บทที่ 554 พระเจ้าคุ้มครอง

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 554 พระเจ้าคุ้มครอง
ชุดสีขาวของนักบวชธรรมดาที่สวมใส่บนตัวและดวงตาที่ค่อนข้างขุ่นมัวทำให้ซาร์ดดูไม่ต่างจากชายชราคนอื่นๆ กำลังเดินรับแสงตะวันตามท้องถนนในนครเรนทาโต แม้ว่าบรรยากาศรอบตัวเขาจะดูหนักแน่นและเศร้าหมองอย่างยิ่ง

เขามองไปรอบๆ จัตุรัสที่ว่างเปล่าของโบสถ์แล้วหัวเราะหึๆ “ข้ากำลังกังวลว่าเจ้าจะไม่กล้ามาเสียแล้ว เจ้าแห่งวายุ”

ด้วยอารมณ์ของพายุ เฟอร์นันโดหายใจออกมาเสียงดัง “ทำไมข้าจะไม่กล้ามาเล่า? ศาสนจักรจะรอและเฝ้าดูเราโดยไม่ทำอะไรเลยหรือ? ข้าพนันว่าไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไป ทันทีที่พลังพระเจ้าเสด็จของโป๊บฟื้นตัวในปีหน้า เขาจะเปิดสงครามเต็มรูปแบบกับเรา ฉะนั้น เราอาจชิงลงมือก่อนในสงคราม”

เนื่องจากการพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา และผลความสำเร็จจากการวิจัยที่คอยปั่นป่วนพระคัมภีร์และหลักคำสอนอยู่เป็นระยะ สภาเวทมนตร์กลายเป็นเป้าหมายหลักที่ศาสนจักรจ้องทำลายและกำราบ เป็นไปไม่ได้ที่สภาเวทมนตร์จะเติบโตอย่างลับๆ ขณะที่ฉกฉวยผลประโยชน์จากการเผชิญหน้าระหว่างศาสนจักรฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้

เมื่อกองกำลังฝ่ายหนึ่งพัฒนาขึ้นถึงระดับหนึ่ง ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องทำสงครามกับผู้มีอำนาจคนก่อน เพื่อขอพื้นที่สำหรับการพัฒนาต่อไป

สภาเวทมนตร์ได้ยั่วยุศาสนจักรมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ก็เพราะสภาต้องการทำสงครามในพื้นที่ที่ควบคุมได้ ในขณะที่ศัตรูไม่ทันได้เตรียมตัว

เมื่อโป๊บต้องคอยรับมือกับทั้งศาสนจักรฝ่ายเหนือและสภาความมืด และไม่พร้อมสำหรับการเคลื่อนกำลังพลหรือการเจรจา สภาสูงสุดก็มั่นใจว่าจะสามารถควบคุมการสูญเสียของนักเวทชั้นตำนานได้ แล้วสภาเวทมนตร์ก็จะชนะใจพวกอัศวินชั้นตำนานทั้งเจ็ดคนในที่สุด อย่างไรก็ตาม โป๊บกำลังกำราบกระแสลัทธิสุดโต่งภายในศาสนจักร ขณะที่เขาก็ต้องเตรียมตัวไปทีละขั้น

ในกรณีดังกล่าว สภาเวทมนตร์จะตกอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างหนัก หากไม่มีผลสืบเนื่องตามมาจากเหตุพระจันทร์สีเลือด ก็เป็นไปได้ที่สภาเวทมนตร์จะถูกศาสนจักรโอบตี เพราะฉะนั้น ดักลาสถึงเสี่ยงหลอกล่อให้โป๊บใช้พลังพระเจ้าเสด็จกับการทดลองดาวสังเคราะห์ เหตุการณ์นั้นช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นและยังซื้อเวลาให้สภาได้เตรียมตัวมากขึ้น แม้จะไม่ได้รับความร่วมมือจากซาร์ด สภาเวทมนตร์ก็จะก่อสงครามในปีนี้หรือต้นปีหน้าอยู่ดี

