ตอนที่ 831-832

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.831 – เจ้าตำหนักนอก
  ความยินดีปรากฏบนใบหน้าเฉาฉิงเฟิงเขารีบไปหาเจ้าตำหนักและทำความเคารพ
  “ท่านเจ้าตำหนักโปรดมอบความยุติธรรมให้ข้าด้วย พวกมันชั่วร้ายป่าเถื่อนและกำลังจะหาทางทำลายฐานพลังของข้า”
  ขณะนั้นสามคนขี่เมฆบินมาจากส่วนลึกสุดของตำหนักนอก หนึ่งในนั้นเป็นสตรีแก่ผมขาวนามคงฉาน คนที่สองคือชายแก่เคราแพะนามฮั่ว
  สุดท้ายคือบุรุษยืนมือไพล่หลังเขาคือคนที่มีอำนาจเหนือสองคนแรก
  เขาสวมผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้มที่ดูธรรมดาปราศจากเครื่องตกแต่งเขาไม่ต่างจากชายแก่ทั่วไป แต่ดวงตาของเขาเฉียบคมราวกับมองทุกคนได้ทะลุปรุโปร่ง
  เลือดในกายซือหยูพุ่งพล่านเมื่อชายแก่มองเขาซือหยูที่ตกใจรีบใจเย็นลง ฐานพลังของชายแก่ผู้นี้ควรจะไปถึงจ้าวเทวะชั้นสูงแล้ว ซึ่งพลังนั้นมากกว่ารองเจ้าตำหนักทั้งสอง
  เจ้าตำหนักคงฉานและเจ้าตำหนักฮั่วนั้นเป็นรองเจ้าตำหนักขณะที่ชายแก่ตรงหน้าคือเจ้าตำหนักที่มีอำนาจสูงสุดในตำหนักนอก ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่มีพลังมากที่สุดในตำหนักนอก แม้แต่ทั้งตำหนักโลหิต พลังของเขาก็เป็นรองเพียงเจ้าสำนักซ้ายขวาเท่านั้น
  การปรากฏตัวของเขาทำให้ทุกคนเงียบลงทันทีเหล่าคนตลาดมืดจากทั้งสองฝั่งร้อนรนเมื่อเจอเขา เพราะเจ้าตำหนักนั้นขึ้นชื่อในเรื่องความเข้มงวดและโหดร้าย
  เจ้าตำหนักทำเป็นไม่ได้ยินเฉาฉิงเฟิงและมองคนตลาดมืดโดยรอบ
  เมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังจะเริ่มการต่อสู้ครั้งใหญ่เขาก็ตะโกนเสียงดัง
  “อุกอาจนัก!มิใช่ว่าพวกเจ้าพยายามอย่างหนักเพื่อให้ผ่านการทดสอบเข้ามาในตำหนักหรอกเรอะ? แต่ดูพวกเจ้าตอนนี้! ทำอะไรกันอยู่? พวกเจ้าไม่พยายามบ่มเพาะพลังแต่กลับรวมตัวกันเพื่อวิวาท พวกเจ้าจะมาตำหนักโลหิตทำไมกัน?”
  ทำพูดแทงทะลวงหัวใจทุกคนที่นี่เขาไม่ได้พูดผิดเลย ทุกคนที่เข้ามาในตำหนักโลหิตนั้นคือคนที่ผ่านความยากลำบากมามากมาย เจ้าตำหนักพลางสงสัย…เมื่อใดกันที่พวกเขาสมองกลวงและเสียหัวใจของยอดฝีมือไป?
  หลายคนก้มหน้าด้วยความละอาย
  เมื่อทุกคนสงบลงเจ้าตำหนักมองทั้งสองฝ่ายและถาม
  “พูดมา!บอกข้าว่าเกิดอะไรขึ้น?”
  เฉาฉิงเฟิงรีบพูดก่อนที่เสวี่ยฉีจะได้ตอบ
  “พวกมันเอาใช้พลังเอาเปรียบรังแกผู้คนสมคบพยายามจะทำลายฐานพลังข้า โชคดีที่ท่านมาทันการ…”
  “หุบปาก!ข้าไม่ได้ถามเจ้า!”
  เจ้าตำหนักมองเฉาฉิงเฟิงอย่างเยือกเย็นเฉาฉิงเฟิงส่งเสียงครวญเบาๆ โลหิตในกายหยุดไหลเวียน เขาเกือบจะกระอักเลือดออกมาอยู่แล้ว!
  นักเลงหลงหวาดกลัวมากเขารวบรวมความกล้าและพูดออกไป
  “พวกเราได้ยินว่ามีคนตลาดมืดสมคบจะสังหารผู้ค้ำประกันพวกเรารีบมาช่วยเพราะมันจะเป็นการทำให้ชื่อเสียงเรามัวหมอง”
  เมื่อเจ้าตำหนักได้ฟังคำอธิบายเขามองไปยังคนตลาดมืดฝั่งเฉาฉิงเฟิง
  “แล้ว…พวกเจ้าล่ะ?บอกความจริงข้ามา”
  ต่อหน้าพลังมหาศาลไม่มีกล้าโกหก ในตอนนั้น พยัคฆ์หยางได้ตอบ
  “ท่านเจ้าตำหนักเรื่องราวเป็นเช่นนี้…”
  เขาเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดเจ้าตำหนักฟังอย่างอดทนก่อนจะพูดอย่างดุดัน
  “ถ้าเช่นนั้น…อีกฝั่งก็ไม่ได้โกหกสินะ?”
