พวกเจ้าคนมาก แบ่งสันปันส่วนกันแล้วน่าจะเหลือคนละไม่เท่าไหร่”
เหวินเปียวพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว”
“พวกเจ้าตามข้าออกมาเถอะ นับจากนี้ไป ไม่ต้องหลบอยู่แต่ในสวนแล้ว”
คนทั้งหมดเบิกบานใจ ตามนางออกไป มาถึงเบื้องหน้าคนงาน
เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงบอกคนงานว่าพวกเขาคือผู้คุม ต่อไปจะคอยตรวจตราการทำงานของพวกเขา
คนงานมองพวกเขาแต่ละคนรูปร่างสูงใหญ่ กำยำล่ำสัน เกิดความสั่นผวาหลายส่วน
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาพวกเขา พูดปลอบใจ “พวกเจ้าวางใจ ขอเพียงพวกเจ้าตั้งใจทำงาน พวกเขาไม่ทำอะไรพวกเจ้าดอก กลับกัน ถ้าใครไม่ตั้งใจทำงาน ฉวยโอกาสอู้งาน จะหาว่าเขาไม่เกรงใจไม่ได้”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ คนทั้งหมดถึงวางใจลง
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวขานชื่อคนในสมุดจดออกมาจำนวนหนึ่ง ให้เหวินหย่วนพาไปทำงานก่อน ทั้งบอกเขาว่า ต่อไปเขามีหน้าที่ดูแลคนพวกนี้ จากนั้นให้เหวินเปียวขานชื่อออกมาอีกจำนวนหนึ่ง ให้เหวินหย่งพาไปทำงาน และบอกเหมือนเดิมว่าให้เขาเป็นคนดูแล จากนั้นก็ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ พี่น้องทุกคนของสำนักคุ้มภัยทยอยกันพาคนแยกย้ายไปทำงานแต่ละที่
สุดท้ายเหลือเพียงเหวินเปียว เหวินหู่ เหวินเป้าและเหวินซง
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “พวกเจ้ายังไม่หายดี ตอนนี้ยังกลับบ้านไม่ได้ เอาอย่างนี้ พวกเจ้าหาวิธีแบ่งพื้นที่หลายร้อยหมู่นี้ให้มีขนาดเท่าๆ กัน ให้พวกเขารับผิดชอบกันคนละส่วน เช่นนี้งานจะได้ไวขึ้น ทั้งง่ายต่อการควบคุม”
เหวินเปียวจดจำขึ้นใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ข้าต้องกลับก่อน ประเดี๋ยวจะให้คนส่งหม้อใหญ่จำนวนหนึ่งเข้ามา วันนี้พวกเจ้าทำผัดผักหมูไปก่อน วันพรุ่งข้าจะหาแม่ครัวเข้ามาทำอาหารให้คนงานกิน”
เหวินเปียวรับคำ
พอสั่งการเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็นั่งรถม้ากลับไป มาได้ครึ่งทาง ก็พบบ่าวนั่งรถม้านำกับข้าวมาส่งให้เหวินเปียว
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกเขา พูดว่า “วันนี้ข้าให้คนงานหลายร้อยคนไปทำงาน กับข้าวเพียงเท่านี้ยังขาดอีกมาก เจ้าตามข้ากลับไป ข้าจะเขียนรายการให้เจ้าไปซื้ออีกครั้ง”
บ่าวขานรับคำ หันเลี้ยวรถม้าตามหลังรถม้าของเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาโรงงาน
เมิ่งเชี่ยนโยวหาผู้หญิงมาทำกับข้าวก่อน ถามขึ้น “ญาติมิตรหรือบ้านใกล้เรือนเคียงเจ้ามีใครยินดีมาทำกับข้าวเหมือนเจ้าบ้าง ข้าให้ค่าแรงเหมือนเจ้า”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ “มีๆๆ มีคนไม่น้อยมาสอบถามกับข้าเจ้าค่ะ”
