ตอนที่ 834-835

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.833 – แดนมณีมหัศจรรย์
  “อร่อยไหมพี่หยูเซี่ยน?”
  รอยยิ้มอ่อนหวานปลอมๆฉายผ่านใบหน้าของอสูรน้อย
  ซือหยูพยักหน้า
  “อร่อยดีนะ”
  รอยยิ้มของอสูรน้อยอ่อนหวานยิ่งขึ้นเมื่อความเจ้าเล่ห์ปรากฏผ่านแววตา
  “หึหึพี่หยูเซี่ยน น่าอายจริง แต่ข้าต้องขอโทษพี่นะ”
  ซือหยูตกใจ
  “ทำไมเจ้าต้องขอโทษล่ะ?”
  ในที่สุดอสูรน้อยจึงเผยคมเขี้ยวออกมานางพูดด้วยรอยยิ้ม
  “ข้าเผลอรินผงท้องร่วงดับเก้าสวรรค์ของพี่ชานเหลียงใส่ชาไปน่ะข้าไม่ได้ตั้งใจเลย พี่หยูเซี่ยน ข้าขอโทษจริงๆนะ”
  ผงท้องร่วงดับเก้าสวรรค์งั้นรึ?มันเป็นผงที่จะทำให้คนที่กินอยู่บนเตียงนานสามเดือน จะกินหรือดื่มสิ่งใดไม่ได้ทั้งนั้น!
  ซือหยูใบหน้าดำมืด
  “หวูซื่อทำไมเจ้าถึงเอาแต่ก่อเรื่อง? เอายาแก้พิษมาเดี๋ยวนี้! ถ้าไป่ชานเหลียงปรุงพิษได้ เขาก็ควรจะปรุงยาแก้พิษได้ง่ายๆสินะ?”
  เม็ดเหงื่อไหลซึมบนหน้าผากซือหยูเขาหน้าซีดขณะที่ใช้มือแตะหน้าท้อง
  “โอ้?ยาออกฤทธิ์เร็วขนาดนี้เชียวรึ?”
  อสูรน้อยตกใจนางหัวเราะชอบใจด้วยความตื่นเต้น
  “ซือหยูเซี่ยนสุดท้ายเจ้าก็เสร็จข้า!”
  ซือหยูหน้าแดงก่ำ
  “หวูซื่อเจ้าหมายความว่ายังไง? ทำไมเจ้าต้องทำกับข้าแบบนี้?”
  อสูรน้อยยืนมือไพล่หลังและกระโดดไปที่ด้านหน้าซือหยูอย่างภูมิใจนางหน้าแดงระเรื่อ
  “หึหึแล้วเหตุใดข้าต้องบอกเจ้าด้วยเล่า? พิษซึมเข้าร่างเจ้าไปแล้ว เจ้าจะเข้าร่วมการทดสอบประจำฤดูไม่ได้แน่นอน ใช่ไหม?”
  นางยิ้ม
  “ข้าได้ยินว่าเจ้าตำหนักจัดการประลองระหว่างเจ้ากับเฉาฉิงเฟิงคงน่าเสียดายที่เขาจะลงโทษหากเจ้าไม่เข้าทดสอบ…”
  ซือหยูชักสีหน้า
  “เจ้าต้องการอะไร?เจ้าไม่ได้วางยาข้าโดยไม่มีเหตุผลใช่ไหม?”
  “หึหึเจ้าฉลาดดี แต่ถ้าเจ้าอยากได้ยาถอนพิษ เจ้าต้องให้สิทธิ์ของข้าคืนมา!”
  อสูรน้อยเผยเป้าหมายที่แท้จริงของนาง
  ซือหยูตกตะลึง
  “สิทธิ์อะไรของเจ้า?”
  อสูรน้อยกอดอกและพูดด้วยความโมโห
  “ยังแกล้งโง่อยู่อีก!เจ้าเป็นคนที่ทำลายร่างเงาที่ข้าทิ้งเอาไว้ในขั้นห้าสิบของมัจฉาข้ามประตูมังกรใช่ไหม?”
  ซือหยูพยักหน้า
  “ใช่ข้าได้ตรามัจฉามังกรมา มีคนบอกข้าว่ามันมีสิทธิ์พิเศษแฝงอยู่ นี่น่ะรึที่เจ้าพูดถึง?”
  อสูรน้อยถอนหายใจแรงและชูคอสูงราวกับกำลังจะพูด
  “ตอนนี้เจ้าก็รู้แล้วทำไมยังไม่คืนมันให้ข้าอีก?”
  “สิทธิ์มันใช้ได้ด้วยรึ?”
  ซือหยูถาม
  อสูรน้อยจ้องมองเขานางพยายามปั้นหน้าโมโห
  “เจ้าจะถามข้าไปทำไม?เจ้าจะเอายาถอนพิษไหม? เจ้าจะต้องเจ็บปวดแน่ถ้าไม่มีมัน!”
