น้ำฝนที่ตกลงมาครั้งนี้แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายเยียบเย็นอึมครึมผิดปกติ หลังจากเฉินผิงอันพูดเปิดโปงความลับด้วยประโยคเดียว กุญแจสำคัญที่ทำให้เหล่าชนชั้นสูงในยุทธภพสองกลุ่มที่อยู่ในโพรงหินหยุดทะเลาะกัน ไม่ได้อยู่ที่คำพูดด้วยความหวังดีว่ายิ่งเดินทางไม่ควรยิ่งแคบลง แล้วก็ไม่ใช่เพราะยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นนั้นของเฉินผิงอัน แต่อยู่ที่ประโยคว่า ‘เหล่าเทพเซียนผู้เฒ่าของอารามจินกุ้ยยังไม่ลงมือ’ ประโยคเดียวเท่านั้น
นี่หมายความว่าหากไม่เป็นเพราะอารามจินกุ้ยวางแผนไว้ก่อนแล้วค่อยลงมือทีหลัง จงใจแสดงความอ่อนแอให้ศัตรูเห็นเพื่อล่องูออกจากโพรง ก็ต้องเป็นเพราะความสามารถสู้ศัตรูไม่ได้ ได้แต่ทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในอาราม หลีกเลี่ยงประกายแหลมคม
ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลข้อไหน เทพเซียนบนภูเขาตีกันเช่นนี้ ต่อให้พอจะมีความสัมพันธ์ควันธูปต่อกัน เหล่าสตรีที่มาจากเรือนแยนจือของแคว้นอวิ๋นเซียวก็ยังไม่ยินดีจะเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง ส่วนจู๋เฟิ่งเซียนมารเฒ่าที่เคยสร้างลมคาวฝนเลือดอยู่ในยุทธภพหลายแคว้นก็ยิ่งเป็นพวกคนที่เยือกเย็นสุขุม ขึ้นเขามาครั้งนี้ก็เพื่อพาดสะพานแห่งการฝึกตนขึ้นไปสู่สวรรค์ให้แก่หลานสาว ส่วนอารามจินกุ้ยก็สามารถถือโอกาสนี้รับลูกศิษย์ผู้ภาคภูมิใจไว้คนหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา พรรคต้าเจ๋อไม่ต่ำต้อยกว่าคนอื่น จู๋เฟิ่งเซียนย่อมไม่ยินดีจะทำหน้าที่เป็นทัพหน้าให้แก่นักพรตอารามจินกุ้ย
เฉินผิงอันกลับมานั่งที่เดิม เผยเฉียนที่ขี้ประจบไม่รู้ไปเอาหินก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งจากไหนมาทำเป็นม้านั่งตัวเล็กให้เฉินผิงอัน นางนั่งยองอยู่บนพื้นแล้วใช้มือเช็ดคราบดินบนก้อนหินออกแรงๆ พลางเงยหน้าเอ่ยปลอบเขาไปด้วย “อาจารย์ ท่านยังคงมีมาดอันสง่างามมากอยู่ดี ก็แค่ช่วงปิดจบมีข้อตำหนิเล็กน้อยเท่านั้น แต่ว่าสามารถมองข้ามไม่นับรวม”
คำว่าช่วงปิดจบนี้นางมักจะได้ยินเวลาที่ดูหลูป๋ายเซี่ยงเล่นหมากล้อมกับคนอื่นจนคุ้นหู อยู่กับคนทั้งสี่ในภาพวาดนานวันเข้า เผยเฉียนจึงได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ มาไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นกลยุทธ์การสร้างขบวนรบของเว่ยเซียนที่บอกว่า ‘การเข่นฆ่าในสนามรบ ไม่มีเวลามาตั้งขบวนรบงูยาว