ตอนที่ 697 หยอกเล่น โดย ProjectZyphon

แม้ว่าจะเผชิญความกดดันจากระดับมหาเวทเจ็ดคน หลินสวินกลับมีท่าทีสุขุมเยือกเย็นราวไม่รู้สึกรู้สา

“สถานการณ์ตอนนี้พวกเจ้าก็เห็นแล้ว จะให้ทางเลือกพวกเจ้าสองข้อ”

“ข้อแรก ให้พวกข้าจากไป ไม่ทำร้ายกัน”

“ข้อสอง สู้กัน!”

เสียงของหลินสวินดังสะท้านไปทั่วสี่ทิศ ท่าทางโอหัง

“เจ้าให้พวกเราเลือกหรือ”

จวี้สวินผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนพฤกษาเดือดดาลจนหัวเราะแล้ว “เจ้าหนู คิดว่าอาศัยคันธนูคันเดียวก็สามารถเหิมเกริมไม่หวั่นกลัวได้แล้วจริงหรือ”

ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนคนอื่นก็สีหน้าไม่น่าดูอยู่บ้าง วาจานี้ของหลินสวินเหมือนให้ทานและออกคำสั่ง ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาสักนิด ทำให้พวกเขามีไฟโทสะอัดอั้นอยู่ในอก

“เจ้าไม่ยอมหรือ”

ดวงตาสีดำของหลินสวินมองไปอย่างเย็นเยียบ “หากไม่ใช่ว่ายังต้องดูแลสหายร่วมรบเหล่านั้น วันนี้พวกเจ้าไม่มีโอกาสได้เลือกหรอก!”

เมื่อเอ่ยคำนี้ออกมา พวกจวี้สวินสีหน้ายิ่งอึมครึมแล้ว พวกเขามีฐานะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวท ทั้งเป็นคนใหญ่คนโตที่พลานุภาพสะท้านสะเทือนในดินแดนฝั่งหนึ่ง จะเคยถูกล้อเล่นเช่นนี้ได้อย่างไร

ส่วนพวกหูทงสีหน้ากลับซับซ้อนหาใดเทียบ ก่อนหน้านี้พวกเขามองว่าเด็กหนุ่มเป็นภาระ ต้องการการดูแล ดูถูกดูแคลนเขานัก

แต่ในชั่วพริบตา ความเป็นความตายของพวกเขาในตอนนี้กลับฝากอยู่กับเด็กหนุ่ม กลายเป็นตัวภาระให้อีกฝ่ายเสียอย่างนั้น นี่ทำให้ในใจพวกเขารู้สึกประหลาด

“ทำไมข้ารู้สึกว่าหลังจากเพิ่งยิงธนูสองดอกนั้น ก็ผลาญพลังเจ้าไปเกินครึ่ง เวลานี้เป็นเพียงการขู่ขวัญเท่านั้น”

ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนวารีผู้หนึ่งเอ่ยปากเสียงเนิบ ทั่วร่างเต็มไปด้วยหมอกน้ำพร่ามัว ร่างกายราวเกิดจากแสงวารีรวมตัวกัน ดูประหลาดลี้ลับ

กึด!

เสียงพูดยังไม่ทันเงียบลง หลินสวินก็ง้างคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารจนสุดแล้วเล็งเป้าอย่างไม่ลังเล

เสียงลมสายฟ้าสั่นสะเทือน เทพมารคำรามเดือดดาลที่คุ้นชินปรากฏขึ้นอีกครั้งในที่นั้นพร้อมกับปรากฏการณ์ประหลาดน่ากลัวมากมาย

ใครจะไปคิดว่าเด็กหนุ่มที่กำลังต่อรองเงื่อนไขจะทำเช่นนี้โดยฉับพลัน

ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนวารีผู้นั้นตื่นตระหนกจนร้องเสียงแหลม เขาเห็นจุดจบน่าอดอนาถของเสอเจิ้นและเหยียนชื่อสิงกับตาตัวเอง!

ดังนั้นเขาจึงเลือกหนีไปอย่างไม่ลังเล

เพียงแต่ลูกธนูดอกนี้กลับไม่ได้ยิงออกไป ก็เห็นว่าหลินสวินยิ้มหยันแล้วเอ่ยว่า “เจ้าว่าข้าขู่ให้กลัว เหตุใดถึงต้องหลบเล่า”

ใบหน้าชราของผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนวารีผู้นั้นพลันแดงก่ำ โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง รู้ว่าตนถูกหลอกเข้าแล้ว เจ้าเด็กนี่ถึงกับกล้าหยอกเขาเล่น!

