อารามเต๋าตั้งอยู่บนยอดเขาของภูเขาชิงเย่า ทางเดินมีแต่ดินโคลนเฉอะแฉะทำให้เดินลำบาก ตั้งแต่ตีนเขาไปจนถึงประตูใหญ่ของอารามเต๋า จุดที่กว้างที่สุดของทางเส้นเล็กก็ได้แค่ให้คนสามคนเดินเคียงไหล่กันเท่านั้น ไม่ต้องคาดหวังว่าจะให้รถม้าเคลื่อนผ่านไปได้ นี่แสดงให้เห็นว่าอารามจินกุ้ยไม่ค่อยยินดีจะคบค้าสมาคมกับคนด้านล่างภูเขาสักเท่าไหร่
ตำหนักพยัคฆ์เขียวของภูเขาชิงจิ้งที่พวกเฉินผิงอันไปเยือนในคราวนั้นได้สร้างบันไดไว้มากถึงสามพันขั้น เทียบกับบันไดหยกในวังหลวงที่เป็นบ้านของฮ่องเต้แล้วยังดูโอฬารยิ่งใหญ่กว่าเสียอีก
อารามจินกุ้ยมีขนาดไม่ใหญ่ แต่สามารถรองรับนักพรตให้มาฝึกตนได้ถึงสี่สิบห้าสิบคน คนของแต่ละฝ่ายที่นำพาเด็กรุ่นหลังขึ้นเขามาต่างก็จ้างให้คนมาสร้างกระท่อมอยู่กึ่งกลางภูเขาชิงเย่าเพื่อเป็นที่พักอาศัยนานแล้ว สำหรับเรื่องนี้อารามจินกุ้ยไม่ขัดขวาง บางคนที่มีไหวพริบ อีกทั้งยังเป็นคนของกองกำลังในยุทธภพแคว้นชิงหลวนเห็นว่าอารามจินกุ้ยพูดคุยได้ง่ายก็ถึงกับจ้างชายฉกรรจ์หลายสิบคนให้มาบุกเบิกที่ดินสร้างหอเรือนที่ขนาดไม่เป็นรองหอสุราหรือโรงเตี๊ยมในหมู่ชาวบ้านเอาไว้
อารามจินกุ้ยคืออารามในป่าที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก เพียงแต่ว่าหากฟังตามคำกล่าวของนักพรตรูปงาม ทรัพย์สมบัติของอารามแห่งนี้ไม่ได้ตกเป็นของสายระบบเต๋าที่พวกเขาอยู่ทั้งหมด และเมื่อเจ้าอารามรับลูกศิษย์ ถึงเวลานั้นจะได้รับทำเนียบตระกูลหยกทองที่ราชสำนักแคว้นชิงหลวนจัดสรรมาให้ ขอแค่กราบไหว้เข้ามาเป็นลูกศิษย์ของเจ้าอารามจางกั่ว ไม่ใช่เป็นนักพรตที่แค่แขวนชื่อไว้ว่าฝึกตนอยู่ในอารามจินกุ้ยเท่านั้น ก็จะถือว่ากลายเป็นเซียนซือคนหนึ่งในเทียบวงศ์ตระกูล เกรงว่านี่ต่างหากถึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชนชั้นสูงในยุทธภพและเศรษฐีผู้สูงศักดิ์ยินดีพาลูกหลานในตระกูลแห่กันมาเยือนที่แห่งนี้
มีเพียงตำหนักใหญ่ของลัทธิเต๋าเท่านั้นถึงจะมีสามตูห้าจู่สิบแปดโถวครบตำแหน่ง (คือตำแหน่งผู้ดูแลในด้านต่างๆ มาจากระบบสือฟางฉงหลินหรือระบบบริหารจัดการวัดวาอาราม) อารามจินกุ้ยมีคนแค่สี่สิบห้าสิบคน ย่อมไม่พิถีพิถันมากมายถึงเพียงนั้น เว้นเสียจากเจ้าอารามจางกั่วแล้วก็มีผู้ดูแลสองสามคนและห้าหกโถวซึ่งรวมถึงคู่โถว *(มีหน้าที่ทำงานทั่วๆ ไปในวัด ดูแลเรื่องรายรับรายจ่ายด้านธัญพืช เงินทอง สิ่งทอ ข้าวสาร เป็นต้น ตำแหน่งต่ำ แต่ภาระงานหนัก)*เป็นหนึ่งในนั้นเท่านั้น สวี่ป๋อรุ่ยนักพรตรูปงามก็คือกู่โถว (คนที่รับผิดชอบตีกลองหยุดกลองหรือตีระฆังของวัด) ของอารามจินกุ้ย ถึงอย่างไรต่อให้อารามจะเล็กแค่ไหน ทั้งกลองและระฆังต่างก็ถือเป็นวัตถุที่ขาดไม่ได้