ขบวนรบประตูมังกรอะไรทั้งนั้น ก็แค่เข้าแถวแนวตั้งแนวนอนประจำที่ให้เป็นระเบียบเท่านั้น สุดท้ายก็อาศัยความสามารถของใครของมันยกมีดยกดาบฟาดฟันไปมั่วซั่วอุตลุด’ ได้เรียนรู้หลักเกณฑ์บางอย่างในการเรียนหมากล้อมและพิณมาจากเสี่ยวป๋าย เรียนรู้วิธีทำอาหารกับแกล้มสุราจานเล็กๆ จากจูเหลี่ยน จูเหลี่ยนเห็นว่าเผยเฉียนมาเป็นลูกมือให้ตัวเองบ่อยๆ แล้วก็ถือว่าพอจะทนกับความยากลำบากได้จึงมอบนิยายจอมยุทธ์ที่ท่องอยู่ในยุทธภพเล่มหนึ่งให้กับเผยเฉียน เผยเฉียนอ่านจนลืมกินลืมนอน แล้วยังได้เรียนคำพูดโหดๆ มากมายที่ผู้คนชอบใช้เวลาท่องยุทธภพจากสุยโย่วเปียน ยกตัวอย่างเช่น ‘คิดจะผ่านที่แห่งนี้ ทิ้งชีวิตและทรัพย์สินเอาไว้’ ‘บังอาจเป็นโจรดักปล้นกลางทาง จงกินทวนของข้าซะ’ เป็นต้น
จางซานเฟิงมองม่านฝนข้างนอกแล้วให้เป็นกังวล เขาพูดเบาๆ ว่า “ฝนทะมึนที่ตกหนักและตกนานขนาดนี้ ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะทนได้ เว้นเสียจากว่าจัดวางค่ายกลเรียกฝนไว้นานแล้ว ทว่าวิธีการเช่นนี้ หากใช้ค่ายกลชักนำมาโดยไม่ได้ใช้มรรคกถาของตัวเองจริงๆ นั่นก็เท่ากับว่าโปรยเงินเกล็ดหิมะจากฟ้าลงบนดินแล้ว ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้ฝึกตนประตูมังกรจึงมีมากกว่า ไม่รู้ว่านักพรตของอารามจินกุ้ยคือผู้ฝึกลมปราณที่มีขอบเขตเท่าใด จะสามารถรับมือกับฝนทะมึนที่ส่งผลกระทบต่อโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำนี้ได้หรือไม่”
เสียงของจางซานเฟิงไม่ดังนัก แต่จู๋เฟิ่งเซียนและหญิงชราจากเรือนแยนจือต่างก็เป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ในยุทธภพ แค่ตั้งใจจับสังเกตสักหน่อยก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจน และจู๋เฟิงเซียนก็ไม่ยี่หระที่ตัวเอง ‘แอบฟัง’ เขาหันไปพูดกับหญิงชรา “ในเมื่อเรือนแยนจือมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับอารามจินกุ้ย คิดว่าคงรู้ระดับสูงต่ำของเวทคาถาของเจ้าอารามบ้างกระมัง?”
หญิงชราลังเลอยู่ชั่วขณะก็พยักหน้าตอบว่า “เล่าลือกันว่าเจ้าอารามจางกั่วอายุสองร้อยกว่าปีแล้ว เขามีตบะประตูมังกรที่เป็นดั่งเจียวหลงในทะเลเมฆ เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน”
จู๋เฟิ่งเซียนขมวดคิ้ว “ช่วงนี้มีเรื่องหนึ่งที่กระหึ่มไปทั่วยุทธภพ ไหนบอกว่าจางกั่วปิดด่านหลายสิบปี ครั้งนี้ออกจากด่านมาได้อย่างราบรื่นจึงเลื่อนขั้นเป็นเทพเซียนพสุธาในตำนานแล้วไม่ใช่หรือ?”