สำหรับคำกล่าวอ้างของซาร์ดที่ว่า โป๊บประเมินว่าจะไม่สามารถควบคุมสภาเวทมนตร์ได้อีกต่อไป หลังจากหกสิบปี ฉะนั้น จึงต้องทำสงครามเต็มรูปแบบภายในสิบถึงยี่สิบปีนี้ เฟอร์นันโดและสมาชิกสภาสูงสุดคนอื่นๆ ไม่ได้เชื่อเสียทั้งหมด โป๊บและพระคาร์ดินัลหลวงไม่ได้ตาบอด พวกเขาไม่อาจละเลยความก้าวหน้าอันรวดเร็วของทฤษฎีอาร์คานาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาและยึดติดอยู่กับการประเมินเก่าๆ นอกจากนี้ ที่สำคัญกว่านั้น โป๊บประกาศสงครามเต็มรูปแบบออกมาแล้วก็เพราะระบบการเล่นแร่แปรธาตุสมัยใหม่ ก่อนหน้าที่จะมีการค้นพบมิติดินแดนใหม่เสียอีก เพียงแต่ว่าสงครามถูกชะลอออกไปก็เพราะการค้นพบมนุษย์ครึ่งเทพ

ดังนั้น ดักลาสและมหาจอมเวทคนอื่นๆ มีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าตอนนี้สถานการณ์ในมิติดินแดนใหม่ค่อยๆ มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น และโป๊บจะหันมาสนใจกับการกำจัดสภาเวทมนตร์ หลังจากพลังพระเจ้าเสด็จของเขาฟื้นตัว บางทีหากถึงช่วงนี้ของปีหน้า พวกเขาอาจกำลังทำสงครามเต็มรูปแบบกลับศาสนจักรที่เตรียมตัวมาพร้อม เมื่อคิดได้เช่นนั้น พวกเขาก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงและสร้างสถานการณ์ที่ได้เปรียบเพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งต้องมีผู้มีพลังขั้นสูงชั้นตำนานคนหนึ่งสละชีวิตเพื่อรับพลังพระเจ้าเสด็จในฐานะผู้รับลูกกระสุนปืนใหญ่ ไม่มีผู้มีพลังขั้นสูงชั้นตำนานคนไหนที่พร้อมจะสละชีวิต และนั่นอาจก่อให้เกิดความแตกแยกภายในสภาเวทมนตร์

ความร่วมมือจากซาร์ดทำให้มีโอกาส และยังสอดคล้องกับแนวคิดของสภาเวทมนตร์ที่ต้องการลงมือทำแผนในปีนี้ หรือช่วงต้นปีหน้า

ดังนั้น แผนที่มีรายละเอียดที่สุดเกี่ยวกับการโผล่เข้ามาอย่างกะทันหันของโป๊บและพระคาร์ดินัลหลวงอีกสิบสองรูป

ซาร์ดยิ้ม “ตามการคาดหมายของสภาเวทมนตร์ที่ยังอ่อนเยาว์และกระฉับกระเฉง ศาสนจักรจะเสื่อมสลายหลังจากผ่านไปหนึ่งพันปี และจะชุบชีวิตใหม่ได้ด้วยเพลิงและโลหิตเท่านั้น เข้าไปสิ เขตพลังเทพถูกปิดลงแล้ว แม้แต่นักบวชที่เป็นกลางก็ถูกข้าส่งไปหาริชาร์ด ข้างในหรือสมาชิกอยู่มากี่คน ซึ่งมีวีล่า อะเมลตัน ซึ่งจะคอยควบคุมการรบแทนข้า”

เขาต้องการให้ส่วนอื่นๆ ของคริสตจักรแห่งอาภา ยกเว้นบริเวณวงเวทการส่งผ่าน อยู่ในสภาพเดิมเพื่อการใช้ประโยชน์ในอนาคต

ทัศนคติที่แสดงความยินดีและความต้องการเฉพาะของเขาก็ดูเหมือนจะบ่งชี้ถึงความจริงใจในความร่วมมือ

เมื่อไม่มีอุปสรรคจากพลังเทพขัดขวาง สนามพลังวิญญาณของเฟอร์นันโดก็เข้าครอบคลุมคริสตจักรแห่งอาภาได้โดยไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม เขาก็รอบคอบพอที่จะถามโดนัลด์ ประธานกลุ่มเจตจำนงแห่งธาตุ และทอมป์สัน ลูกศิษย์ของเขา ให้เดินเข้าไปและควบคุมเขตพลังเทพ รวมถึงวงเวทการส่งผ่านขนาดใหญ่เป็นอันดับแรก