หากจะพูดถึงวัดลูกหลาน (หรือจื่อซุนเมี่ยวหมายถึงวัดที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก ทรัพย์สินในวัดจะตกเป็นของพระที่อยู่ในวัดทั้งหมด พวกเขาสามารถจัดการกันได้เอง พระสามารถรับลูกศิษย์ได้ด้วยตัวเอง โกนหัวบวชให้ลูกศิษย์ได้ แต่ไม่สามารถประกาศให้พระที่บวชใหม่ถือศีล พระที่บวชใหม่ต้องไปรับศีลที่สือฟางฉงหลินเท่านั้น) ที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้านี้ แน่นอนว่าต้องเป็นจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างไม่ต้องสงสัย
จางกั่วเทพเซียนผู้เฒ่าของอารามเต๋าแห่งนี้จะรับลูกศิษย์ในวันมะรืน ในฐานะที่พรรคต้าเจ๋อของจู๋เฟิ่งเทียนคือหนึ่งในงูเจ้าถิ่นที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นชิงหลวน ก็ได้ทุ่มเงินขาวก้อนใหญ่ถึงหนึ่งแสนกว่าตำลึงมาสร้าง ‘คฤหาสน์หลบร้อน’ ไว้กึ่งกลางภูเขานานแล้ว ท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างมากมายจึงดูสะดุดตาอย่างถึงที่สุด ดูท่าเรื่องที่หลานสาวของจู๋เฟิ่งเทียนจะถูกรับเลือกคงเป็นเรื่องแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
เรือนแยนจือเองก็จ้างคนมาสร้างเรือนแห่งหนึ่งที่ประณีตงดงาม ทว่านักพรตสวี่ป๋อรุ่ยกลับพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “หลิวชิงเฉิง จู๋จื่อหยาง พวกเจ้าทั้งสองคนสามารถติดตามข้าผู้เป็นนักพรตเข้าไปในอารามได้เลย อารามจินกุ้ยได้จัดห้องสองห้องไว้ให้แล้ว”
จากนั้นสวี่ป๋อรุ่ยก็หันมายิ้มพูดกับเฉินผิงอันว่า “อารามคับแคบ รับรองทุกท่านได้ไม่ทั่วถึง ตอนนี้เหลือแค่ห้องอยู่สองห้อง หากคุณชายเต็มใจไปเข้าพักเพียงลำพังก็สามารถติดตามข้าผู้เป็นนักพรตขึ้นเขาตอนนี้ได้เลย หากไม่อยากแยกกับสหาย และไม่มีที่อื่นให้ไปพัก ข้าผู้เป็นนักพรตสามารถออกหน้าช่วยพูดกับชนชั้นสูงของแคว้นชิงหลวนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันแทนคุณชาย ให้คุณชายไปพักอาศัยด้วยสักสองสามวันย่อมไม่มีปัญหา ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดีที่ได้ผูกบุญสัมพันธ์กัน”
จู๋เฟิ่งเซียนหัวเราะเสียงดังกังวาน “ไยนักพรตสวี่ต้องยุ่งยากถึงเพียงนี้ ให้พวกคุณชายมาพักอยู่กับข้าก็ได้แล้ว”