หญิงชรายิ้มขื่น “เซียนดินที่สร้างโอสถทองได้สำเร็จถือเป็นบุคคลที่เลิศล้ำโดดเด่นปานใด ไยยังต้องรับลูกศิษย์? แค่ตั้งใจฝึกตนมุ่งหน้าไปยังมหามรรคาก็พอแล้ว หากเปลี่ยนมาเป็นหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋ กลายเป็นเทพเซียนแล้ว ยังจะเต็มใจควานหาเงินในบ่อโคลนอีกไหม? ต่อให้ในบ่อโคลนจะมีเงินมีทองอยู่จริง คนในยุทธภพอย่างพวกเราเห็นค่า ยังจะค้อมเอวลงไปคลำในบ่อโคลนอยู่บ้าง แต่เทพเซียนบนภูเขาจะรู้สึกเสียดายงั้นหรือ? แต่เจ้าอารามจางกั่วมีคุณสมบัติในการเป็นเซียนดินจริงแท้แน่นอน หัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋ไม่ต้องสงสัย อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น หลานสาวของเจ้ากราบไหว้จางกั่วเป็นอาจารย์ ฝึกตนอยู่ในอารามจินกุ้ย อนาคตย่อมไม่เลวเป็นแน่”
จู๋เฟิ่งเซียนพยักหน้ารับ สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย
ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร จู๋เฟิ่งเซียนที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดอาจจะยังกริ่งเกรง แต่ไม่ถึงกับหวาดกลัวแน่นอน ผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิต ขอบเขตชมมหาสมุทรที่ตายด้วยน้ำมือของเขาก็มากถึงหนึ่งมือนับแล้ว
ทว่าผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ในอนาคตมีหวังว่าจะได้เป็นเซียนดินโอสถทอง จู๋เฟิ่งเซียนยินดีที่จะมอบความเคารพนับถือที่มากพอให้ เพราะถือว่ามีคุณสมบัติมากพอที่จะรับหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาให้แก่หลานสาวของตนแล้ว
ทุกปีพรรคต้าเจ๋อจะต้องเอาเงินแสดงความเคารพออกมาก้อนหนึ่ง แล้วสั่งให้คนนำมามอบให้อารามจินกุ้ยบนภูเขาชิงเย่าอย่างลับๆ
จางซานเฟิงถอนหายใจอยู่ในใจ ไม่ใช่คนบนภูเขาก็ไม่รู้เรื่องบนภูเขา เทพเซียนในใจและในสายตาของจู๋เฟิ่งเทียนกับหญิงชราจากเรือนแยนจือสูงส่งเกินเอื้อมจนเท้าไม่เปื้อนดิน แต่เป็นเทพเซียนโอสถทองแล้วอย่างไร ก็ต้องสั่งสมทรัพย์สมบัติอย่างสุขุมรอบคอบและระมัดระวังเหมือนกันอยู่ดีไม่ใช่หรือ เรื่องของการฝึกตนต่างหากที่ถึงจะเป็นหลุมไร้ก้นที่กลืนกินเงินทองได้มากที่สุดในโลกอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าเซียนดินส่วนใหญ่ นอกจากผู้ฝึกตนอิสระที่ใช้ชีวิตอย่างเสรีมาจนชินแล้ว ผู้ฝึกตนใหญ่ที่ได้ครอบครองภูเขาและถ้ำสถิตก็ล้วนไม่จำเป็นต้องทำงานเอง เพราะมีคนในสำนักคอยไปผูกสัมพันธ์กับฝ่ายอื่น ตัวเองแค่ตั้งใจฝึกตนก็พอแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าหญิงชราจากเรือนแยนจือพอจะเดาถูกได้ครึ่งหนึ่ง
และเวลานี้เอง ในป่าลึกท่ามกลางม่านฝนที่อยู่ห่างออกไปไกลพลันเกิดเสียงฟ้าร้องครืนครั่น แผ่นดินสั่นสะเทือน สายลมพัดกระโชกให้เม็ดฝนสาดเอง มีเสียงแผ่นดินไหวดังขึ้นลงเป็นระลอกดุจเสียงเจ้าป่าคำราม
ครู่หนึ่งต่อมาเหตุการณ์ผิดปกติทั้งหลายก็หยุดนิ่ง ระหว่างฟ้าดินเหลือเพียงแค่ฝนเทกระหน่ำเท่านั้น
อีกประมาณหนึ่งก้านธูปให้หลัง สุยโย่วเปียน จูเหลี่ยนและจู๋เฟิ่งเซียนสามคนก็เงยหน้ามองไปด้านนอกโพรงหินแทบจะเวลาเดียวกัน
สีหน้าของจู๋เฟิ่งเซียนเป็นปกติ แต่หัวใจกลับบีบรัดตัว
ในบรรดาผู้ติดตามของเซียนซือหนุ่มคนนั้นถึงกับมีคนสองคนที่มีสัมผัสเฉียบไวไม่เป็นรองตนเชียวหรือ?