  พยัคฆ์หยางพยักหน้า
  “เป็นเรื่องจริงท่าน”
  เฉาฉิงเฟิงหน้าซีดราวกับคนตายเขารู้ว่าทุกอย่างจบแล้ว
  “เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าอีกคำถาม”
  “เจ้าตำหนักถามขณะมองเฉาฉิงเฟิง”
  พยัคฆ์หยางตอบ
  “โปรดถามได้เลยท่านเจ้าตำหนัก”
  “ใครควบคุมเจ้าอยู่?”
  เจ้าตำหนักถามอย่างไร้อารมณ์
  ทุกคนตกตะลึงเมื่อได้ยินพวกเขาสงสัย…พยัคฆ์หยางกำลังถูกคนควบคุมอยู่งั้นรึ?
  เพราะพยัคฆ์หยางในวันนี้แปลกเกินไปมากเขาไม่ได้ดูเหมือนเต็มใจแสดงออก
  ซือหยูก็ตกใจ…เจ้าตำหนักผู้นี้ยอดเยี่ยมนัก!
  พยัคฆ์หยางสับสน
  “ท่านเจ้าตำหนักข้าไม่รู้ว่าท่านพูดอะไร….”
  เขาไม่รู้ตัวเลยว่าถูกคนควบคุมอยู่
  เจ้าตำหนักหรี่ตา
  “วิชาควบคุมวิญญาณอะไรกันแม้แต่คนที่ถูกควบคุมก็ไม่รู้ตัว! มิเพียงเท่านั้น แม้แต่คนที่นี่เองก็สัมผัสไม่ได้!”
  พยัคฆ์หยางหันกลับไปและหนีเจ้าตำหนักไม่ได้แปลกใจ เขามองรอบๆและพูดอย่างใจเย็น
  “คนที่ควบคุมเขาอยู่ใกล้ๆใครจะไปคิดเล่าว่าตำหนักนอกของเราจะมียอดฝีมือวิชาวิญญาณอยู่ด้วย?”
  เมื่อเขาพูดเขายกมือขึ้นดูดพยัคฆ์หยางที่บินหนีกลับมาและมัดเอาไว้
  เจ้าตำหนักใช้ดัชนีแตะพยัคฆ์หยางและส่งแสงไปยังดวงจิต
  พยัคฆ์หยางกระตุกไปทั้งตัวความเจ็บปวดปรากฏบนใบหน้า แต่ก็เพียงสามลมหายใจเท่านั้นก่อนที่เขาจะกลับมาเป็นปกติ
  เขามองรอบๆด้วยสายตาว่างเปล่าดวงตาของเขากลับมามีแววตามเดิม เขามองคนตรงหน้า
  “ทะ…ท่านเจ้าตำหนัก!”
  แค่ท่าทางของเขาตอนนี้ก็มากพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าเขาถูกคนควบคุมมาก่อน
  “เจ้าจำได้หรือไม่ว่าใครที่ควบคุมเจ้า?”
  เจ้าตำหนักมองรอบๆเขาดูสีหน้าของแต่ละคนอย่างตั้งใจ
  พยัคฆ์หยางส่ายหน้า
  “ความทรงจำหลังเข้าห้องฝึกของข้าถูกลบไป”
  ซือหยูดีใจมากที่รู้ว่าเขาลบความทรงจำทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาออกจนหมดหลังใช้วิชาคุมวิญญาณควบคุมพยัคฆ์หยางเขาลบความจำเผื่อไว้ว่าจะมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น และมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด!
  เจ้าตำหนักไม่พบเบาะแสจากสีหน้าของใคร
  “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใครแต่ถ้าหากเจ้ากล้าควบคุมศิษย์นอกและก่อเรื่องในตำหนักนอก ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ”
  ซือหยูใจสั่นเขาไม่คิดเลยว่าการกระทำของเขาจะทำให้เจ้าตำหนักสนใจ ซือหยูต้องระแวงเจ้าตำหนักแล้ว ชายแก่คนนี้ค่อนข้างเป็นเสี้ยนหนามสำหรับเขา!
  เจ้าตำหนักละสายตาจากพวกเขาและมองร่างไร้วิญญาณของคนสามคนจากนั้นจึงมองพยัคฆ์หยาง
  “เจ้าฆ่าสามคนนี้จริงใช่หรือไม่?”
  พยัคฆ์หยางใจเต้นแรงแม้เขาอยากจะส่ายหน้า แต่เมื่อเห็นแววตาเจ้าตำหนัก เขาก็สั่นไปทั้งตัวและไม่กล้าโกหก หลังจากลังเลไปพักหนึ่ง เขาคุกเข่าลงกับพื้นและอ้อนวอน
  “ท่านเจ้าตำหนักโปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเฉาฉิงเฟิงเป็นคนสั่งให้ข้าทำ ข้าไม่ได้อยากจะทำเลย”
  “ดี…เช่นนั้นไม่บอกเรื่องทั้งหมดกับข้าให้ชัดๆเล่า?”