หญิงชราจากเรือนแยนจือก็อยากจะเชื้อเชิญพวกเฉินผิงอันเช่นกัน เสียดายก็แต่พวกนางมีแต่สตรี จำเป็นต้องหลบเลี่ยง ไม่สะดวกจะเอ่ยปากจริงๆ จึงได้แต่มองบุญสัมพันธ์ครั้งใหญ่นี้ถูกผู้ฝึกยุทธ์หยาบกระด้างอย่างคนของพรรคต้าเจ๋อช่วงชิงไปกับตา
ฝนบนภูเขาหยุดลงแล้ว เฉินผิงอันสอบถามสวี่ป๋อรุ่ยว่าวันนี้สามารถไปดูต้นกุ้ยของอารามได้หรือไม่ สวี่ป๋อรุ่ยยิ้มกล่าวว่าไม่มีอะไรที่ไม่ได้ แต่ต้องให้เขาเป็นคนนำทาง ห้ามเดินเพ่นพ่านอยู่ในอารามตามใจชอบ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงพาเผยเฉียน จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียขึ้นเขาไปด้วยกันต่อ ส่วนสี่คนในภาพวาดกลับติดตามจู๋เฟิ่งเซียน ‘มารเฒ่าแห่งแคว้นชิงหลวน’ ไปยังที่พักของเขา
นักพรตน้อยชอบอยู่ข้างกายเผยเฉียน ในอ้อมอกเขาหอบร่มน้ำมันกอบใหญ่ ช่วยไม่ได้ ในอารามเต๋าก็มีแต่เขาที่อายุน้อยสุด คนอื่นๆ ล้วนเป็นคนแก่ที่อายุมากแล้ว อ้าปากก็เหลือฟันอยู่แค่ไม่กี่ซี่ ไม่อย่างนั้นก็เป็นนักพรตที่เข้มงวดจริงจังอย่างสวี่ป๋อรุ่ยอาจารย์อาน้อยของเขา กว่าจะเจอคนรุ่นเดียวกันที่พูดคุยกันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นักพรตน้อยย่อมลิงโลดอยู่แล้ว
แต่เผยเฉียนกลับไม่สบอารมณ์นัก เหตุใดต้องมาเจอเจ้านกกระจิบน้อยที่พูดเสียงจ้อยๆ อยู่ข้างหูผู้นี้ด้วย คนที่ฝึกตนบนภูเขาไม่ควรจะเหมือนคนหูหนวกตาบอดและเป็นใบ้หรือไร?
เด็กสาวหลิวชิงเฉิงแห่งเรือนแยนจือ เด็กสาวจู๋จื่อหยางหลานสาวของจู๋เฟิ่งเซียนที่พอพ้นจากการปกป้องคุ้มครองของอาจารย์และผู้อาวุโสแล้ว ฝ่ายแรกค่อนข้างจะขลาดกลัว ฝ่ายหลังกลับไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน สอบถามเรื่องเล่าต่างๆ เกี่ยวกับอารามจินกุ้ยจากนักพรตสวี่ป๋อรุ่ยว่าเป็นจริงเท็จ สวี่ป๋อรุ่ยน่าจะเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนโยนคนหนึ่งจึงตอบคำถามนางทีละข้ออย่างอดทน คำตอบของเขาทั้งไม่ใส่เสริมเติมแต่ง แล้วก็ไม่ปิดบังอำพราง ทำให้จู๋จื่อหยางรู้สึกดีต่ออารามจินกุ้ยไปด้วย
หลิวชิงเฉิงปลุกระดมความกล้าถามเด็กสาวหน้ากลมของพรรคต้าเจ๋อเสียงเบา “ที่แท้เจ้าไม่ได้ชื่อ ‘หว่านซ่าง’ หรอกหรือ?”
จู๋จื่อหยางตบหน้าผากตัวเอง “ในยุทธภพมีคนไร้เดียงสาอย่างเจ้าได้ยังไงนะ?”
ไม่ได้พูดออกมาตามตรงว่าเด็กสาวใบหน้ารูปไข่ห่านโง่เขลาก็ถือว่าจู๋จื่อหยางออมฝีปากให้แล้ว
หางตาของจู๋จื่อหยางเหลือบไปเห็นมีดสั้นที่ประณีตงดงามตรงเอวของหลิวชิงเฉิง บนปลอกไม้ไผ่สลักคำว่า ‘จุ้ยเอ่อร์’ นางจึงยิ้มถามว่า “มีดสั้นเล่มนี้ของเจ้าสวยมาก ขอข้าดูหน่อยได้ไหม?”