  จากนั้นอสูรน้อยถึงตกตะลึงเมื่อเห็นว่าเม็ดเหงื่อบนหน้าผากซือหยูหายไป หน้าซีดเซียวของซือหยูกลับมามีสีสันตามเดิม เขาปล่อยมือที่จับหน้าท้อง
  “เจ้าไม่เจ็บเรอะ?”
  อสูรน้อยเบิกตากว้างนางไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันสั้น
  ซือหยูพูดเบาๆกับตัวเอง
  “นานสินะกว่าที่ยาจะออกฤทธิ์”
  ในตอนนั้นเองอสูรน้อยตกใจกลัว นางใช้มือจับท้องของตัวเองและร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด! ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน
  “ท้องข้าเป็นอะไร?”
  ซือหยูที่ฟื้นตัวแล้วแสยะยิ้ม
  “ก็ฤทธิ์ผงท้องร่วงดับเก้าสวรรค์น่ะสิ!”
  อสูรน้อยอ้าปากค้าง
  “เป็นไปไม่ได้!ข้ารินใส่แก้วเจ้าไปแล้ว ข้าจะดื่มมันเองได้ยังไง?”
  นางชัดเจนในวิธีการชงชาทั้งสองถ้วยนางแน่ใจว่าชาของนางนั้นสะอาดหมดจด
  “เจ้าไม่ต้องสนใจหรอกเจ้าแค่ตั้งใจตอบคำถามข้าก็พอ”
  ตอนนี้กลายเป็นเวลาที่ซือหยูตั้งคำถาม
  อสูรน้อยพบว่าตัวเองกำลังจะแย่นางกัดฟันและหนีขณะที่จับท้องตะโกน
  “พี่หวูชิงช่วยด้วย!ซือหยูเซี่ยนจะข่มขืนข้า!”
  แต่ก่อนที่นางจะได้ก้าวหนีฝ่ามือที่แข็งแรงดั่งเหล็กกล้าได้คว้าไหล่ซ้ายของนางเอาไว้ ขณะที่มืออีกข้างเอื้อมไปปิดปากนาง ประตูปิดเมื่อสายลมพัดจากการเตะขาของซือหยู ด้วยผลการป้องกันเสียงจากเรือน แม้ว่าอสูรน้อยจะตะโกนสุดเสียง คนด้านนอกก็จะไม่ได้ยินนาง
  “อ๊าาา!ไอบัดซบ! เจ้าจะทำอะไรข้า? เจ้าระวังให้ดีเถอะ ข้าจะกัดเจ้าให้ตายเลย!”
  อสูรน้อยหันไปพูดกับซือหยูอย่างดุร้าย
  ซือหยูปล่อยมือที่ปิดปากนางแต่อีกมือยังคงจับไหล่นางเอาไว้แน่น
  “ข้าแค่อยากให้เจ้าตอบคำถามข้าสักหน่อยถ้าเจ้าชักช้าจนยาออกฤทธิ์ เจ้าก็จะจ้องด่างพร้อยต่อหน้าข้า”
  “ฝันไปเถอะ”
  อสูรน้อยสะบัดตัว
  นางเป็นภูติระดับเก้าพลังชีวิตและพลังกายของนางแข็งแกร่งกว่าซือหยูหลายเท่า! แต่เมื่อนางใช้พลังชีวิตใบหน้านางก็บิดเบี้ยว เม็ดเหงื่อผุดออกจากหน้าผาก
  นั่นก็เพราะผลของยาแม้ว่านางจะใช้พลังชีวิตเพียงเล็กน้อย ความเจ็บแปลบจากท้องก็ส่งผ่านจนนางมิอาจใช้พลังได้ นี่คือฤทธิ์อันมหัศจรรย์ของผงท้องร่วงดับเก้าสวรรค์ มันส่งผลแม้กระทั่งการไหลเวียนพลังชีวิตของนาง!
  มิเพียงแต่อสูรน้อยจะใช้พลังชีวิตไม่ได้แต่พลังชีวิตของนางยังไหลย้อนกลับ นั่นทำให้ร่างเล็กๆของนางล้อมลงอย่างอ่อนแรง ซือหยูยื่นขารับร่างของนางเอาไว้จากนั้นจึงขยับขายกก้นเล็กกลมของนางขึ้นมา ร่างของนางนอนพิงอยู่กับขาของซือหยู
  “อ๊าก!บัดซบ! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นข้าจะ…”
  อสูรน้อยกัดกันแยกเขี้ยวขณะที่ปัดมือทั้งสองใส่เขา
  ซือหยูหัวเราะเบาๆ
  “สิทธิ์ขั้นที่ห้าสิบใช้ยังไง…แล้วทำไมเจ้าถึงอยากได้มันนัก?”
  เขาเห็นแล้วว่าอสูรน้อยจ่ายหนึ่งแสนคะแนนเพียงเพื่อท้าทายมัจฉาข้ามประตูมังกรอีกครั้งเพื่อทวงสิทธิ์กลับมา
  “ข้าไม่บอกหรอกและถ้าเจ้าไม่บอกข้า ข้าจะเริ่มตะโกนแล้ว”
  อสูรน้อยยังคงดื้อด้าน
  เพี๊ยะ!