  เจ้าตำหนักสีหน้าเยือกเย็นขณะที่พูด
  พยัคฆ์หยางเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียดอีกครั้งและมันก็เป็นเรื่องเดียวกันกับที่เขาเล่าในตอนที่ถูกควบคุมตัว ซือหยูที่ควบคุมพยัคฆ์หยางในตอนนั้นไม่ได้เล่าเรื่องโกหก ดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นความจริง
  “สรุปว่าเป็นเรื่องจริงเรอะ!ข้าคิดว่าคนที่ควบคุมเจ้าอยากจะใส่ร้ายเฉาฉิงเฟิง แต่ทุกอย่างเป็นความจริง!”
  เขาพูดอย่างแปลกใจ
  ทุกคนก็ตกตะลึงไม่แพ้กันแต่จะอย่างไรก็ไม่มีใครที่จะโกหกต่อหน้าเจ้าตำหนักได้
  เฉาฉิงเฟิงที่สบายใจเมื่อครู่ก่อนถูกพาดำดิ่งลงไปยังหลุมน้ำแข็งอีกครั้งเจ้าตำหนักมองทุกคนที่กำลังมองเขาโดยอยากจะให้ถูกลงโทษที่เหมาะสม ทุกคนจะไม่ไปไหนจนกว่าคนชั่วช้าอย่างเฉาฉิงเฟิงจะโดนลงโทษ!
  “นับแต่วันนี้ไปคนสำนักขวาห้ามเปิดตลาดมืดในตำหนักนอก ฐานพลังของคนที่ฝ่าฝืนกฎใหม่นี้จะถูกทำลาย”
  เจ้าตำหนักประกาศอย่างหนักแน่น
  ความตกใจปรากฏบนใบหน้าทุกคนเพราะดูเหมือนว่าเจ้าตำหนักอยากจะลบล้างอำนาจของเจ้าตำหนักขวาซือหยูเองก็ตกใจกับเรื่องราวนี้
  เพราะเจ้าตำหนักขวานั้นทำการค้ากับตำหนักนอกมาหลายปีเจ้าตำหนักก็ทำเป็นไม่รู้เห็น แต่เมื่อถึงตอนที่เฉาฉิงเฟิงพยายามจะทำร้ายคนบริสุทธิ์อย่างชางก่วนหยุนซื่อ นั่นทำให้เขาโกรธมาก เขาจึงขับไล่คนสำนักขวาทั้งหมดออกจากตำหนักนอก!
  เสวี่ยฉีดีใจมากนี่เป็นข่าวดีสำหรับพวกนาง กำไรจากตำหนักนอกนั้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตำหนักใน แท้จริงยังมีกำไรเยอะกว่าเป็นสิบเท่า นั่นจึงเป็นเหตุที่ตลาดมืดเฟื่องฟูนัก
  หลังจากตลาดมืดของเจ้าตำหนักขวาถูกขับไล่ไปในวันนี้ตำหนักนอกทั้งหมดจะถูกควบคุมโดยสำนักซ้าย และคนที่นำภารกิจครั้งนี้อย่างเสวี่ยฉีจะต้องได้รางวัลอย่างงาม
  “ส่วนเจ้าก็ควรจะจำเรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียน”
  เจ้าตำหนักพูดกับเสวี่ยฉีและคนฝ่ายนาง
  “ไม่เป็นไรหากตั้งตลาดมืดในตำหนักนอกการมีอยู่ของตลาดมืดเป็นสิ่งจำเป็น แต่ถ้ากล้าทำร้ายศิษย์สำนักเพราะเรื่องส่วนตัว เจ้าจะถูกขว้างออกจากตำหนักนอก”
  คำเตือนอันดุดันทำให้เสวี่ยฉีใจสั่นนางรีบตอบ
  “ท่านเจ้าตำหนักสบายใจได้แม้แต่โจรก็มีกฎและหลักการ พวกเราล้วนค้าขายอย่างสงบ เราไม่กล้าฝ่าฝืนกฎอยู่แล้ว”
  เจ้าตำหนักพยักหน้าช้าๆและมองเฉาฉิงเฟิง
  “เจ้าทำให้ตำหนักนอกมัวหมองในการทดสอบประจำฤดูในอีกห้าวัน เจ้าจะต้องขึ้นไปประลองกับซือหยูเซี่ยน ถ้าเจ้าชนะ ข้าจะปล่อยเจ้าไป แต่ถ้าแพ้ ข้าจะเอาชีวิตเจ้าเดี๋ยวนั้น”
  เจ้าตำหนักจัดการประลองโดยที่ไม่มีใครคาดคิด!ทุกคนมองหน้ากันและหันไปมองซือหยูด้วยความสบัสน…เจ้าตำหนักรู้จักซือหยูเซี่ยนด้วยรึ?
  แม้แต่ซือหยูเองก็สงสัย…เขารู้ว่าข้าเป็นคนบงการพยัคฆ์หยางงั้นรึ?
  แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นเขายังคงสงสัย…ทำไมถึงต้องทำเรื่องซับซ้อนอย่างการจัดประลอง แล้วให้ข้าตัดสินว่าเขาจะอยู่หรือตายกัน?
  เพราะตอนนี้เฉาฉิงเฟิงกำลังจนมุมเขาจะต้องสู้อย่างดุเดือดราวกับสุนัขจนตรอก เขาจะอันตรายมากในตอนนั้น…
  ข้าไปทำอะไรให้เจ้าตำหนักไม่พอใจตั้งแต่ตอนไหน?ข้าเพิ่งจะเจอเขาครั้งแรก ข้าทำอะไรลงไปกัน?
  ซือหยูมองเจ้าตำหนักคงฉานและเจ้าตำหนักฮั่วที่ยืนด้านหลังเจ้าตำหนักแต่ทั้งสองก็หลบตาเขาดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะไม่มีทางเลือกเช่นกัน
  “เอาล่ะจบได้แล้ว ส่วนการลงโทษคนร้ายเฉาฉิงเฟิง ข้าจะตัดสินในอีกห้าวัน”
  เจ้าตำหนักนำรองเจ้าตำหนักทั้งสองจากไป
  ผู้คนในลานก็ตามไปขณะส่งข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดทางคนตลาดมืดของสำนักขวาสีหน้าดำมืด
  พวกเขามองท้องฟ้าและคุกเข่าลงอย่างใจสลายส่วนพวกนักเลงหลงนั้นดีใจกระโดดโลดเต้น พวกเขากลับไปฉลองร่ำสุรา
  “ศิษย์น้องซือพวกเราขอบคุณเจ้ามาก เจ้ากำจัดศัตรูในตำหนักนอกของเจ้าตำหนักซ้ายไปได้ หากเจ้าตำหนักซ้ายได้ยินข่าว เขาจะต้องให้รางวัลเจ้าแน่นอน”
  เสวี่ยฉีตาเป็นประกาย
  โชคของซือหยูนั้นดีมากทุกครั้งที่นางได้เจอเขา นางจะได้รับพรจากโชคของเขาด้วย ตั้งแต่การเจอภูติผีในเขาวิญญาณจรัสอีกทั้งการมองเห็นตัวจริงของเจ้าตำหนักจาง สุดท้ายคือการกำจัดตลาดมืดของสำนักขวาที่ตำหนักนอก ซือหยูนำพาโชคดีไปยังทุกที่ที่เขาไป! และร่างกายของเขายังตระการตาน่ามอง ไม่ว่าใครจะติดตามไป พวกเขาย่อมได้เห็นปาฏิหาริย์
  ซือหยูส่ายหน้า
  “เจ้าอาจจะรู้เรื่องแล้วแต่ข้าปฏิเสธการเข้าร่วมสำนักซ้ายไป ข้าอยากจะไปตามวิถีของตน ข้าไม่สนใจสิ่งอื่นใด”
  เสวี่ยฉีผิดหวังแต่นางยังคงไม่ยอมแพ้
  “ไม่เป็นไรหากวันไหนเจ้าเปลี่ยนใจ เจ้ามาเข้าร่วมสำนักซ้ายได้ตลอดเวลา ข้าเชื่อว่าเจ้าตำหนักซ้ายจะต้อนรับเจ้าด้วยความยินดี เขาเป็นคนที่ให้ค่าคนมีพรสวรรค์”
  ซือหยูไม่สนใจ
  “ศิษย์พี่ข้าขอถามได้หรือไม่?”
  ซือหยูยังคงมีข้อสงสัยในเรื่องเจ้าตำหนักถึงสิ่งที่เขาถูกกระทำ
  เสวี่ยฉีพยักหน้า
  “ถามอะไรก็ได้ถ้าข้ารู้ ข้าจะบอกเจ้าแน่”
  “ข้าอยากถามว่าข้าทำผิดอะไรถึงทำให้เจ้าตำหนักโกรธกัน?ทำไมเขาจึงให้ข้าต้องต่อสู้กับเฉาฉิงเฟิงที่กำลังจนตรอก?”
  ซือหยูรู้ว่าอาจจะถามไปโดยไม่ได้คำตอบเพราะเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำผิดตอนไหน แล้วคนอื่นจะรู้ได้อย่างไร?
  แต่ซือหยูก็แปลกใจเมื่ออีกฝ่ายเบิกตากว้างและจ้องมองเขาเสวี่ยฉีตอบเขาด้วยน้ำเสียงแปลกๆ
  “เจ้าไม่รู้รึ?ข้าคิดว่าเจ้ารู้แล้วเสียอีก”
DND.832 – แผนการของสาวน้อย
  หา?ซือหยูอ้าปากค้าง
  “ข้าไม่รู้อะไรเลยศิษย์พี่เสวี่ยโปรดบอกข้าหน่อย”
  ในตอนนั้นเส้นเลือดได้ปูดขึ้นมาบนหน้าผากเสวี่ยฉี นางไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ขณะที่ตะโกน
  “แปลกนัก!แม้แต่ข้าก็รู้ว่าเจ้าทำให้เจ้าตำหนักโกรธ! เจ้านั่นแหละที่ต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว!”