หลิวชิงเฉิงส่ายหน้า พูดอย่างขลาดๆ “นี่คือของตกทอดที่ท่านย่าบุรพาจารย์ไท่ซ่างของข้าทิ้งไว้ให้ จะมอบให้คนอื่นง่ายๆ ไม่ได้”
จู่จื่อหยางยังจะพูดตื๊อต่อ แต่สวี่ป๋อรุ่ยกลับยิ้มบางๆ กล่าวว่า “จู๋จื่อหยาง ห้ามทำให้คนอื่นลำบากใจ วันหน้าหากฝึกตนอยู่ในสำนักเดียวกันต้องระวังไว้ให้มาก”
สำหรับความรู้สึกที่จู๋จื่อหยางมีต่อนักพรตรูปงามซึ่งเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าอารามจางกั่วนับว่าดีไม่น้อย และอีกไม่นานอีกฝ่ายก็อาจจะกลายมาเป็น ‘ศิษย์พี่’ ของตนในอารามจินกุ้ย ดังนั้นจึงยอมปล่อยแม่นางน้อยแห่งอารามแยนจือที่นิสัยนุ่มนิ่มข้างกายผู้นี้ไป
หลิวชิงเฉิงมองนักพรตหนุ่มด้วยสายตาซาบซึ้งใจ ฝ่ายหลังคลี่ยิ้มให้เป็นการตอบรับ
เฉินผิงอันมองเด็กสาวสองคนที่อีกไม่นานก็จะกลายเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาก็ไพล่นึกไปถึงการพบเจอกันในแคว้นไฉ่อีครั้งนั้น ผู้ฝึกลมปราณเด็กสาวคนหนึ่งที่รัดกระพรวนข้อมือข้อเท้าเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ร่วมกันกำจัดปีศาจปราบมารกับเฉินผิงอัน แม้ว่าตบะของนางจะไม่สูง แต่กลับไม่ได้ช่วยให้แย่ยิ่งกว่าเดิม เป็นแม่นางที่มีจิตมุ่งมั่นจะผดุงคุณธรรมของจอมยุทธ์ ภายหลังนางได้กลายเป็นลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพที่ผู้คนอิจฉาตาร้อน และยังมีคู่พี่ชายน้องสาวที่เผชิญกับความทุกข์ยากซึ่งเจอกันครั้งแรกในห้องเก็บฝืนนั่นอีก ตอนนี้เด็กทั้งสองคนก็น่าจะถือว่าเป็นผู้ฝึกตนครึ่งตัวแล้ว
ความมหัศจรรย์ของเรื่องราวบนโลก อยู่ที่การได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี
มาถึงอาราม จู๋จื่อหยางและหลิวชิงเฉิงเด็กสาวผู้โชคดีสองคนก็ถูกนักพรตหนุ่มพาไปยังที่พักอาศัย ส่วนนักพรตน้อยก็ติดตามเหล่าศิษย์พี่เอาร่มกิ่งกุ้ยไปเก็บ สิ่งของเหล่านี้ล้ำค่าอย่างมาก หากยินดีขายให้คนด้านล่างภูเขา ได้ยินอาจารย์อาน้อยบอกว่าสามารถขายได้ราคาสูงเทียมฟ้าหลายพันตำลึง ไม่เสียแรงที่เป็นกิ่งกุ้ย ‘เยว่กง’ (ตำหนักที่อยู่ในดวงจันทร์ซึ่งเล่าลือกันตามตำนาน แล้วก็เป็นคำเรียกแทนพระจันทร์ด้วย) ที่ตัดมาจากกิ่งของต้นกุ้ยบรรพบุรุษ นักพรตน้อยคิดจินตนาการไปไกล ร่มกิ่งกุ้ยหนึ่งคันก็มีมูลค่ามากขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นหากเอาต้นกุ้ยหกต้นไปขาย ภูเขาชิงเย่าของพวกตนจะไม่กลายเป็นภูเขาเงินภูเขาทองลูกหนึ่งเลยหรือ?