ไม่นาน ผู้วิเศษและนักเวทอาวุโสก็สามารถควบคุมคริสตจักรแห่งอาภาได้ คณะนักบวชที่เฝ้าดูพฤติกรรมของพวกเขาต่างรู้สึกสับสน

แม้ว่าพวกเขาจะเอนเอียงมาทางสภาเวทมนตร์ และรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเช่นในศาสนจักรฝ่ายเหนือภายใต้การชักนำของซาร์ด เหล่านักบวชก็รู้สึกพ่ายแพ้ขณะเฝ้าดูคริสตจักรแห่งอาภา สัญลักษณ์แห่งพระเจ้าแห่งสัจธรรมที่คอยควบคุมฝั่งนี้ของช่องแคบสตอร์ม ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของนักเวท ดวงตาของพวกเขาเป็นสีแดงก่ำ

ถึงจุดสิ้นสุดของยุคสมัยแล้วหรือ?

วงเวทการส่งผ่านขนาดใหญ่แข็งแกร่งเกินกว่าจะถูกผู้พิเศษทำลาย ดังนั้น เฟอร์นันโดจึงเดินเข้าไปในคริสตจักรแห่งอาภาในชุดเสื้อคลุมเวทมนตร์สีแดงของเขา

ณ ตอนนั้นเอง ซาร์ดก็ยิ้มขึ้น “ข้าจะออกจากเรนทาโตให้เจ้าได้สบายใจ หลังจากเจ้าควบคุมดินแดนนี้ได้ทั้งหมด ข้าจะกลับมารับตำแหน่งอาร์ชบิชอปแห่งอาภา”

เฟอร์นันโดมองเขาด้วยดวงตาที่มีพายุปั่นป่วนอยู่ภายใน เขาเดินผ่านซาร์ดไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ และตามหลังมาด้วยอะทาแมน ‘แดนป้องกันขั้นสูงสุด’

ซาร์ดหัวเราะหึหึและเดินออกจากจัตุรัสของโบสถ์ไปด้วยท่าทีที่ดูเชื่องช้า แต่อันที่จริงกลับเร็ว

‘อัลลิน’ ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือนครเรนทาโตในบางโอกาส รางรถไฟทั้งหมดถูกรื้อออกและกลายเป็นป้อมปราการสงคราม

ขณะกำลังคุมสถานการณ์อยู่บนชั้นที่สามสิบสามของหอเวทมนตร์หลัก ดักลาสก็พูดขึ้นว่า “แอตแลนต์ จับตาดูซาร์ดไว้ด้วย”

แอตแลนต์ ‘เนตรแห่งคำสาป’ พยักหน้าและลืมตาขึ้น ซึ่งในดวงตาของเขาดูเหมือนจะมีโลกแห่งคำสาปแปลกประหลาดซ่อนอยู่ภายใน

ทางตะวันตกของเมืองเป็นเขตของขุนนาง ทั้งปราสาทเนคโซและคริสตจักรแห่งอาภาตั้งอยู่ ที่นี่เป็นเขตที่มีทัศนียภาพสวยงามและมีประชากรอาศัยอยู่ไม่มากนัก

ก่อนที่ซาร์ดจะจากไป ทหารคนหนึ่งควบม้าเกล็ดมังกรวิ่งห้อไปบนถนนอันกว้างใหญ่และมีผู้คนบางตา ดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันส่องแสงร้อนแรง และเขาก็แทบจะไม่พบใครเลยก่อนที่จะถึงคฤหาสน์ของดยุกเจมส์

“องค์ราชินีทรงมีพระประสงค์เรียกประชุมขุนนางฉุกเฉิน?” เจมส์ถามขึ้นด้วยความสับสน นอกจากนี้ เวลาเรียกประชุมก็กระชั้นชิดเกินไปจนมีขุนนางเพียงไม่กี่คนในเรนทาโตที่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ ขุนนางที่อยู่ในเมืองอื่นไม่มีเวลาพอที่จะกลับมาได้ทันเวลา

หลังจากยืนยันว่าเป็นคำสั่งของจริงจากราชินี ดยุกเจมส์ก็เดินทางไปยังปราสาทเนคโซพร้อมกับคำถามมากมายในหัว