  นางถาม
  “ไม่มีใครบอกเจ้าเลยรึว่าการเข้าตำหนักนอกคือการนำพาปัญหาใหญ่มาหาเจ้าในตอนที่เจ้าทดสอบในป่าขังภูติ์?”
  ข้าทำอะไรลงไปล่ะ?ซือหยูสับสนในทีแรก แต่ตอนนั้นเขาก็นึกขึ้นได้…เดี๋ยวสิ! เคยมีคนพูดแบบนั้นมาก่อน!
  ตอนที่ซือหยูออกมาจากป่าขังภูติในวันนั้นผู้เฒ่าหลี่ได้บอกซือหยูว่าเขากำลังชักนำปัญหามาหาตัวเองเมื่อสังหารหมาไม้แดงเนตรปีศาจที่เป็นภูติระดับห้า เขายังบอกให้ซือหยูหยุดรอหลังจากผ่านมัจฉาข้ามประตูมังกรเพราะเจ้าตำหนักคงฉานอยากจะคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว
  มันดูเหมือนกับเรื่องใหญ่หลวงในตอนนั้นแต่หลังจากที่ซือหยูได้แสดงพลังอย่างยอดเยี่ยมในการทดสอบมัจฉาข้ามประตูมังกร เรื่องนั้นก็จบลงโดยยังไม่สะสาง
  มันเกี่ยวกับเรื่องนั้นหรือ?ซือหยูสงสัยและถามด้วยความสับสน
  “เรื่องหมาไม้แดงเนตรปีศาจรึ?”
  เขาถามเพราะเขายังมีไข่ของหมาไม้แดงเนตรปีศาจอยู่ในแหวนมิติ
  เสวี่ยฉียิ้ม
  “รู้ตัวแล้วสินะใช่แล้ว…เพราะหมาไม้แดงเนตรปีศาจตัวนั้นแหละ”
  “ทำไมกัน?มันเป็นแค่ราชาสัตว์อสูรในหุบเขาร้อยสัตว์อสูรไม่ใช่รึ? มันก็แค่สัตว์อสูรภูติระดับห้ากระจอกๆ มันมีอะไรพิเศษนัก?”
  ซือหยูถามด้วยความแปลกใจ
  เสวี่ยฉีตอบอย่างเวทนา
  “หึหึไม่มีอะไรพิเศษหรอก แต่เจ้ารู้ไหมว่ามันคือสัตว์เลี้ยงของหลานสาวที่รักของเจ้าตำนัก? …ตอนนี้เจ้ารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่หรือยังล่ะ?”
  สัตว์เลี้ยงของหลานสาวเจ้าตำหนักงั้นเรอะ?ซือหยูถึงกับพูดไม่ออก
  เสวี่ยฉีพูดต่อ
  “หลานสาวของเจ้าตำหนักไปยังเขตกระบี่ไร้ใจเพื่อบ่มเพาะพลังนางทิ้งหมาไม้แดงเนตรปีศาจที่นางเลี้ยงเอาไว้ในหุบเขาร้อยสัตว์อสูรโดยไม่คิดเลยว่าเจ้าจะฆ่ามัน! แล้วตอนนี้ ถ้าหลานเขากลับมา นางจะเจ็บปวดมากแน่นอน”
  “เจ้าตำหนักที่รักหลานสาวยิ่งกว่าอะไรคงอยู่ไม่สุขทีนี้…เจ้ารู้สึกหรือยังว่าทำอะไรลงไป?”
  ซือหยูนิ่งเงียบเขาอยากจะสบถเสียตอนนี้ดังๆ
  ทั้งหมดเป็นเพราะหมาไม้เนตรปีศาจที่เป็นบ้ามาจู่โจมเขาจนเกิดเรื่องนี้ขึ้น!เพราะซือหยูถูกมันบังคับให้ต้องฆ่า แต่กลับกลายเป็นว่าเขาทำให้เจ้าตำหนักโกรธ!