  แต่เมื่อนางพูดจบนางก็โดนตีก้นอย่างไร้ปรานี! อสูรน้อยต้องหยุดพูดและสั่นไปทั้งตัวอย่างรุนแรงราวกับโดนฟ้าผ่า
  ใบหน้าเล็กน่ารักแดงก่ำนางทั้งโกรธและกลัว
  “นี่เจ้า!ทำอะไรลงไป? เจ้ากล้าตีก้นข้าเร…”
  เพี๊ยะ!
  นางโดนตีก้นอีกครั้งนางสั่นทั้งตัว นางหน้าแดงราวกับโลหิต
  “เจ้ามันไร้ยางอายแถมตัณหากลับข้าเป็นผู้หญิ…อ๊าาาา!”
  ซือหยูยิ้มอย่างชั่วร้าย
  “เจ้าก็แค่เด็กสิบขวบเจ้าเป็นแค่เด็กในสายตาข้า”
  อสูรน้อยแทบจะร้องไห้นางพูดอย่างโศกเศร้า
  “ใครบอกว่าข้าเป็นเด็กสิบขว…”
  เพี๊ยะ!
  ซือหยูไม่คิดจะฟังนางและตีก้นนางอีกครั้งอสูรน้อยระเบิดความโกรธออกมา
  “พูดมาหรือไม่ข้าจะตีเจ้าจนยาออกฤทธิ์ เจ้าไม่อยากจะมัวหมองต่อหน้าบุรุษใช่หรือไม่?”
  ซือหยูพูดอย่างซุกซนเพราะเด็กสาวใจดำอย่างนางมักจะทำร้ายผู้คน และตอนนี้นางถึงกับพยายามทำร้ายเขา
  อสูรน้อยทั้งโมโหและอับอายแต่เมื่อนางเสียเปรียบ นางก็ทำได้แค่อดทน
  “ก็ได้ข้าจะบอกเจ้า ตั้งแต่ขั้นห้าสิบขึ้นไป แต่ละขั้นของมัจฉาข้ามประตูมังกรจะมีสิทธิ์พิเศษ หากยืนอยู่บนขั้นห้าสิบจะมีสิทธิ์เป็นเจ้าของร้านในเมืองเทียนหยา”
  นางตอบอย่างเศร้าหมอง
  “เมืองเทียนหยารึ?”
  ซือหยูสับสนเขาไม่รู้ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร
  อสูรน้อยพูดเพิ่มเติม
  “เมืองเทียนเหยาเป็นเมืองชายแดนระหว่างดินแดนพรสวรรค์กับเขตกลางมันเป็นเมืองการค้าใหญ่ที่มียอดฝีมือกับพ่อค้าอยู่เยอะ ดินแดนพรสวรรค์มีสัตว์อสูรทุกประเภทและสมบัติตามธรรมชาติ ขณะที่เขตกลางอุดมไปด้วยโอสถวิญญาณกับสมบัติวิเศษ”
  นางพูดต่อ
  “ด้วยเหตุนี้การค้าที่เมืองเทียนหยาจึงรุ่งเรืองจนกลายเป็นเมืองการค้าที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนพรสวรรค์ สำนักทั้งหมดไปตั้งร้านค้าที่นั่น”
  “สิทธิ์ขั้นห้าสิบจะให้ไปจัดการดูแลการค้าที่เมืองเทียนหยาเจ้าจะได้เป็นเจ้าของร้านตลอดเดือน และถ้าขายได้ตามเป้า เจ้าจะได้รางวัลหนึ่งหมื่นคะแนน หากขายได้เหนือกว่าเป้าก็จะได้คะแนนที่มากกว่า”
  ซือหยูเริ่มตกใจเมื่อได้ฟังข้อมูล
  “ว้าว!ไม่รู้เลยว่ามีแบบนี้ด้วย! เจ้าแน่ใจใช่ไหม?”
  “เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก”
  อสูรน้อยไม่อธิบายไปมากกว่านี้นั่นทำให้เขารู้สึกว่านางยังคงปิดบังบางอย่างจากเขา แต่ซือหยูก็ไม่ได้ถามไปมากกว่านี้เพราะมันเป็นแค่เรื่องส่วนตัวของนาง เขาจะไม่ยุ่งเกี่ยว
  “ข้ายังมีอีกคำถามหากเจ้ามีคะแนนมากอยู่แล้ว ทำไมเจ้าถึงอยากได้คะแนนอีก?”
  ซือหยูค่อนข้างสงสัยในเรื่องนี้
  เมื่อนางได้ฟังอสูรน้อยก็มองเขาอย่างงุนงง
  “เจ้าไม่รู้เหรอว่าทุกคนเก็บคะแนนเพื่อแดนมณีมหัศจรรย์?”
  “แดนมณีมหัศจรรย์รึ?”