“เจ้าไปตามพวกนางมาตอนนี้เลย”
หญิงสาวรับคำ รีบวิ่งออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวหากระดาษพู่กัน เขียนรายการออกมาให้บ่าว “ตอนนี้เจ้าไปซื้อของในนี้มาให้ครบ แล้วให้พวกเขาส่งไปบ้านสวนนอกเมือง”
บ่าวรับมา ตกใจพูดว่า “แม่นาง ของทั้งหมดต้องใช้เงินไม่น้อยนะขอรับ ข้าว่า ท่านทำเหมือนคนอื่น ให้พวกเขาพกอาหารแห้งมาเอง เราแค่ต้มน้ำร้อนให้พวกเขาก็พอ”
“กินไม่อิ่ม จะเอาแรงจากไหนมาทำงาน รีบไปเถอะ หากล่าช้า ไม่รู้ว่าจะได้กินข้าวเที่ยงตอนไหน”
บ่าวมองดูรายการบนกระดาษอย่างปวดใจอีกครั้ง ถึงสั่งคนรถตามเขาไปซื้อของ
หญิงสาวทำกับข้าวตามหญิงสาวอีกสามคนเข้ามาแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพวกนางแต่งงานสะอาดสะอ้าน ทั้งดูคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง พูดว่า “นับแต่วันนี้ไป พวกเจ้ารับผิดชอบทำอาหารกลางวันให้คนงานในโรงงาน ได้ค่าแรงวันละสี่สิบอีแปะ”
หญิงสาวต่างสะท้อนแววตายินดี พูดขอบคุณไม่ขาดปาก
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีกว่า “ข้ายังต้องการคนทำอาหารอีกสิบกว่าคน ญาติหรือบ้านใกล้เรือนเคียงเจ้ามีใครยินดีมาทำกับข้าวอีก ตอนบ่ายให้ตามพวกนางมาให้พี่รองข้าดูก่อน แต่พวกนางต้องไปทำอาหารที่บ้านสวนนอกเมืองทุกวัน ระยะทางไปกลับค่อนข้างไกล มีความลำบาก ข้าจะเพิ่มค่าแรงให้พวกนางอีกสิบอีแปะ เป็นห้าสิบอีแปะ”
งานจับกังเหนื่อยสายตัวแทบขาดหนึ่งวันเพิ่งจะได้แปดสิบอีแปะ ตอนนี้แค่ทำอาหารมื้อเดียวก็ได้ถึงห้าสิบอีแปะ ต่อให้ไกลหน่อยก็แล้วอย่างไร หญิงสาวต่างพยักหน้ายินดี บอกว่าพอกลับไปจะไปหาคนมาให้
เมิ่งเชี่ยนโยวจัดการเรื่องเสร็จ ก็เดินเข้าไปในโรงงาน
เมิ่งฉีกำลังสอนพวกเขาทำแป้งมันฝรั่ง พอเห็นนางเข้ามา จึงส่งสายตาให้คนงานลองทำดู ส่วนตัวเองเดินมาหาเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาเหงื่อออกท่วมตัว ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้เขา ถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
เมิ่งฉีรับผ้าเช็ดหน้ามา ปาดเช็ดเหงื่อบนหน้า พูดว่า “เกรงว่าจะต้องใช้เวลาสองวันถึงจะเรียนรู้เป็น”
“ไม่ต้องรีบ ที่ร้านยังมีพอขาย จะต้องให้พวกเขาฝึกทำเป็นก่อน ถึงจะเปิดโรงงานได้”
“ข้ารู้ ทางเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วรึ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เรียบร้อยแล้ว เหลือแค่หาคนมาทำกับข้าว”
นางพูดเช่นนี้ เมิ่งฉีถึงนึกได้ พูดว่า “เมื่อวานมีแต่เรื่องยุ่ง ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ประเดี๋ยวข้าจะไปหาใต้เท้าเปา ให้เขาช่วยหาผู้หญิงจำนวนหนึ่งมาทำกับข้าว”