เมื่อคิดถึงว่าท่าทางไม่น่าดูยามตนหลบหนีเมื่อครู่ถูกผู้อื่นในที่นั้นเห็นเข้า เขาก็โกรธจนหน้าเขียวแล้ว

“รังแกกันมากไปแล้ว! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะยิงธนูดอกที่สามได้!”

เขาตะคอก เรียกหินโม่แสงวารีขนาดราวสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งออกมา บดขยี้ห้วงอากาศดังโครมคราม พลานุภาพน่าพรั่นพรึง

นี่เป็นวิชาไม้ตายก้นกรุของเขา ทันทีที่ถูกหินโม่กวาดโดน ไม่ว่าร่างกายเจ้าจะแข็งแกร่งปานใด ก็จะถูกบดทำลายในชั่วพริบตา ไม่เหลือแม้ศพ

เห็นได้ชัดว่าแม้อยู่ในความเดือดดาล เขาก็ไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่าม เลือกวิธีที่แข็งแกร่งที่สุดมาต่อกรหลินสวิน

จากจุดนี้ก็ดูออกว่าเขาระวังและหวาดกลัวหลินสวินอย่างยิ่ง

ผึง!

มุมปากหลินสวินยกขึ้น ธนูวิญญาณไร้แก่นสารถูกง้างจนสุดและปล่อยออกมาในชั่วพริบตา

เวลานี้สายตาทั้งที่นั้นล้วนรวมอยู่ที่คันธนูกระดูกขาวลี้ลับคันนี้ รู้สึกได้ถึงพลังน่ากริ่งเกรงยากบรรยายอย่างชัดเจน ปะทุออกมาดุจภูเขาทลายทะเลหวีดร้อง ทำให้ห้วงอากาศในชั่วพริบตานี้เหมือนถูกลบล้าง แปรสภาพเป็นสุญญากาศว่างเปล่า!

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะธนูดอกนี้ว่องไวยิ่งนัก ทั้งพลังก็น่าพรั่นพรึงเกินไปแล้ว!

ตูม!

หินโม่แสงวารีถูกระเบิดจนแหลกสลายราวเศษกระดาษ

ในเวลาเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนวารีผู้นั้นก็ร้องเสียงประหลาด หลบหนีอีกครั้งหนึ่ง ดูทุลักทุเลยิ่งกว่าเมื่อครู่

เพราะในใจเขาสงสัยอยู่ก่อนแล้วว่าหลินสวินยิงธนูดอกที่สามออกมาไม่ได้ ใครจะคิดว่าความเป็นจริงที่โหดร้ายเช่นนี้กลับกระทบกระเทือนจิตใจราวสาดน้ำเย็นใส่เขา ทำให้เขาตกตะลึงและหวาดหวั่น

เพียงแต่จะหลบตอนนี้ก็ออกจะสายไปแล้ว เสียงตูมดังขึ้นครั้งหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนวารีผู้นี้ทรวงอกระเบิดแหลก ถูกเจาะให้เป็นหลุมยักษ์หลุมหนึ่งโดยฉับพลัน

ตัวเขาเพิ่งร้องโหยหวน เสียงก็เงียบลงทันใด สิ้นชีพคาที่!

ทุกคนในที่นั้นจิตใจหนาวยะเยือกราวตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง นี่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนแรกที่ตายไป ไม่ทันได้หลบหนีก็ถูกโจมตีสังหารคาที่

ภาพน่าตะลึงพรึงเพริดและนองเลือดนั้นทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่นๆ พากันขวัญหาย เมื่อกี้นี้พวกเขายังสงสัย คิดอยู่ว่าจะพุ่งโจมตี

แต่ลูกธนูดอกนี้ของหลินสวินกลับประหนึ่งตีแสกหน้า ทำให้พวกเขารับรู้ได้อย่างลึกซึ้งถึงความน่ากลัวของเด็กหนุ่ม