  เขาพูดซ้ำดูเหมือนว่าเขาจะเคยได้ยินปิงหวูชิงพูดถึงเรื่องเหตุผลที่นางอยู่ในตำหนักนอกมาก่อน และเหตุผลนั้นก็คือแดนมณีมหัศจรรย์
  อสูรน้อยกลอกตา
  “ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าเข้ามาในตำหนักโลหิตได้ยังไงโดยไม่รู้จักกระทั่งแดนมณีมหัศจรรย์มันคือสถานที่ที่จักรพรรดิจิวโจวทิ้งเอาไว้ สิ่งสืบทอดของเขาทั้งหมดอยู่ที่นั่น”
  นางอธิบาย
  “มันจะปรากฏทุกร้อยปีและครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้นก็คืออีกครึ่งปีนี้ ถ้าศิษย์ตำหนักโลหิตอยากจะเข้าไปก็ต้องซื้อสิทธิ์ในการเข้าสี่แสนคะแนน”
  “ศิษย์นอกในที่แข็งแกร่งทั้งหมดพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะเก็บคะแนนให้มากพอและข้าก็ยังขาดอีกหลายแสนคะแนน ข้าถึงต้องทำทุกวิถีทางให้ได้มา พี่หวูชิงกับคนอื่นๆก็ด้วย แต่เจ้ากลับไม่รู้!”
  ซือหยูตกใจอย่างมากกับคำพูดของนางสถานที่ที่จักรพรรดิจิวโจวทิ้งเอาไว้รึ?
  จักรพรรดิจิวโจวในอดีตที่เหล่าผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของทวีปจิวโจวดังนั้นพวกเขาจึงไร้เทียมทานและไร้ผู้ต่อกร ฐานพลังของพวกเขาก้าวข้ามอสูรเนรมิตรไปจนถึงขอบเขตที่ไม่มีใครรู้จัก!
  เฉินอี้เจิงนั้นกำลังจะได้เป็นจักรพรรดิจิวโจวและเขาก็เป็นคนที่สร้างทวีปเฉินหลงขึ้นมาใหม่ขณะที่บาดเจ็บสาหัสปางตาย
  เมื่อคิดถึงภารกิจใหญ่หลวงครั้งนั้นซือหยูมิอาจหยุดสงสัย…เหล่าจักรพรรดิจิวโจวแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่? ซือหยูใจเต้นแรงกว่าเดิม เพราะสิ่งสืบทอดของเขาควรจะเป็นเอกลักษณ์ในจิวโจว
  “ทุกสำนักบนโลกและทั้งเก้าเขตอยากจะเข้าไปและรับผนึกของจักรพรรดิจิวโจวเช่นเดียวกับราชาแต่ละเขต บอกได้ว่ามันคือซากที่จะทำให้ทั้งจิวโจวระส่ำระสาย…”
  “ถ้ามีคนได้มณีของจักรพรรดิภูติทั้งหมดนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะเปลี่ยนชะตาของทั้งทวีปและเปลี่ยนโครงสร้างของโลกทั้งใบ!”
  ซือหยูสนใจเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าจากนางเขาตัดสินใจว่าจะต้องไปยังซากแห่งนี้ให้ได้ ซือหยูคิดว่าเขาอาจจะได้โอกาสอันยอดเยี่ยมที่นั่น และจะดีกว่าการที่เขาบ่มเพาะพลังเงียบๆในตำหนักโลหิตด้วย
  แต่เมื่อคิดถึงเงื่อนไขการเข้าที่ต้องใช้สี่แสนคะแนนก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นเพราะตอนนี้เขามีคะแนนเหลือเพียงสองพันคะแนน มันไม่พอที่จะใช้หนี้ของตัวเองด้วยซ้ำ! ดังนั้นเขาจะต้องใช้สิทธิ์พิเศษที่อสูรน้อยอยากได้ไปยังเมืองเทียนหยา
  “ปล่อยข้าได้แล้ว!”
  อสูรน้อยหน้าแดงก่ำนางทั้งละอายและตื่นตระหนก นางรู้ว่าอีกไม่นานพิษจะออกฤทธิ์แล้วนางจะขายหน้า
  เมื่อได้คำตอบซือหยูปล่อยนาง อสูรน้อยที่กำลังหนีสบถตลอดทาง นางหันมาจ้องมองซือหยูด้วยความมุ่งร้าย
  “บัดซบ!เจ้าจำไว้เลย มันจะไม่จบแค่นี้แน่!”
  ซือหยูหัวเราะเบาๆแต่เมื่อเขากลับมาพักที่ห้อง สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป เขามองรอบๆก่อนจะเข้าห้องปิดหน้าต่าง เขาหยิบตราสีม่วงออกมาจากแหวนมิติ
  มันคือตราที่เขาได้มาจากเสี่ยวเถาผู้เป็นสาวใช้ของหยวนหวังปี่ในอดีต ภารกิจได้ปรากฏขึ้นมา มันคือภารกิจที่ช่วยซือถูหยางจากตระกูลซือถูเข้าสู่ตำหนักโลหิต
  ซือหยูแทบจะลืมเรื่องตรานี้ไปแล้วแต่จู่ๆมันก็ตอบสนอง มิเพียงแต่มจะเปล่งแสงสีม่วง มันยังร้อนจัดอีกด้วย!