  “หึหึเจ้าสบายใจได้ เจ้าตำหนักลงโทษสถานเบากับเจ้าเพียงเท่านั้น เพราะถ้าเขาโกรธจัด เจ้าก็คงไม่ได้อยู่ในตำหนักนอกจนถึงตอนนี้ เจ้าคงจะถูกไล่ออกไปนานแล้ว”
  เสวี่ยฉีพูดปลอบ
  “ข้าเชื่อว่าในการทดสอบประจำฤดูไม่ว่าเฉาฉิงเฟิงจะอยากมีชีวิตรอดแค่ไหน มันก็ไม่กล้าทำให้เจ้าเจ็บหนัก แต่เจ้าต้องมีบาดแผลสักหน่อย นี่อาจจะเป็นการลงโทษเดียวที่เจ้าตำหนักจะทำกับเจ้า”
  ซือหยูมุมปากบิดเบี้ยวเขาสับสนไปหมด
  “เอาล่ะข้าจะกลับเรือนท่านอาก่อน ข้าจะคุยกับเว่ยเจิงว่าจะจัดการเรื่องตลาดมืดของตำหนักนอกอย่างไรในเวลาอันสั้น ถ้าเจ้าต้องการสิ่งใดก็ไปบอกข้าได้”
  เสวี่ยฉีกล่าว
  ซือหยูพยักหน้าตอบเป็นเวลาเดียวกับที่ชางก่วนหยุนซื่อทนเจ็บเดินเข้ามาโดยมีชางก่วนเฟยพยุง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความละอาย เขาอับอายที่จะพูดกับซือหยู
  “น้องซือเป็นเพราะข้าไม่ฟังเจ้า ข้าสมควรได้รับสิ่งที่เกิดขึ้น ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก”
  ดูเหมือนว่าชางก่วนหยุนซื่อจะเจ็บปวดอย่างมาก
  เขาไม่ดูร่าเริงดังแต่ก่อนเขาดูหนักแน่นมั่นคงขึ้น ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ได้ส่งผลร้ายกับเขานัก เพราะเขาจะได้หยุดเสียเวลาเสเพลสักที เรื่องนี้แท้จริงคือเรื่องดีสำหรับเขา!
  “อย่าพูดเช่นนั้นพี่ชางก่วนเพียงแค่โดนหลอก ไม่ต้องขอโทษหรือขอบคุณข้า”
  ซือหยูโบกมือและปลอบ
  “ไปพักรักษาตัวให้หายเถอะเฉาฉิงเฟิงชั่วช้านั่นอาจจะแอบทำร้ายร่างกายพี่ในบางวิธีไว้แล้ว”
  ชางก่วนเฟยสีหน้าตึงเครียดเขารีบพูด
  “ใช่พี่หยุนซื่อฟังน้องซือจะดีกว่านะ”
  ชางก่วนหยุนซื่อพยักหน้าและประสานหมัดให้ซือหยูก่อนจะจากไปโดยมีชางก่วนเฟยคอยพยุงเขาหยุดเดินเมื่อพ้นระยะสายตาจากซือหยู แววตาเขาดูหนักแน่น
  “พี่หยุนซื่อมีอะไรรึ?”
  ชางก่วนเฟยถาม
  ชางก่วนหยุนซื่อตอบด้วยเสียงลึกล้ำ
  “เขียนจดหมายให้ข้าถึงชิงเอ๋อที่ตำหนักในขอให้นางนำวิชาลับห้าธาตุที่ตระกูลเราสืบทอดออกมา”
  “พี่หยุนซื่อ!พี่จะเอาสิ่งนั้นมาทำอะไร? นั่นมันวิชาลับที่เจ้าตระกูลชางก่วนสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น! เราสืบทอดมาตั้งแต่ครั้งโบราณ เจ้าตระกูลให้พี่ชิงเอ๋อดูแลชั่วครามเพราะพี่หยุนซื่อเอาแต่เที่ยวเล่น พี่หยุนซื่อจะเอามันไปทำอะไร?”
  ชางก่วนเฟยถามด้วยความตกใจ
  วิชาลับห้าธาตุเป็นสมบัติลับที่ตระกูลชางก่วนสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนว่ากันว่ามันมีสิ่งที่เชื่อมโยงกับหลายหมื่นปีก่อน
  ว่ากันว่าเวลานั้นตระกูลชางก่วนเป็นตระกูลใหญ่โตแต่ก็เสื่อมถอยเรื่อยมาจนเหลือเพียงเสี้ยวเดียว ตอนนี้ ตระกูลชางก่วนของพวกเขาเป็นเพียงแค่กิ่งก้านสาขาของตระกูลชางก่วนในอดีตเท่านั้น
  แต่ตระกูลเล็กเมื่อเทียบกับอดีตนี้ยังเก็บซ่อนสมบัติไร้เทียมทานวิชาลับห้าธาตุเอาไว้ มีเพียงสมาชิกแกนหลักของตระกูลเท่านั้นที่รู้เรื่องการมีอยู่ของมัน เจ้าตระกูลชางก่วนคนปัจจุบันอยากจะมอบมันให้กับชางก่วนหยุนซื่อแต่ชางก่วนหยุนซื่อนั้นหาได้ใส่ใจการบ่มเพาะพลังไม่ เขาจึงทำได้แค่ให้ชางก่วนชิงเอ๋อได้ดูแลสืบทอด เขาคิดล่วงหน้าไว้ว่าถ้าวันหนึ่งชางก่วนหยุนซื่อเป็นอะไรไป สมบัติลับจะได้ไม่สูญหายตามเขาไปด้วย
  “ข้าจะให้มันกับน้องซือ…”
  ชางก่วนหยุนซื่อพูดอย่างหนักแน่น
  เมื่อได้ยินชางก่วนเฟยกระโดดขึ้นด้วยความกลัว
  “พี่หยุนซื่อบ้าไปแล้วรึ?นั่นสมบัติของตระกูลเรานะ จะให้คนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง? แม้แต่พี่ชิงเอ๋อก็ไม่ยอม ไม่ต้องพูดถึงเจ้าตระกูลเลย!”