ณ มุมอันห่างไกลทางตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทเนคโซ ลูเซียนกำลังรอคำสั่งอยู่หลังต้นมะเดื่อ และหวังว่าจะไม่มีอะไรผิดแผน

“ลูเซียน ไม่ต้องกังวล” มอร์ริสลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับนักเวทของราชสำนักโฮล์มและทักทายลูเซียนที่อยู่บนพื้น ก่อนที่พวกเขาจะบินไปยังอีกทางหนึ่งของปราสาทเนคโซเพื่อทำหน้าที่ป้องกันปราสาท

“ท่านมอร์ริส ชื่อของข้าคือ ไม่ต้องกังวล” ขณะมองพวกเขาบินผ่านไป ลูเซียนก็ตอบด้วยมุกตลกฝืด เมื่อเขามองไปยังบรรดาคฤหาสน์หลังใหญ่ของขุนนางที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมถนน เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงครอบครัวของลุงโจเอล ซึ่งถูกส่งมาป้องกันคฤหาสน์ในเขตชานเมืองภายใต้การจัดเตรียมกำลังของนาตาชา เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาได้รับผลกระทบจากการสู้รบ

ลูเซียนยังคงรู้สึกไม่สบายใจกับการหายตัวไปของจูเลียนาและมินสค์

‘หวังว่าคงไม่ต้องใช้แผนที่ห้าหรอกนะ… ให้ดีก็อย่าต้องใช้แผนที่สามเหมือนกัน…’ ลูเซียนภาวนาอยู่ในใจ

ภายนอกอารามหลวงเรนทาโต ทางด้านตะวันตกของเมือง แฮททาเวย์ซึ่งอยู่ในชุดเสื้อคลุมเวทมนตร์สีแดงเข้ม กำลังยืนอยู่ในเงาต้นไม้เงียบๆ และเฝ้ารอให้เฟอร์นันโดทำลายวงเวทการส่งผ่านขนาดใหญ่ หลังจากนั้น นางจะเริ่มโจมตีและกำจัดกองอัศวินจอกศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด รวมถึงพวกนักบวชหัวรุนแรงบางส่วนในอารามหลวง

สำหรับอัศวินศักดิ์สิทธิ์สโตนซึ่งเป็นผู้มีพลังชั้นตำนานระดับหนึ่งเท่านั้น นางไม่ได้รู้สึกกังวลหรือเป็นทุกข์เป็นร้อนกับพลังของสโตนแต่อย่างใด

ณ ชั้นที่สามสิบห้าของหอคอยเวทมนตร์อัลลิน ข่าวกรองจากหลายๆ แห่งถูกส่งเข้ามา

“เอริก้าควบคุมคริสตจักรหลวงแห่งโคคัสได้แล้ว”

“วิเซนเตควบคุมคริสตจักรหลวงแห่งแบลนส์ได้แล้ว”

“ฮัล-ชูเลียควบคุมคริสตจักรแห่งแสงเหนือได้แล้ว”

“บรูคและโฮลต์กำลังรอคำสั่งโจมตี”

“ยืนยัน โป๊บกำลังเทศนาอยู่…”

“ยืนยัน นักบุญจำนวนหนึ่งอยู่กับโป๊บ…”

ดักลาสยืนอยู่ตรงหน้าอย่างสงบ ไม่กระวนกระวายเกินไป หลังจากก่อตั้งสภาเวทมนตร์และพัฒนาสภาภายใต้สถานการณ์ที่ตกเป็นเบี้ยล่างอย่างหนัก เขาเคยผ่านภยันตรายมามากมายเกินกว่าจะวิตก ไม่ว่าสถานการณ์ครั้งนี้จะเลวร้ายเพียงไหน มันจะเลวร้ายไปกว่าสมัยที่สภาเวทมนตร์พึ่งก่อตั้งได้อย่างไร?

ในสมัยนั้น มีนักเวทถูกศาสนจักรกำจัดทุกวัน และองค์กรพร้อมจะล่มสลายได้ทุกเมื่อ!

ทันใดนั้น แอตแลนต์ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี “ซาร์ดหายตัวไป…”

ภายใต้การจับตาดูของ ‘เนตรแห่งคำสาป’ จู่ๆ ซาร์ดก็หายตัวไป หลังออกจากเขตขุนนาง!