  ซือหยูมองดูมันใกล้ๆและพบชุดข้อความเล็กๆ…
  ยินดีด้วยที่ผ่านการทดสอบโปรดมาที่ป่าขังภูติเพื่อสลักนามของเจ้าและกลายเป็นสมาชิกสีม่วงของผาบั่นภูติอย่างเป็นทางการ
DND.834 – คำสั่งจากผาบั่นภูติ
  ซือหยูตาลุกวาวเมื่อถือตราเขาแฝงตัวในเงามืดเพื่อออกจากตำหนัก เขาแอบไปยังหุบเขาร้อยสัตว์อสูรที่ป่าขังภูติ
  หลังผ่านไปครึ่งวันซือหยูผู้ระมัดระวังไปถึงทางเข้าหุบเขา เขาไม่พบใครที่อยู่ใกล้เคียง แต่เมื่อซือหยูกำลังจะค้นหาโดยรอบ จู่ๆข้อความที่เขียนบนตราสีม่วงก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
  มันอ่านว่า…เปลี่ยนจุดนัดพบมุ่งหน้าตะวันตกสามหมื่นลี้
  ตราเปลี่ยนข้อความหลายครั้งจนเมื่อครึ่งวันผ่านไปซือหยูจึงเจอจุดนัดพบ ซือหยูทำตามเส้นทางและมาถึงทางเข้าหุบเขาร้อยสัตว์อสูรอีกครั้ง
  ชายสวมหน้ากากสีเงินยืนมือไพล่หลังรออยู่ซือหยูจำชายคนนี้ได้เพราะเขาเป็นชายสวมหน้ากากคนเดียวกับที่รับคนช่วยตระกูลซือถู
  “หึหึเจ้าหนู เจอกันอีกแล้วนะ!”
  ชายสวมหน้ากากยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อพูดกับซือหยู
  ซือหยูประสานหมัด
  “ท่านผู้อาวุโสลำบากจริงๆกว่าจะหาท่านเจอ ข้าบินวนมาครึ่งวันกว่าจะมาถึงที่นี่”
  “คนของผาบั่นภูติจำต้องระวังตัวอยู่เสมอข้าให้เจ้าเดินทางเป็นวงกลมเช่นนั้นก็เพื่อยืนยันว่าเจ้าจะไม่พาใครตามมาด้วย!”
  ชายสวมหน้ากากอธิบาย
  ซือหยูถอนหายใจ
  “ทีนี้พอเหลือข้าคนเดียวกลับพอใจงั้นรึ?”
  ชายสวมหน้ากากหัวเราะเบาๆ
  “หึหึเอาตราเจ้าออกมา ยินดีด้วยที่ผ่านการทดสอบ! นามเจ้าจะถูกสลักลงบนตรา นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าถือเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของผาบั่นภูติ”
  ซือหยูสงสัยเล็กน้อย
  “เหตุใดการยืนยันถึงสำเร็จหลังจากผ่านไปสองเดือนเล่า?”
  “พวกเรายืนยันว่าเจ้าทำภารกิจสำเร็จไปนานแล้วแต่ก็ต้องการเวลาสืบค้นตัวตนและที่มาของเจ้า สองเดือนนับว่าไม่นานอยู่แล้ว มีบางคนต้องรอถึงสองปี!”
  ชายสวมหน้ากากตอบ
  เขาพูดต่อ
  “การสืบยืนยันว่าเจ้าไม่ได้มาจากสำนักใหญ่และไม่มีปัญหาอะไรตอนนี้ข้าเลยจะมาสลักนามของเจ้า นับจากนี้ไป ข้าจะเป็นคนชี้แนะเจ้า”
  สืบตัวตนงั้นรึ?ซือหยูครุ่นคิด ดูเหมือนว่าผาบั่นภูติจะหาต้นตอของซือหยูที่แท้จริงไม่ได้ แต่เพียงแค่ยืนยันว่าเขาเป็นคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเท่านั้น
  ซือหยูหยิบตราส่งให้ชายสวมหน้ากากเขาหยิบปากกาที่ดูแปลกประหลาดออกมา เมื่อซือหยูเหลือบมองมัน เขาก็ตกใจมาก เพราะปากกานั้นปล่อยแรงกดดันวิญญาณออกมามหาศาล!
  เศษสมบัติภูติงั้นรึ?ซือหยูตกใจมาก…แม้แต่จ้าวเทวะก็ได้ครอบครองเศษสมบัติภูติ!
  ดูเหมือนว่าชายสวมหน้ากากจะเห็นความสับสนบนใบหน้าซือหยูเขาจึงพูดขึ้นมาโดยไม่เงยหน้าขณะที่ยังสลักนามของซือหยูอยู่
  “มันก็แค่เศษสมบัติภูติที่ไม่ได้พิเศษอะไรถ้าเจ้าได้เป็นสมาชิกสีน้ำเงินของผาบั่นภูติ เจ้าจะได้สมบัติกึ่งภูติเป็นของขวัญ”
  ข้าจะได้ของขวัญเป็นสมบัติกึ่งภูติงั้นรึ?ซือหยูตื่นเต้นเมื่อได้ฟัง ผาบั่นภูติอาจจะแข็งแกร่งจริงๆก็ได้!