ต้องรู้ว่าตนคือหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ของแคว้นชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว แม้จะบอกว่าการต่อสู้กับเซียนเมื่อสามสิบปีก่อนทำลายรากฐานวิถีวรยุทธ์ไปบางส่วน รักษาตัวมานานสามสิบปีก็ยังไม่อาจกลับคืนสู่จุดสูงสุดของวิถีวรยุทธ์ได้ กลายเป็นลำดับล่างสุดของสี่ปรมาจารย์ใหญ่ แต่พยัคฆ์ที่แม้จะตายก็ยังไม่ทิ้งลาย เขาจู๋เฟิงเซียนอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าตกอับมากนัก ก็แค่เลื่อนจากอันดับที่สองมาอันดับที่สี่เท่านั้น แต่ก็ยังคงเป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่สมศักดิ์ศรีอยู่เช่นเดิม
ครั้งนี้งานพิธีทางศาสนาพุทธที่จัดขึ้นติดต่อกันสามปีได้ชักนำผู้ฝึกตนที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำมามากมายก็จริง ทว่ายอดฝีมือระดับสูงสุดในยุทธภพนั้นมีน้อยจนนับนิ้วได้ ปรมาจารย์น้อยแต่ละคนก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดที่มีแต่ชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น เพราะรากฐานว่างเปล่ากลวงโบ๋ หากจะต้องสู้ตัดสินเป็นตายกันจริงๆ ย่อมไม่มีทางต้านรับหมัดไม่กี่หมัดของพวกเขาสี่คนใด
เหตุใดการพบกันโดยบังเอิญบนภูเขาครั้งนี้ถึงได้มียอดฝีมือเพิ่มมามากมายขนาดนี้ในคราวเดียว? นอกจากสตรีสะพายกระบี่ที่รูปโฉมงามล้ำและผู้เฒ่าหลังค่อมที่มองดูเหมือนเข้ากับคนได้ง่ายแล้ว บุรุษพกดาบที่มีบุคลิกองอาจห้าวหาญและชายกำยำที่พูดน้อยก็เห็นได้ชัดว่าเป็นยอดฝีมือในยุทธภพที่มีรากฐานแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด นี่ต่างหากถึงเป็นเหตุผลข้อเดียวที่จู๋เฟิ่งเซียนต้องมองเฉินผิงอันในมุมใหม่มาตั้งแต่ต้นจนจบ เมฆมาจากมังกรลมมาจากพยัคฆ์ หากเซียนซือหนุ่มผู้นั้นเป็นพวกฝีมือกระจอกงอกง่อยจะกำราบปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์เหล่านี้อยู่มือได้อย่างไร?
ฝนใหญ่เริ่มซาลง
ท่ามกลางม่านฝนมีนักพรตหนุ่มหลายคนจับกลุ่มมากับนักพรตน้อย นักพรตของอารามจินกุ้ยที่เป็นผู้นำซึ่งเดินนำอยู่หน้าสุดหล่อเหลาปานหยกสลัก รอยยิ้มของเขาชวนให้คนหลงใหล นักพรตที่อยู่ด้านหลังเขานอกจากจะกางร่มให้ตัวเองแล้ว แต่ละคนยังหอบร่มน้ำมันมาเต็มอ้อมอก มีเพียงนักพรตที่เดินนำอยู่ด้านหน้าสุดที่ไม่มีอะไรติดมือมา พอเข้ามาในโพรงหินก็เก็บร่มกระดาษน้ำมันที่เปียกโชก บุคลิกท่าทางของเขาไม่เหมือนกับพวกคุณชายตระกูลร่ำรวย แต่มีท่วงทำนองที่แตกต่างออกไป เขามองทุกคนแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “มีปีศาจอาละวาด พยายามที่จะใช้ฝนทะมึนทำลายภูเขาและแม่น้ำของอารามจินกุ้ยพวกเรา ทุกคนไม่ต้องตื่นตระหนก เจ้าอารามของพวกเรากับสหายอีกสองคนที่เดินทางมาไกลได้เก็บวิชาอภินิหารทั้งหมดลงไปแล้ว พวกเจ้าสามารถขึ้นเขาไปพร้อมกับข้าได้อย่างวางใจ ปีศาจกลุ่มนั้นถูกสังหารจนสิ้นแล้ว หนีไม่รอดแม้แต่ตัวเดียว”