ดักลาสมองไปที่โอลิเวอร์และคนอื่นๆ ก่อนพูดขึ้นอย่างสุขุม “แจ้งบรูคกับฮัล-ชูเลียให้โจมตี ส่งพวกพระคาร์ดินัลหลวงกลับหุบเขาวิมาน หรือกักขังและขับไล่พวกเขาก่อนที่อัศวินชั้นตำนานจะรู้ตัว และบอกให้บรูคกลับมาเป็นกำลังเสริมทันทีที่การสู้รบจบลง”

“แฮททาเวย์สลับตำแหน่งกันเดวีย์”

“เราจะไปช่วยเฟอร์นันโดด้วยกัน!”

ขณะที่คำสั่งถูกส่งออกไป แฮททาเวย์ก็หายตัวและมาถึงหอคอยเวทมนตร์อัลลินในทันที เดวีย์ ‘ผู้บุกเบิก’ รับภารกิจในการหยุดสโตนต่อจากนาง

ภายในคริสตจักรแห่งอาภา วงเวทการส่งผ่านขนาดใหญ่มีแสงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุม

เฟอร์นันโดยืนอยู่ไกลออกไปจากห้องโถงขนาดใหญ่และกำลังจะทำลายวงเวทการส่งผ่านด้วยเวท ‘ฟ้าคะนอง’

ในตอนนั้นเอง วีล่า อะเมลตัน ซึ่งคอยดูแลการรบจากอีกจุดหนึ่ง ก็ยิ้มออกมาด้วยความลิงโลด แสงศักดิ์สิทธิ์ระเบิดออกมาจากตัวของนาง มัดกล้ามเนื้อบนใบหน้าของนางบิดเบี้ยวไปมา และนางก็กลายเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่สวยงามยิ่งกว่าหญิงสาวคนไหน

ชายผู้นี้มีผมยาวสีทองและใบหน้าที่น่าเลื่อมใส ปีกสีขาวสยายออกจากแผ่นหลังของเขาอย่างรวดเร็ว หนึ่งคู่ สองคู่ สามคู่… สี่คู่… ร่วมกันมีปีกถึงสิบแปดคู่!

เขาคุกเข่าลงกับพื้นอย่างมีศรัทธา และจุดแสงบนปีกของเขาก็ส่องแสงสว่างเรืองรอง ด้านหลังเขามีภาพสะท้อนของหุบเขาวิมานทั้งเจ็ดชั้นปรากฏขึ้นอย่างเลือนลาง พร้อมกับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และเทวทูตสวรรค์กำลังขับขานเสียงเพลง และมีทูตสวรรค์เสราฟิมและแสงรัศมีเรืองรองอันไม่มีขอบเขต ณ สวรรค์ชั้นบนสุด

อย่างไรก็ตาม ภาพสะท้อนนี้ดูเลือนลางเกินกว่าภาพสะท้อนของพลังพระเจ้าเสด็จ นอกจากนี้ ณ สวรรค์ชั้นบนสุด ทูตสวรรค์ร่างยักษ์ผู้ถือพระคัมภีร์อยู่แทบเท้าของพระเจ้าแห่งสัจธรรมก็หายไป!

“ผู้ใดสวดภาวนาในนามของพระองค์ย่อมไม่เป็นอันตราย”

ชายผู้นั้นเริ่มสวดภาวนาด้วยเสียงอันแผ่วเบา ร่างของเขาดูเลือนลางอย่างรวดเร็วและแผ่พลังไปยังทุกสิ่งรอบตัวด้วยคลื่นพลังที่ดูเหมือนไม่ได้อยู่บนโลกนี้ คลื่นพลังกระจายออกอย่างรวดเร็วและเข้าปกคลุมวงเวทการส่งผ่านขนาดใหญ่

นัยน์ตาสีแดงของเฟอร์นันโดหรี่ลงเล็กน้อย “เมแคนทรอน ราชาทูตสวรรค์!”

แทนที่จะรีบลงมือโจมตีวงเวทการส่งผ่านขนาดใหญ่ เขากลับส่งสัญญาณอย่างใจเย็น

“แผนสาม”

………………………………………….