  “ข้าจะเป็นสมาชิกสีน้ำเงินได้ยังไง?”
  ซือหยูเริ่มให้ความสนใจผาบั่นภูติ
  ชายสวมหน้ากากเงยหน้าพลางหัวเราะเบาๆ
  “หึหึใจเย็นก่อนเถอะ ข้าเป็นคนชี้แนะเจ้า ข้าจะบอกทุกอย่างกับเจ้าเมื่อถึงเวลา”
  หลังจากผ่านไปนานชายสวมหน้ากากโยนตรากลับคืนให้ซือหยูและเก็บปากกาไป เมื่อซือหยูมองตราก็พบคำว่า ‘ซือหยูเซี่ยน’ สลักเอาไว้
  ชายสวมหน้ากากอธิบาย
  “นี่คือตราประจำตัวของเจ้าเจ้าใช้งานมันได้สองประกาย นั่นคือการออกภารกิจและการรับภารกิจ แต่ละเดือนจะมีภารกิจสุ่มปรากฏบนตรา และถ้าหากเจ้ายอมรับ เจ้าจะต้องทำตามที่ตราบอก”
  “จากนั้นคนที่ออกภารกิจจะติดต่อเจ้าและยืนยันว่าเจ้าจะทำภารกิจได้หรือไม่ ข้าจะเป็นคนให้รางวัลภารกิจกับเจ้า ซึ่งรางวัลจะเป็นรางวัลตามภารกิจและถั่วภูติหนึ่งเมล็ด”
  ซือหยูถามทันควัน
  “ถั่วภูติคือสิ่งใดรึ?”
  ชายสวมหน้ากากอธิบายอย่างอดทน
  “มีรางวัลสองประเภทเมื่อเจ้าทำภารกิจสำเร็จอย่างแรกคือรางวัลจากผู้ออกภารกิจ อาจจะเป็นแก้วพลังก็ได้ ขณะที่อีกอย่างจะเป็นถั่วภูติที่ผาบั่นภูติมอบให้เจ้า”
  “ถั่วภูติใช้เพิ่มระดับของตัวเจ้าและจะเลื่อนขั้นเจ้าจากสมาชิกสีม่วงให้เป็นสีน้ำเงินนี่คือคำตอบของคำถามที่เจ้าถามเมื่อครู่”
  “ส่วนจำนวนที่เจ้าจะต้องใช้เลื่อนขั้นนั้นเรียบง่ายนักเจ้าต้องใช้ถั่วภูติหมื่นเมล็ด และเจ้าจะได้ถั่วภูติเมล็ดเดียวจากหนึ่งภารกิจเท่านั้น”
  ซือหยูรู้สึกเหมือนถูกถังน้ำเย็นราดตัว…ข้าต้องทำหนึ่งหมื่นภารกิจเพื่อที่จะเป็นสมาชิกสีน้ำเงินงั้นเรอะ?
  “มีทางอื่นที่จะได้ถั่วภูติหรือไม่?”
  ซือหยูถาม
  ชายสวมหน้ากากตอบด้วยรอยยิ้ม
  “เด็กสมัยนี้ใจร้อนเหมือนเจ้าหมดเลยรึ?เจ้าฟังข้าพูดให้จบก่อน ข้าเพิ่งบอกว่าเจ้าจะรับภารกิจได้อย่างไร ตอนนี้มาพูดถึงเรื่องการออกภารกิจดีกว่า”
  “เจ้ามิอาจใช้ตราของเจ้าออกภารกิจได้ถ้าเจ้าอยากจะออกภารกิจ เจ้าต้องหยดโลหิตหนึ่งหยดลงบนตรา ข้าจะสัมผัสได้และนำเจ้ามาหาข้า จากนั้นเจ้าต้องอธิบายรายละเอียดภารกิจต่อข้า ข้าจะออกภารกิจกับสมาชิกทุกคนที่ข้าชี้แนะ ถ้าหากมีคนยอมรับ พวกเขาเหล่านั้นย่อมทำภารกิจให้เจ้า”
  ซือหยูพยักหน้าช้าๆ
  “แต่…เจ้าต้องจำไว้ว่าเจ้าต้องใช้ถั่วภูติหนึ่งเมล็ดทุกครั้งที่ออกภารกิจ”
  ซือหยูขมวดคิ้ว…ถ้าเช่นนั้นข้าก็ต้องทำภารกิจไม่หยุดหย่อนกว่าจะได้ถั่วภูติหนึ่งหมื่นเมล็ดไม่ใช่หรอกหรือ?