“ไม่ต้องแล้ว ข้าหาคนทำกับข้าวของโรงงานได้แล้ว ท่านคิดเงินให้พวกเขานับตั้งแต่วันนี้ก็พอ สำหรับที่ดินร้าง วันนี้จะให้พวกเหวินเปียวทำก่อน ตกบ่ายจะมีคนเข้ามาให้ดู ท่านเลือกไว้สักสิบกว่าคนก็พอ”
เมิ่งฉีพยักหน้า “รู้แล้ว เจ้ากลับบ้านพักผ่อนเถอะ ตอนบ่ายยังต้องรักษาอาการให้ฮูหยินเหวินอีก ตอนบ่ายข้าคงไม่กลับไปแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ
เมิ่งฉีคืนผ้าเช็ดหน้าให้นาง กลับไปสอนคนงานต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าไม่มีธุระของตัวเองแล้ว จึงกลับมาบ้านฝั่งใต้
พระชายาเอกก็ได้ยินเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวรับสมัครคนแล้ว คิดว่านางกระทำการใหญ่โตเช่นนี้ เงินทองในมือจะต้องไม่เพียงพอ จึงหยิบเงินสะสมส่วนหนึ่งของตัวเองออกมา ให้คนไปตามหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามา มอบให้เขา “เจ้าเอาเงินนี้ไปให้แม่นางเมิ่ง หากไม่พอค่อยกลับมาเอากับแม่เพิ่ม”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มริมฝีปาก บอกเรื่องที่ตัวเองมอบเงินเก็บจากการดูแลกิจการมาตลอดหลายปีให้เมิ่งเชี่ยนโยวไปแล้ว ทั้งพูดว่า “เงินพวกนั้นของข้าเพียงพอให้นางใช้จ่ายแล้ว พระมารดาเก็บเงินนี้ไว้เถอะขอรับ”
พระชายาเอกตกตะลึง จากนั้นก็ยิ้มวางตั๋วเงินใส่มือเขา “นั่นเป็นเงินของเจ้า นี่ถึงเป็นน้ำใจของแม่”
เห็นพระชายาเอกรั้นจะมอบให้ หวงฝู่อี้เซวียนจึงรับมา พูดว่า “ได้ขอรับ ประเดี๋ยวข้าจะนำไปมอบให้นาง”
พระชายาเอกพยักหน้า “เจ้าบอกนางว่า อยากทำอะไรก็ทำให้เต็มที่ หากมีปัญหาแม่จะหนุนหลังให้เอง”
ดังนั้นพอเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาถึงบ้าน หวงฝู่อี้เซวียนก็รออยู่ในห้องนางแล้ว ทั้งบอกคำพูดที่พระชายาเอกฝากมาแก่นาง พูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้พระมารดาดีกับเจ้ามากกว่าข้าแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ รับตั๋วเงินมาอย่างไม่เกรงใจ เก็บใส่**บที่หวงฝู่อี้เซวียนให้มา พูดว่า “เจ้ารอประเดี๋ยว ข้าจะไปทำกับข้าวมาให้”
หวงฝู่อี้เซวียนดีใจหน้าบาน รีบพูดเอาใจ “ข้าไปช่วยเจ้าติดไฟ”
ทุกครั้งที่ซื่อจื่อมา เขาจะคอยช่วยควบคุมไฟให้เมิ่งเชี่ยนโยว ชิงหลวนและจูหลีต่างคุ้นชินเสียแล้ว
ด้วยไม่ได้มาหลายวัน พอกินอาหารเที่ยงเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังโอ้เอ้อยู่ในห้องเมิ่งเชี่ยนโยว พูดเองเออเองว่าสองวันนี้ไม่มีธุระ สามารถมาได้ทุกวัน