“พวกเราคิดผิดไปแล้ว…” หูทงสีหน้าอ่านยาก ถอนใจเสียงเบา

คนอื่นๆ สีหน้าบิดเบี้ยวผสมปนเป

“ตอนนี้ ใครยังอยากลองอีกไหม”

ดวงตาสีดำของหลินสวินกวาดมองไปทั้งลาน มีอานุภาพน่าหวาดหวั่น ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนหลายคนล้วนจิตใจสั่นระรัว ไม่กล้าสบตากับเขา

“หากพวกเราเข้าสู้พร้อมกันล่ะ อาศัยเจ้าเพียงคนเดียว เกรงว่าจะช่วยพรรคพวกเหล่านั้นของเจ้าไม่ได้กระมัง”

จวี้สวินผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทของสายคนเถื่อนพฤกษาสีหน้าอึมครึมและเย็นชา ยามพูดจาก็กวาดตามองพวกหูทง อาปี้ปราดหนึ่ง ทำให้ฝ่ายหลังล้วนสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุดหย่อน

แน่นอนว่าหากผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนทุกคนในหุบเขาพยัคฆ์นี้ลงมืออย่างไม่สนใจสิ่งใด ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดก็ยากคาดเดาได้จริงๆ

แต่ที่สามารถมั่นใจได้ก็คือ การหลั่งเลือดและการสังเวยชีวิตย่อมหลีกเลี่ยงได้ยาก!

“พูดเช่นนี้ พวกเจ้าเลือกข้อที่สองหรือ”

หลินสวินสีหน้าสงบนิ่ง หว่างคิ้วกลับเผยจิตสังหารเปี่ยมล้น “เช่นนั้นข้าก็อยากเห็นเหมือนกัน วันนี้ในหมู่พวกเจ้าจะมีกี่คนที่รอดชีวิตไปได้!”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยไอสังหารทะลุเมฆา!

นี่เป็นการข่มขู่ที่ตรงไปตรงมาที่สุด แต่กลับได้ผลที่สุด อาศัยอานุภาพของธนูสามดอกเมื่อครู่ ก็ทำให้ไม่มีใครในที่นั้นกล้าเพิกเฉยวาจาและท่าทีของหลินสวินอีก

เมื่อเห็นเขาตอบอย่างแข็งข้อเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทอย่างพวกจวี้สวินสีหน้าแปรเปลี่ยนไปอีกระลอก ไม่รู้จะเดินหมากอย่างไรอยู่บ้าง

เสียหายทั้งสองฝ่ายก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการเห็นเช่นกัน แต่หากยอมรามือเช่นนี้ แล้วปล่อยให้พวกหลินสวินจากไป พวกเขากลับไม่มีทางยินยอม

“ตามที่ข้าสันนิษฐาน ส่วนลึกของเหมืองแร่ในหุบเขาพยัคฆ์แห่งนี้ต้องมีสมบัติเยี่ยมยอดปรากฏขึ้น ถึงได้ดึงดูดพวกเจ้ามาได้ล่ะสิ”

ทันใดนั้นหลินสวินเอ่ยปากพร้อมด้วยรอยยิ้มที่คล้ายมีแต่ไม่มี

คำพูดเดียวทำเอาพวกจวี้สวินล้วนกราดเกรี้ยวและฉงนถึงขีดสุด

ส่วนพวกหูทงก็เกิดความสงสัยขึ้นในจิตใจอยู่นานแล้ว อย่างไรเสียตามข่าวที่ได้มา ในหุบเขาพยัคฆ์มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสั่งการอย่างมากก็แค่สามคน อีกทั้งมีกองกำลังป้องกันชั้นยอดเผ่าพ่อมดเถื่อนไม่เกินห้าสิบคน

แต่ตอนนี้กลับมีผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทเก้าคน รวมถึงยอดฝีมือเผ่าพ่อมดเถื่อนนับพันนับหมื่นโผล่ขึ้นมาในคราวเดียว นี่เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบมาพากล

ดังนั้นเมื่อได้ยินวาจานี้ของหลินสวิน ในที่สุดพวกหูทงก็รับรู้ได้ว่า ที่แท้พวกสวะพ่อมดเถื่อนเหล่านี้มาที่หุบเขาพยัคฆ์แห่งนี้ ก็เพื่อสมบัติที่เพิ่งโผล่ออกมาบางชิ้น!