หญิงชราจากเรือนแยนจือชำเลืองมองเด็กสาว ‘ชิงเฉิง’ แวบหนึ่ง ในสายตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่ไม่อาจระงับ ก่อนหน้านี้ที่เสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว หญิงชราก็แอบคาดเดาในใจอยู่แล้ว อารมณ์จึงตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด หากเป็นอย่างที่นางคิดจริง การเดินทางมากราบอาจารย์ขอเล่าเรียนวิชาของชิงเฉิงที่สำนักฝากความหวังไว้ให้ครั้งนี้ คงยากที่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีก เวลานี้ได้ยินนักพรตหนุ่มรูปงามช่วยยืนยันว่า ‘เจ้าอารามและสหายลงมือช่วยเหลือ’ หญิงชราก็ไพล่นึกไปถึงรูปโฉมของเทพเซียนบนภาพวาดที่ท่านย่าบุรพาจารย์ของตนเก็บไว้อย่างทะนุถนอมนั้น ความคิดนับร้อยพลันประดังประเดเข้ามา ปีนั้นก่อนที่ท่านย่าบุรพาจารย์จะตายไป ยังคงบอกให้นางที่ยังเป็นเด็กสาวและศิษย์พี่หญิงคนหนึ่งจับปลายสองด้านของแกนภาพวาด คลี่ภาพออกเพื่อให้สะดวกให้นางได้มองบุรุษที่อยู่บนภาพวาดนั้นเป็นครั้งสุดท้าย
เวลานี้พวกนางคุ้มครองพา ‘ชิงเฉิง’ มาส่งเพื่อฝึกตนบนภูเขาอย่างไม่กลัวความยากลำบาก ก็เป็นเพราะบุรุษเทพเซียนผู้นั้นสั่งให้คนนำความมาบอกเรือนแยนจือ ระยะเวลาร้อยกว่าปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายพูดคุยกับเรือนแยนจือก่อน ทุกคนในสำนักต่างก็ปิติยินดีอย่างล้นเหลือ
นักพรตหนุ่มที่รูปงามบุคลิกโดดเด่นยิ้มกล่าวว่า “ร่มกระดาษน้ำมันพวกนี้ ผิวร่มเป็นเพียงกระดาษธรรมดา แต่คันร่มกลับเป็นกิ่งกุ้ยปราณวิญญาณที่ผู้อาวุโสในอารามของพวกเราสร้างขึ้น สามารถป้องกันกลิ่นอายชั่วร้ายที่มาพร้อมลมและฝน ไม่ว่าจะผ่านป่าเขาเข้าไปในบึงน้ำ หรือเดินอยู่ท่ามกลางสุสานไร้ญาติเพียงลำพังยามค่ำคืน ถือร่มกิ่งกุ้ยของอารามพวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีสิ่งชั่วร้ายมารุกราน แค่เห็นร่มคันนี้ พวกมันก็จะถอยหนีหลบเลี่ยงกันไปเอง เจ้าอารามกังวลว่าในกลุ่มของทุกท่านจะมีสตรีบอบบางที่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์มาก่อน ก็เลยสั่งให้พวกเราลงจากภูเขาเอาร่มมาส่งให้โดยเฉพาะ”
จากนั้นก็มอบร่มกิ่งกุ้ยสิบกว่าคันที่มีเฉพาะในอารามจินกุ้ยออกมาให้
นักพรตน้อยหน้าขาวปากแดงคนหนึ่งมองเห็นเผยเฉียนที่เป็นคนวัยเดียวกันเพียงคนเดียวอยู่นานแล้ว รอจนอาจารย์อาสั่งให้นำร่มไปมอบให้ก็รีบวิ่งไปหาเด็กหญิงผิวดำเกรียมเป็นถ่านทันที นักพรตน้อยส่งร่มกิ่งกุ้ยในมือออกมาพลางคลี่ยิ้มกว้าง
เผยเฉียนไม่ได้อยากได้ร่มผุๆ ของอารามจินกุ้ยอะไรนี่หรอก แต่เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างกาย ดังนั้นจึงยังต้องใช้ ‘ระเบียบอาจารย์กฎบ้าน’ กันสักหน่อย นางจึงปฏิเสธร่มกระดาษน้ำมันจากน้ำพรตน้อยอย่างละมุนละม่อม จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณเจ้าตัวน้อยอย่างว่าง่าย
นักพรตน้อยเป็นกังวลเล็กน้อย บอกว่าอย่าดูแคลนฝนทะมึนครั้งนี้เด็ดขาดเชียว มันทำลายพลังหยางของคนได้ง่ายที่สุด คนที่ร่างกายอ่อนแอและคนที่ชะตาชีวิตไม่แข็งแกร่งอาจจะมีต้นตอโรคติดตัว ถึงเวลานั้นกินยาไปก็ไม่ได้ผล ถึงอย่างไรร่มนี้อารามของพวกเขาก็มอบให้พวกเจ้ายืม ไม่เก็บเงิน ทำไมถึงไม่รับไว้ รับไปเถอะ ร่มกิ่งกุ้ยนี้ไม่หนักสักหน่อย
เผยเฉียนได้แต่เจ็บใจที่ตัวเองไม่สามารถกลอกตาใส่อีกฝ่ายได้
มองนักพรตน้อยน่ารักที่พยายามอธิบายถึงความร้ายกาจของฝนทะมึนครั้งนี้ให้เผยเฉียนฟัง เฉินผิงอันก็คลี่ยิ้ม ลูบศีรษะเผยเฉียน บอกให้นางรับร่มกระดาษน้ำมันเอาไว้ จากนั้นก็มองไปยังนักพรตหนุ่มรูปงาม “นักพรตท่านนี้ ได้ยินว่าครั้งนี้อารามของท่านเปิดภูเขารับลูกศิษย์ ไม่ทราบว่าคนต่างถิ่นอย่างพวกข้าที่บังเอิญมาได้จังหวะประจวบเหมาะพอดี จะขอรบกวนขึ้นเขาไปดูงานพิธีอันยิ่งใหญ่ด้วยได้หรือไม่?”
นักพรตรูปงามพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ย่อมได้อยู่แล้ว หลังขึ้นเขาไปแล้วแค่รับสมุดเล็กๆ เล่มหนึ่งมา แล้วจดจำข้อห้ามของสำนักที่ระบุไว้บนนั้นให้ได้ก็พอ”
นักพรตน้อยรีบหันหน้าไปตะโกนพูดกับนักพรตผู้หล่อเหลา “อาจารย์อาน้อย ข้อกำหนดบนสมุด ข้าท่องจำได้ขึ้นใจนานแล้ว ไม่อย่างนั้นให้ข้าท่องให้คุณชายท่านนี้ฟังดีไหม?”
นักพรตรูปงามยิ้มบางๆ ตอบว่า “หากคุณชายเต็มใจจะฟังเจ้าพูดมาก เจ้าก็เดินขึ้นเขาไปเป็นเพื่อนคุณชายก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณนักพรตอารามจินกุ้ยหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ ยิ้มพูด “ขอบคุณท่านนักพรต รบกวนท่านนักพรตน้อยด้วย”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองจางซานเฟิงกับสวีหย่วนเสีย คนทั้งสองพยักหน้าให้เบาๆ บอกเป็นนัยให้รู้ว่าการขึ้นเขาไปชมงานพิธีครั้งนี้ ไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่เหมาะสม
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว สวีหย่วนเสียกลับรู้สึกดีใจไม่น้อย อารามจินกุ้ยปิดประตูไม่ต้อนรับแขกแทบตลอดเวลา เป็นเหตุให้คนนอกไม่สามารถเข้าไปชื่นชมทัศนียภาพด้านในได้ ด้านล่างภูเขาของแคว้นชิงหลวนมีเรื่องเล่าบอกว่าครั้งนั้นที่นางฟ้าโปรยดอกไม้ ดอกกุ้ยร่วงเต็มพื้นของวัดป๋ายสุ่ย ต้นกำเนิดของดอกกุ้ยสีทองเหล่านั้นก็คือต้นกุ้ยโบราณอายุนับพันปีหลายต้นที่อยู่ด้านหลังอารามจินกุ้ย *(กุ้ยสีทอง)*และยังมีเซียนท่านหนึ่งที่ท่องเที่ยวไปทั่วฟ้าดินเยื้องกรายลงมาเยือนที่อาราม ชี้นิ้วไปที่ต้นกุ้ยแล้วกล่าวว่า ‘พันธ์บนดวงจันทร์’
ก่อนหน้านี้วัวดินสีเหลืองไม่ได้เข้ามาในช่องโพรงหินด้วย ถึงอย่างไรมันก็มีชาติกำเนิดเป็นปีศาจ อีกทั้งครั้งนี้ยังพบเจอกับเหตุไม่คาดฝัน นักพรตของอารามเต๋าอาจรู้สึกกังขา หากทำให้อารามจินกุ้ยเกิดสงสัยขึ้นมา เฉินผิงอันย่อมต้องหาคำมาอธิบายให้พวกเขาฟัง ยังดีที่วัวดินรู้ถึงความขัดแย้งบนภูเขาอย่างลึกซึ้ง มันที่อยู่ห่างไปจากโพรงหินจึงใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันว่าช่วงนี้มันจะซ่อนตัวรออยู่ด้านล่างภูเขา เว้นเสียจากว่ามีเซียนดินมาลาดตระเวนก็คงไม่ถูกพบร่องรอยได้ง่ายนัก เฉินผิงอันจึงบอกให้มันระวังตัว หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็หนีขึ้นไปบนภูเขาชิงเย่าได้เลย เขาจะออกหน้าอธิบายให้กระจ่างเอง