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเขาว่าประเดี๋ยวฮูหยินเหวินซื่อจะเข้ามารับการรักษา เขาจะอยู่ในห้องไม่ได้ ให้เขาไปพักผ่อนที่ห้องเมิ่งฉี อย่าเผชิญหน้ากับฮูหยินเหวินซื่อ ให้พวกนางพี่น้องทำตัวไม่ถูก
ไม่รู้เพราะอะไร ฮ่องเต้ที่บอกว่าหลังปีใหม่ถึงจะมอบหมายงานให้หวงฝู่อี้เซวียนทำ ช่วงนี้กลับคอยหางานเล็กๆ น้อยๆ มาให้เขาทำไม่ขาด เขาจึงไม่สามารถเข้ามาได้ทุกวันหลังเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนเสร็จเหมือนก่อน สองวันนี้อุตส่าห์มีเวลาว่าง นางกลับต้องรักษาโรคให้ฮูหยินเหวินซื่อ แม้หวงฝู่อี้เซวียนจะไม่ยินยอม แต่ก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ บอกว่าพอพวกนางมาก็จะไปที่เรือนเมิ่งฉี ตอนนี้ขออยู่ที่นี่ก่อน
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้จะทำอย่างไร จึงยอมตามใจเขา
ไม่คิดว่า สองพี่น้องเฝิงยังไม่มา สองพ่อลูกนายท่านฮั้วกลับมาแทน
เมิ่งเชี่ยนโยวที่พอฟังรายงานจากคนเฝ้าประตูก็ขมวดคิ้วถาม “พวกเขาได้บอกหรือไม่ว่ามีธุระอะไร”
คนเฝ้าประตูตอบความ “เปล่าขอรับ บอกเพียงว่าต้องการพบนายหญิง”
สกุลฮั้วมีสถานะเป็นตัวแปรสำคัญในเมืองหลวง การฉีกหน้าเขาบอกว่าไม่พบไม่ใช่การดี เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดแล้วสั่งคนเฝ้าประตู “เชิญพวกเขาเข้ามา”
คนเฝ้าประตูรับคำ ออกไปเชิญสองพ่อลูกเข้ามา
นายท่านฮั้วและฮั้วเซียงหลิงเดินตามคนเฝ้าประตูเข้ามา บ่าวนายหนึ่งยกของกำนัลเดินตามหลัง
พอพบหน้า นายท่านฮั้วก็ประสานมือ เปล่งเสียงพูด “วันนี้พวกเราสองพ่อลูกเข้ามาโดยพลการ หวังว่าจะไม่เป็นการรบกวนแม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดทีเล่นทีจริงถาม “หากข้าบอกว่ารบกวนเล่า นายท่านฮั้วจะกลับไปเลยหรือไม่”
นายท่านฮั้วชะงักอึ้ง แล้วหัวเราะร่วน “แม่นางเมิ่งล้อข้าเล่นอีกแล้ว”
บทสนทนาจบลงเท่านี้ เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็หัวเราะ ผายมือเชื้อเชิญ “นายท่านฮั้ว คุณหนูฮั้ว เชิญด้านใน”
นายท่านฮั้วก้าวเข้าไปในห้อง ฮั้วเซียงหลิงย่อตัวคำนับนาง แล้วเดินตามเข้าไป
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งบนเก้าอี้ภายในห้อง ถือถ้วยชาคลึงเล่นอยู่ในมือ
นายท่านฮั้วพ้นประตูเข้ามา เห็นมีคนอยู่ในห้องก็ตะลึงงัน
ฮั้วเซียงหลิงเดินตามหลังมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หยุดตามไปด้วย
ไม่เสียแรงที่นายท่านฮั้วทำการค้ามาหลายปี เห็นท่วงท่าของหวงฝู่อี้เซวียน ทั้งคิดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่ตนเองตามสืบ จึงเดาสถานะออกในทันที รีบทำความเคารพ “ผู้น้อยไม่ทราบว่าซื่อจื่ออยู่ในห้อง รบกวนท่านแล้ว ขอท่านโปรดอภัย”