สวี่ป๋อรุ่ยพาพวกเฉินผิงอันเดินผ่านอารามที่เงียบสงบขนาดไม่ใหญ่นักไปยังประตูด้านหลัง แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ ฟ้าใสหลังฝนตกทำให้การมองเห็นแจ่มชัดและเปิดกว้าง สามารถมองเห็นต้นกุ้ยสูงใหญ่ที่มีอายุเก่าแก่เหล่านั้นได้ว่ามีใบเขียวครึ้มดก ต้นหนึ่งในนั้นสูงชะลูดเสียดฟ้า ต้นกุ้ยโบราณทุกต้นต่างก็มีชื่อเป็นของตัวเอง สวี่ป๋อรุ่ยแนะนำไปทีละต้น บอกว่ามียอดฝีมือบนภูเขาคนใดที่เอ่ยคำทำนายทายทักแก่ต้นใดบ้าง เขาพูดอย่างกระชับได้ใจความ แต่กลับไม่ขาดความน่าสนใจ
ระหว่างต้นกุ้ยคือทางที่ปูด้วยแผ่นหินสีเขียวยาวคดเคี้ยว ใต้ร่มไม้มีโต๊ะและม้านั่งหิน บนหน้าโต๊ะหินใต้ต้นกุ้ยบรรพบุรุษยังถูกทางอารามแกะสลักเป็นรูปกระดานหมากล้อม สวี่ป๋อรุ่ยหยุดพักอยู่ตรงนี้ครู่หนึ่ง เขาใช้นิ้วปาดไปบนตารางหมากล้อมบนผิวโต๊ะ พูดด้วยรอยยิ้มว่าตารางหมากล้อมนี้ไม่ได้แกะจากมีดแกะสลัก แต่เป็นเซียนกระบี่ของต่างถิ่นท่านหนึ่งที่เดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่ได้พ่นปราณกระบี่ของมาหนึ่งคำ ใช้ปราณกระบี่ที่คมกริบมา ‘วัด’ ช่องตาราง นักพรตเต๋าในอารามยังเคยใช้ไม้บรรทัดมาวัดอย่างละเอียด พบว่าระหว่างเส้นแนวตั้งและแนวนอนล้วนมีขนาดเท่ากันเป๊ะ ไม่ต่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว นี่แสดงว่าเซียนกระบี่ท่านนั้นอย่างน้อยต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง หรืออาจจะเป็นถึงเซียนกระบี่ก่อกำเนิดท่านหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปที่ไม่ชอบปรากฎตัวในโลกก็เป็นได้
กล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของสวี่ป๋อรุ่ยมีชีวิตชีวาสดใส ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ในอารามของพวกเรามีผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ต้องการสืบเสาะให้รู้ให้ได้ว่าเซียนกระบี่ผู้นั้นเป็นใคร เขาเดินทางไปไกลเป็นหมื่นลี้เพื่อไปเยือนศาลลมหิมะ ภูเขาเจินอู่ ภูเขาตะวันเที่ยงและสวนลมฟ้าโดยเฉพาะ ได้พบผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงมากมาย สุดท้ายได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่หลี่ หลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้า ผู้นำแห่งก่อกำเนิดของแจกันสมบัติทวีปท่านนั้น น่าเสียดายที่หลังจากผู้อาวุโสท่านนั้นย้อนกลับมาที่อารามก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงใจที่จะย้อนกลับไปยังสวนลมฟ้าเพื่อยืนยันเรื่องนี้อีก ร้อยปีหลังจากนั้น นี่จึงกลายเป็นคดีค้างคาที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้”
เฉินผิงอันเอ่ยคล้อยตาม “ข้าเคยมองผ่านภาพวาดตระกูลเซียนบนเรือข้ามฟากลำหนึ่ง เคยได้เห็นเจ้าสวนหลี่แห่งสวนลมฟ้าออกกระบี่กับตาตัวเอง ร้ายกาจอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่หลังจากเจ้าสวนหลี่ชำระแค้นกับภูเขาตะวันเที่ยงได้แล้ว ได้ยินว่าเขาก็หลุดพ้นด้วยคมอาวุธไปแล้ว (หมายถึงการตายซึ่งเป็นการตายที่ใช้คมอาวุธทำให้ตัวเองหลุดพ้น ถูกฆ่าในสงคราม หรือไม่ก็ฆ่าตัวตาย) เพียงแต่ไม่รู้ว่าสวนลมฟ้าจะสามารถตามหาร่างใหม่ที่เซียนกระบี่ท่านนี้ไปจุติ เพื่อจะได้นำพากลับขึ้นเขามาฝึกตน สืบทอดควันธูปต่ออีกครั้งเจอหรือไม่”
สวี่ป๋อรุ่ยกล่าวอย่างตกตะลึง “เซียนกระบี่ใหญ่หลี่ไปจากโลกนี้ด้วยคมอาวุธแล้ว?!”