  “แต่มีข้อยกเว้นที่เจ้าจะไม่ต้องใช้ถั่วภูติซึ่งเจ้าจะได้ถั่วภูติเพิ่มขึ้นอีกด้วย”
  ชายสวมหน้ากากน้ำเสียงจริงจังขึ้นแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปนี้คือสิ่งสำคัญ
  “มันจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อรางวัลภารกิจที่เจ้าออกนั้นมีรางวัลเกินแก้วแสนดวงเช่นถ้าเจ้าอยากจะสังหารใครและออกภารกิจที่ให้รางวัลเป็นแก้วแสนดวง เจ้าจะไม่ต้องใช้ถั่วภูติและได้ถั่วภูติเพิ่มเติมจากผาบั่นภูติอีกด้วย”
  เขาหายใจเข้าลึก
  “ผาบั่นภูติส่งเสริมให้สมาชิกใช้ความมั่งคั่งออกภารกิจเพราะว่าผาบั่นภูติจะได้รางวัลจากภารกิจไปหนึ่งในห้าดังนั้น ยิ่งเจ้าเสนอรางวัลมากเท่าใด เจ้าก็จะได้ถั่วภูติมากเท่านั้น”
  “ถ้าเจ้าเสนอรางวัลเป็นแก้วสองแสนดวงเจ้าจะได้ถั่วภูติสองเมล็ด ฉะนั้นแล้วถั่วหนึ่งเมล็ดมีค่าเท่ากับแก้วหนึ่งแสนดวง”
  ซือหยูยิ้มอย่างขมขื่นถ้าเขาต้องออกภารกิจด้วยแก้วแสนดวงเพียงเพื่อถั่วเมล็ดเดียว เช่นนั้นเขาก็ต้องใช้แก้วพันล้านดวงเพื่อให้ได้ถั่วหมื่นเมล็ด
  ต้องทำเช่นนี้เท่านั้นจึงจะได้เป็นสมาชิกสีน้ำเงินและได้สมบัติกึ่งภูติเป็นรางวัลเมื่อคิดถึงเรื่องทั้งหมด เขาก็เห็นว่ามันไม่คุ้มเลย
  เมื่อเห็นท่าทางกังขาของซือหยูชายสวมหน้ากากจึงพูดปลอบใจ
  “เจ้าหนูอย่าคิดให้มากนัก ข้าต้องใช้เวลาสองร้อยปีกว่าจะเป็นสมาชิกสีน้ำเงินแล้วเป็นผู้ชี้แนะสมาชิกสีม่วงทุกคนในดินแดนพรสวรรค์ ยังห่างไกลกว่าที่เจ้าจะสะสมแก้วพลังได้มากมายเช่นนั้นในตอนนี้”
  “แล้วถ้าเจ้าอยากจะออกภารกิจเจ้าก็สบายใจที่จะให้ข้าทำได้ เพราะข้าชี้แนะยอดฝีมือสีม่วงมากมายนัก มีจ้าวเทวะชั้นสูงสิบคนหรือแม้แต่อสูรเนรมิตรหนึ่งคน ตราบเท่าที่เจ้าจ่ายได้มากพอ พวกเขาก็จะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า พวกเขายังสังหารศัตรูของเจ้าได้ด้วย!”
  ซือหยูเบิกตากว้างเมื่อได้ฟังเขาแทบจะไม่เชื่อว่ามีอสูรเนรมิตรที่เป็นสมาชิกสีม่วงด้วย!
  ถ้าหากซือหยูใช้อสูรเนรมิตรผู้นั้นเป็นมือสังหารซือหยูก็จะสังหารใครก็ได้ที่เขาต้องการ! ผาบั่นภูตินั้นมีอำนาจที่น่ากลัวอย่างแท้จริง!
  “ท่านผู้อาวุโสข้าขอปรึกษาจะได้หรือไม่? ข้าอยากจะออกภารกิจแต่ข้าต้องรอเพราะข้ายังไม่มีเงิน”
  ซือหยูถาม
  ชายสวมหน้ากากพยักหน้า
  “ว่ามาเลยข้าช่วยเจ้าบันทึกไว้ก่อนได้ เมื่อเจ้ามีแก้วพลังเพียงพอเมื่อไหร่ ข้าจะออกภารกิจนั้นให้เจ้า”
  ซือหยูพยักหน้าและถาม
  “ท่านผู้อาวุโสข้าอยากจะถามว่าพอจะมีทางที่ข้าได้สายใยมังกรหรือไม่หากต้องการ?”