  ชางก่วนหยุนซื่อยกมือขึ้นความเป็นเด็กหนุ่มของเขาหายไปสิ้น เขาดูเฉลียวฉลาดขึ้นมา
  “อีกไม่นานตระกูลเราจะถูกทำลายใยต้องปกป้องสมบัติลับอยู่อีก? ร้อยปีผ่านมาแล้วหลังการตายของจักรพรรดิเฉินอี้เจิง ตั้งแต่ตอนนั้นทวีปจิวโจวปั่นป่วน ตระกูลนับไม่ถ้วนถูกลบหาย”
  “ไม่นานนี้ดินแดนพรสวรรค์ยังถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายตระกูลหลายสำนักถูกทำลาย ตระกูลชางก่วนเราอาจจะดูไม่เป็นอะไรแต่แท้จริงมีอันตราย …ถึงเวลาแล้วที่เราต้องหาคนสนับสนุน!”
  แม้จะได้ยินเหตุผลชางก่วนเฟยก็ยังสับสน
  “พี่หยุนซื่อพูดไม่ผิดเลยจิวโจวสงบสุขมาเกินร้อยปี แต่เรื่องเลวร้ายจะเริ่มขึ้นอีกแน่ ทุกสำนักและตระกูลพยายามหาคนหนุนหลัง แล้วใยเราไม่หาคนที่เชื่อถือได้มากกว่าเล่า? เรามีสมบัติลับเช่นนี้ หากให้เจ้าตำหนักซ้ายหรือขวาหรือแม้กระทั่งท่านเจ้าตำหนักม่อเทียนฉวน เราจะไม่ได้รับการปกป้องที่ดีกว่ารึ?”
  “ใยพี่หยุนซื่อพูดเรื่องตลกเช่นนี้?คิดจะให้ซือหยูเซี่ยนปกป้องตระกูลเรารึ? เขาก็แค่คนธรรมดา ถึงจะสู้กับคนที่พลังสูงกว่าได้ แต่เขาจะสู้กับจ้าวเทวะได้หรือ?”
  ชางก่วนเฟยเต็มไปด้วยข้อกังขา
  ชางก่วนหยุนซื่อส่ายหน้า
  “เจ้าคิดผิดแล้วพลังของน้องซือมิได้เรียบง่ายดังเจ้าเห็น เจ้าไม่สังเกตเลยหรือว่าคนที่ต่อต้านเขามีจุดจบเช่นใด? เริ่มตั้งแต่เฉาเอวี่ยหมิงจนถึงเฉาฉิงเฟิง กระทั่งสองจ้าวเทวะที่ไปเขาวิญญาณจรัส ไม่มีใครพบจุดจบที่ดีทั้งนั้น คนอื่นมองเห็นเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ข้ามองทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะมือน้องซือ!”
  “หากข้าเดาถูกยอดฝีมือมีวิชาคุมวิญญาณที่เจ้าตำหนักพูดถึงก็คือน้องซือไม่ผิดแน่! ข้าคิดไม่ออกเลยว่าใครจะเสี่ยงเพื่อข้า คนผู้นั้นถึงกับควบคุมพยัคฆ์หยางพลิกสถานการณ์กลับ ซือหยูต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์วิญญาณแน่!”
  เขาโต้แย้งอีก
  “พลังที่แท้จริงของน้องซือน่ากลัวมากการให้เขาดูแลตระกูลชางก่วนนับว่าเป็นทางเลือกที่ดี”
  ชางก่วนหยุนซื่อตาเป็นประกายแม้เขาจะดูสะเพร่าไม่เอาใจใส่ เขาก็ยังมีพลังการประเมินผู้คนที่ดี
  เมื่อได้ฟังชางก่วนเฟยลังเลแต่ยังคงเคลือบแคลง
  “ข้าก็ยังคิดว่าส่งวิชาลับห้าธาตุให้คนที่มีพลังสูงกว่าอย่างเจ้าตำหนักซ้ายขวาหรือม่อเทียนฉวนเป็นทางเลือกที่ดีกว่าอยู่ดี”
  “มันไม่ง่ายอย่างที่เจ้าคิด!”
  ชางก่วนหยุนซื่อส่ายหน้าดวงตาของเขายังคงเปล่งประกาย
  “วิชาลับห้าธาตุมีความลับมากมายอยู่เบื้องหลังหากเสนอให้พวกเขา ตระกูลชางก่วนจะไม่ถูกปกป้อง ซ้ำร้ายยังถูกต่อรองเค้นเอาด้วยกำลัง พวกเราอาจถูกฆ่าล้างตระกูลเสียด้วยซ้ำ!”
  เขาถอนหายใจ
  “แทนที่จะให้ตระกูลเราเป็นเช่นนั้นใยไม่มอบให้คนอื่นเพื่อแลกกับการปกป้องในยามที่ตระกูลเราตกต่ำเช่นนี้เล่า? ด้วยเหตุผลกลนี้ ข้าเลยไม่คิดจะเปิดเผยให้คนที่ไม่น่าเชื่อถือ!”