และเมื่ออธิบายเช่นนี้ ถึงได้ดูสมเหตุสมผล

“วางใจได้ ข้าไม่สนใจสมบัติที่นี่หรอก แต่ที่ข้าสงสัยก็คือ หากวันนี้พวกเจ้าสู้จนสิ้นชีพแล้ว เกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้สมบัติไปกระมัง”

หลินสวินสีหน้าผ่อนคลายนิ่งสงบ ดวงตาสีดำกลับเย็นชาน่ากริ่งเกรง คันธนูวิญญาณไร้แก่นสารถูกง้างขึ้นรอท่าแล้ว

“ไอ้เศษสวะ! เลิกแผลงฤทธิ์เสียที พลังของเจ้าอย่างไรก็มีขีดจำกัดอยู่ดี ต่อให้เจ้าเก่งกาจกว่านี้ จะฆ่าพวกข้าได้สักกี่คน”

ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนทองคำคนหนึ่งคำรามกราดเกรี้ยว เขาอัดอั้นนัก ท่าทีมั่นใจว่าเอาพวกเขาอยู่หมัดของเด็กหนุ่ม ทำให้เขาอยากจะฉีกอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ

“เจ้าเดรัจฉานเฒ่า เจ้าก็อยากลองดูหรือ”

หลินสวินเล็งคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารไป ทำให้ฝ่ายหลังสีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว ทั้งตื่นตระหนกและโมโหสลับกันกัน

“ช่างเถอะ ให้พวกเขาไปเถอะ”

เวลานี้จวี้สวินพลันถอนใจ สีหน้าอึมครึม

ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่นต่างมองหน้าเลิ่กลั่ก สุดท้ายล้วนเงียบกริบ พวกเขามาจากขุมอำนาจต่างสายกัน ย่อมไม่อาจร่วมแรงร่วมใจสู้กับหลินสวิน

กอปรกับพลังที่หลินสวินเคยแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้น่าตื่นตระหนกและน่าสะพรึงอย่างยิ่งยวด ทำให้แม้พวกเขากราดเกรี้ยวหาใดเทียบ แต่ในใจก็ไม่ได้คิดจะเอาชีวิตเข้าสู้มากแล้ว

ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครอยากตาย

พวกหูทงเมื่อได้ยินดังนี้ก็ดีใจเกินคาด แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง

เรื่องราวพลิกผัน รอดชีวิตในสถานการณ์คับขัน ก็มีเพียงเท่านี้!

แต่ความรู้สึกในใจพวกเขากลับไหววูบแปรปรวนอย่างยิ่ง ราวประสบกับความเป็นความตายมา ความรู้สึกเช่นนั้นอย่าเอ่ยเลยว่าทรมานมากขนาดไหน สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งทั่วๆ ไปทรุดทลายได้

ยังดีที่แสงอรุโณทัยแห่งความหวังทอลงมาแล้วในที่สุด!

ผึง!

ถึงกระนั้นที่เหนือความคาดหมายของพวกเขาคือ ในเวลาเช่นนี้หลินสวินกลับง้างคันธนูวิญญาณไร้แก่นสาร แล้วยิงธนูออกไปอีกดอกหนึ่ง

เพียงแต่เป้าหมายกลับเป็นในเงามืดที่อยู่บริเวณใกล้เคียง

ชั่วพริบตาพวกจวี้สวินพากันหน้าเปลี่ยนสี เหมือนไม่คิดว่าหลินสวินจะมองอะไรออก

ตูม!

ในเวลาเดียวกัน เสียงกึกก้องราวทำลายล้างเกิดขึ้นในเงามืดนั้น เงาร่างทะมึนที่แทบไร้รูปเงาหนึ่งร้องเสียงแหลมโหยหวน พลันวิ่งพล่านออกมา

นั่นย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทของสายคนเถื่อนมืดผู้หนึ่ง เพียงแต่เวลานี้ทั้งร่างของเขาชโลมไปด้วยเลือด ผิวหนังเหวอะหวะ ถูกโจมตีจนแหลกหลายจุด ดูน่าหวาดหวั่นผิดธรรมดา

“เจ้า… เจ้าถึงกับรับรู้ได้หรือ” เขาร้องเสียงแหลม เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยวตื่นตระหนกและสะพรึงกลัว

หลินสวินเอ่ยเสียงเย็น “นี่เป็นเรื่องยากตรงไหนหรือ”

พวกหูทงสูดลมหายใจเย็น เหงื่อกาฬแตกพลั่กไปทั้งกาย พวกเขาเพิ่งรับรู้ในตอนนี้ว่าหากเมื่อกี้ออกไป จะต้องถูกผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนมืดที่ซ่อนตัวในเงามืดคนนั้นลอบโจมตี เช่นนั้นผลลัพธ์ก็ไม่อาจคาดคิดได้แล้ว!