  ชายสวมหน้ากากตกตะลึงเขาถามกลับ
  “เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้พูดชื่อสิ่งนั้นผิด?สายใยมังกรล้ำค่ามากนัก แค่ส่วนหนึ่งของมันก็มีราคาเทียบเท่าทรัพย์สินของเมืองทั้งเมือง มิต้องพูดถึงของหายากจากเผ่ามังกร สายในมังกรในตลาดอาจมีราคาถึงสิบล้านดวง”
  นี่เป็นราคาสูงเสียดฟ้าแม้แต่สำนักใหญ่แต่ซือหยูก็มิได้หงุดหงิดเมื่อได้คำตอบ
  “ท่านไม่ต้องกังวลข้ามีวิธีหาเงิน”
  ชายสวมหน้ากากตกตะลึงอีกครั้งเมื่อได้ฟังคำตอบอันใจเย็นจากซือหยูเสี้ยวความหวังปรากฏอยู่ในดวงงตาของเขา นั่นก็เพราะเขาเป็นผู้ชี้แนะของสมาชิกสีม่วงในดินแดนพรสวรรค์ เขาจะได้ส่วนแบ่งหนึ่งในร้อยจากรางวัลภารกิจที่สมาชิกของเขาออกภารกิจ
  ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากเขาได้เงินด้วยวิธีนี้ เขาจะยังได้ถั่วภูติเพิ่มขึ้นด้วย นั่นจะทำให้เขาเลื่อนระดับได้ เขาให้คุณค่ากับสมาชิกที่ร่ำรวยอย่างซือหยูมาก
  “หึหึข้าจะตั้งตารอเจ้า! ข้าจะบันทึกภารกิจให้เจ้าก่อน ข้าจะออกภารกิจหลังจากเจ้ามีเงินมากพอ”
  ชายสวมหน้ากากหัวเราะๆเบาๆน้ำเสียงของเขาสุภาพขึ้นในทันที
  ซือหยูประสานหมัดพร้อมหันหลังเดินจากไป
  ชายสวมหน้ากากพูดกับตัวเองเมื่อมองแผ่นหลังของซือหยู
  “เจ้าหนูนี่ดูมั่นใจนักเขาอาจจะหาแก้วสิบล้านดวงได้จริงๆก็ได้ ข้าก็แค่รอว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่เท่านั้น”
  จากนั้นเองลำแสงได้พุ่งออกจากเอวชายสวมหน้ากาก เขาหยิบตราสีม่วงออกมา
  “เอาล่ะ!มีคนเพิ่งจะออกภารกิจ!”
  …
  หลังจากซือหยูกลับมายังเขาอสูรเขาแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากกลับมาที่ห้องและเพิ่งจะเริ่มบ่มเพาะ ตราสีม่วงของเขาก็ตอบสนองแปลกๆ
  ซือหยูหยิบขึ้นมาดูและตกตะลึงเมื่อได้เห็นเขาอ่านภารกิจใหม่…ข้ามองหาพลังที่ทำให้ท้องร่วงที่มิอาจสัมผัสได้ รางวัลแก้วแสนดวง
  “นี่มันภารกิจจากอสูรน้อยไม่ใช่เรอะ?”
  ซือหยูพูดออกมามุมปากของเขาบิดเบี้ยว
  เห็นทีแม่สาวน้อยจะไม่ยอมเลิกรารางถึงกับหายาถ่ายที่ดีกว่า! ซือหยูค่อนข้างแปลกใจที่รู้ว่ากงซุนหวูซื่อเองก็เป็นสมาชิกของผาบั่นภูติ แต่เขาก็ตัดสินใจว่าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ต่อหน้านาง
  สี่วันผ่านไปในพริบตาในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวันทดสอบประจำฤดู นี่เป็นการทดสอบที่เกิดขึ้นประจำที่ศิษย์นอกคุ้นเคยอยู่แล้ว แต่ผู้คนตั้งหน้าตั้งตารอการทดสอบครั้งนี้อย่างใจจดใจจ่อ
  นั่นก็เพราะเมื่อหลายวันก่อนเจ้าตำหนักได้ประกาศการประลองระหว่างซือหยูเซี่ยนและเฉาฉิงเฟิง ถ้าเฉาฉิงเฟิงแพ้ เจ้าตำหนักจะเอาชีวิตของเขาเป็นการลงโทษความผิดฐานใส่ร้ายศิษย์นอก
  แต่ถ้าหากเฉาฉิงเฟิงชนะเขาจะไว้ชีวิตเฉาฉิงเฟิง ด้วยความเป็นความตายเช่นนี้ ทุกคนคิดได้เลยว่าเฉาฉิงเฟิงจะเป็นดั่งสุนัขจนตรอกที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ชัยชนะ
  ยิ่งไปกว่านั้นคู่ประลองของเขายังเป็นซือหยูที่เป็นแค่ภูติระดับสาม ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดเลยว่าซือหยูจะมีโอกาสต่อสู้กับเฉาฉิงเฟิงได้ มีความแตกต่างระหว่างพลังของทั้งสองมากจนเกินไป
  ไม่ว่าซือหยูจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยการประลองนี้หรือไม่มันก็ถึงเวลาทดสอบแล้ว หลายคนอยากจะเห็นชะตาของเฉาฉิงเฟิงรวมถึงซือหยูเองด้วย
  เพราะเฉาฉิงเฟิงนั้นวางอุบายใส่ซือหยูมาหลายครั้งซือหยูจะต้องจบเรื่องราวนี้เสียที ในตอนนั้นเอง ซือหยูที่อยู่ในห้องส่วนตัวเบิกตาโพลง มีเสียงคำรามขณะที่มังกรดำขนาดยักษ์ปรากฏตัวออกมาจากหน้าอกของเขา ครั้งนี้…จะเป็นเวลาที่เขาได้ต่อสู้สะสางหนี้แค้น!