  “น้องซือน่ะข้าสังเกตดูแล้ว นี่คือคนที่รับรู้น้ำใจและตอบแทนเสียหลายเท่า ในอดีตเมื่อข้าพาเขามาตระกูลชางก่วนและมอบปีกวารีเก้าสวรรค์ให้ น้องซือช่วยพวกเจ้าทุกคนในป่าขังภูติ พอถึงวันนี้ น้องซือไม่ลังเลที่จะช่วยข้าไม่ว่าจะต้องทำประการใด เพียงเท่านี้ก็บอกได้แล้วว่าน้องซือเชื่อใจได้!”
  ชางก่วนเฟยเงียบกริบเขาเริ่มใจอ่อนด้วยเหตุนี้
  …
  หลังจากซือหยูออกจากลานเขากลับไปยังเขาอสูร เมื่อเข้าไปก็มีกงซุนหวูซื่อทักทาย นางสวมชุดดำฟูฟ่อง
  นางต้อนรับซือหยูด้วยรอยยิ้มพลางกอดแขน
  “พี่หยูเซี่ยนไม่เป็นไรนะ?”
  ซือหยูยิ้มเมื่อเขาได้พบกับอสูรน้อยสองหน้าผู้นี้ นางก็ทำใบหน้าแบบเดียวกัน นั่นทำให้เขาสงสัย…ครั้งนี้นางจะมาไม้ไหนอีก?
  “ข้าไม่เป็นไรข้าจะอยู่เรือนเจ้าสักสองสามวัน ขออภัยที่ทำให้เจ้าลำบาก”
  ซือหยูกล่าว
  กงซุนหวูซื่อตบอกแบนราบของนาง
  “ไม่ต้องเป็นห่วงใครๆก็รู้ว่าข้าน่ะใจดี!”
  “ทำไมเจ้าต้องพูดให้ตีความตรงข้ามไม่หยุดหย่อนแบบนี้!”
  ซือหยูรู้จักแม่สาวน้อยสองหน้านี้ดีจนเกินไปคำพูดของนางทำให้เขาต้องระแวงแทบทุกคำ
  …
  เรือนของกงซุนหวูซื่อสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ทั้งยังกว้างขวางเพราะมีถึงสองห้องนอน
  “ข้าจะอยู่ชั้นบนพี่หยูเซี่ยนอยู่ชั้นล่างก็แล้วกัน”
  กงซุนหวูซื่อกล่าว
  “พี่หยูเซี่ยนต้องเหนื่อยแน่เลยข้าเพิ่งจะต้มชาไว้สองถ้วย รอเดี๋ยวนะ ข้าจะไปเอาชามาให้”
  ซือหยูพยักหน้าและรออย่างอดทนบนเก้าอี้หินเขามองรอบๆ แม้จะเป็นแค่เพียงการมองรอบๆ เขาก็ใช้เนตรวิญญาณมองทะลวงกำแพงไป เขามองเห็นทุกท่วงท่าของกงซุนหวูซื่อ เขาไม่มีทางวางใจดื่มชาของแม่สาวสองหน้าคนนี้แน่!
  เมื่อมองดีๆซือหยูก็มุมปากบิดเบี้ยว อสูรน้อยชงชาไว้สองถ้วยก็จริง แต่นางกำลังถือขวดโอสถสีม่วงและรินของข้างในขวดลงในถ้วยหนึ่ง!
  อสูรน้อยระมัดระวังอย่างมากนางกลัวที่จะสัมผัสกับผงสีม่วงในขวด นั่นทำให้ซือหยูรู้ว่าผงสีม่วงนี้น่ากลัวแค่ไหน!
  จากนั้นอสูรน้อยก็ยกชาทั้งสองถ้วยมาที่ห้องของซือหยูนางยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะยิ้มบางๆอย่างเคยเมื่อเข้ามาในห้อง
  “พี่หยูเซี่ยนข้าเอาชามาแล้ว”
  นางบอก
  รอยยิ้มจอมปลอมของนางมาพร้อมกับลักยิ้มสองจุดที่มุมปากนางน่ารักมากเมื่อผลักถ้วยชาให้ซือหยู
  ซือหยูมองชาและหัวเราะในใจ…หึอยากจะแกล้งข้าตั้งแต่ก่อนไปเขาวิญญาณจรัสแล้วสินะ เดี๋ยวเจ้าจะได้ลิ้มรสยาของเจ้าเอง!
  “พี่หยูเซี่ยนเป็นอะไรเหรอ?ชาข้าดูไม่อร่อยหรือ?”
  กงซุนหวูซื่อลืมตาราวอัญมณีกว้างนางรอให้เขาจิบชาที่นางชงให้
  ซือหยูรับแก้วด้วยมือขวาและพูดด้วยรอยยิ้ม
  “ก็ได้ข้าจะดื่ม เจ้าก็ดื่มของเจ้าด้วย”
  กงซุนหวูซื่อกระพริบตาเมื่อเห็นว่าซือหยูดื่มทุกหยดของชาไปหมดแล้ว นางก็แสร้งทำเป็นจิบชาหลายอึก นางไม่รู้ตัวเลยว่ามีแสงสีขาวปรากฏพริบตาเดียวที่มือขวาของซือหยูขณะที่แสงสีแดงก็ฉายผ่านตาขวาพร้อมกัน