แต่หลินสวินกลับรับรู้ทุกอย่างนี้ได้อย่างเฉียบแหลม ทำให้พวกหูทงตะลึงพรึงเพริด ยิ่งรู้สึกว่าหลินสวินน่าเหลือเชื่อ

“พวกเจ้าไปเถอะ!”

เวลานี้จวี้สวินเอ่ยปากแล้ว เขากับผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่นล้วนสีหน้าบูดเบี้ยว เหมือนยอมแพ้โดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่ต้องการรบรากันอีก

กึด!

ที่ตอบกลับพวกเขาคือสายธนูที่หลินสวินดึงจนตึงอีกครั้งหนึ่ง

“เจ้า…”

พวกจวี้สวินหน้าเปลี่ยนสีในทันใด ตกใจระคนโกรธเกรี้ยวถึงที่สุด เจ้าสวะตัวจ้อยนี่ไม่คิดจะไปแล้ว แต่คิดจะฆ่าฟันกับพวกเขาจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่งจริงๆ หรือ

“เหอะๆ อย่าตระหนกไป ขู่ให้พวกเจ้ากลัวเท่านั้นเอง”

กลับเห็นว่าหลินสวินพลันหัวเราะ คลายสายธนูลง

ทันใดนั้นพวกจวี้สวินสีหน้าอัดอั้นจนหน้าบูดเขียวแล้ว โกรธจนแทบกดความอยากพุ่งไปฆ่าคนไว้ไม่อยู่ เจ้าเด็กนี่สารเลวเกินไปแล้ว ถึงกับยั่วแหย่พวกตนครั้งแล้วครั้งเล่า!

หลินสวินกลับจากไปอย่างรวดเร็ว พาพวกหูทงเดินออกไปยังปากทางเข้าหุบเขาพยัคฆ์ที่ไกลออกไป

“จะลงมือหรือไม่” พวกจวี้สวินต่างสีหน้าอึมครึมและไม่พอใจ จิตสังหารพันพัวอยู่ในดวงตาระหว่างมองตามไปไกล

น่าหงุดหงิดเกินไปแล้ว!

เจ้าเด็กนี่อาศัยคันธนูคันเดียว ก็สังหารพรรคพวกของพวกเขาไปคนหนึ่งอย่างง่ายดาย ทั้งยังทำให้เสอเจิ้นกับเหยียนชื่อสิงบาดเจ็บสาหัส หากปล่อยให้เขาพาคนอื่นเดินอาดๆ จากไปเช่นนี้ ก็ช่างเป็นการหยามเหยียดใหญ่โต หากข่าวกระจายออกไป ต้องทำให้พวกเขากลายเป็นตัวตลกของผู้อื่น เชิดหน้าชูคอไม่ได้แน่!

“คันธนูนั่นเป็นสมบัติยอดเยี่ยมชิ้นหนึ่งเชียวนะ…” ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนหนึ่งเอ่ยช้าๆ

ประโยคเดียวทำให้คนอื่นยิ่งไม่พอใจ แทบจะคุมไว้ไม่อยู่แล้ว

“ทุกท่านอย่าลืมสิ ‘ค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อน’ ที่พวกเราร่วมกันวางยังอยู่ ก็ดูว่าพวกเขาจะออกไปได้หรือไม่…” รังสีเย็นเยียบฉายวาบในดวงตาจวี้สวิน

ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่นๆ ล้วนหวั่นไหว

พวกเขาย่อมฟังออกว่า ความนัยในคำพูดของจวี้สวินก็คือ หากผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิเหล่านี้ออกจากค่ายกลนี้ไปไม่ได้ เช่นนั้น…

ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นโอกาสลงมือที่ดีที่สุดครั้งหนึ่ง!

____