ดูท่าหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี้ อารามจินกุ้ยจะไม่สนใจเรื่องทางโลกเลยจริงๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้ยินว่าเป็นเช่นนี้ แต่ความจริงเป็นอย่างไร เซียนกระบี่ใหญ่หลี่มีวิชาอภินิหารค้ำฟ้า ข้าไม่กล้าฟันธง ไม่แน่ว่าอาจจะกำลังหาโอกาสฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหยกดิบอยู่ก็เป็นได้”
หลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าถือว่าเป็นหนึ่งในสหายบนภูเขาที่น้อยจนนับนิ้วได้ของเฉินผิงอัน
มีครั้งหนึ่งเพื่อเทพธิดาซูเจี้ย หลิวป้าเฉียวยังขี่กระบี่ไล่ตามเรือข้ามฝากของเฉินผิงอันไป ทั้งสองฝ่ายจึงได้พบหน้ากันหนึ่งครั้ง
ดังนั้นเรื่องที่หลี่ถวนจิ่งตายด้วยคมอาวุธ เฉินผิงอันรู้ว่าเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ในฐานะสหายของหลิวป้าเฉียวย่อมไม่สะดวกจะเอามาพูดยืนยันกับคนนอกเพื่อโอ้อวดว่าตัวเองเป็นคนที่รู้เรื่องวงใน
แต่เฉินผิงอันที่เป็นคนรอบคอบจนเกิดความเคยชินพลันค้นพบว่า เมื่อตนหลุดปากพูดคำว่า ‘ขอบเขตหยกดิบ’ ออกมา สายตาของสวี่ป๋อรุ่ยก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
นี่ถึงทำให้เฉินผิงอันตระหนักได้ว่า ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณทุกคนที่รู้ชื่อเรียกของห้าขอบเขตบน หรือถึงขั้นที่ว่าตลอดทั้งชีวิตก็ได้แต่แหงนมองสองคำว่า ‘เซียนดิน’ เท่านั้น
นี่ก็เหมือนกับที่ปีนั้นจูเหอมั่นใจว่าขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์ก็คือขอบเขตเก้าขั้นสูงสุด ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะขยับขึ้นไปด้านบนอีกแล้ว
แต่ตอนนี้เฉินผิงอันไม่ได้สนใจข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ทำลายสถานการณ์โดยรวมเหล่านี้อีกแล้ว ท่องอยู่ในยุทธภพ ผูกบุญคุณความแค้นกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ขึ้นเขาชมทัศนียภาพหรือคบค้าสมาคมกับผู้ฝึกลมปราณ หากจะจับทุกจุดไม่ยอมวาง ได้แต่เก็บทุกเรื่องเอาไว้ในใจ กลับจะกลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป การเปิดเผยความลับสวรรค์บางอย่างที่คล้ายคลึงกับเรื่องนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยลดความยุ่งยากไปได้มาก
ชมต้นกุ้ยของอารามจินกุ้ยที่เซียนเป็นผู้ปลูกเหล่านี้แล้ว การเดินทางมาเที่ยวชมอารามก็ปิดฉากลง ณ บัดนี้ สวี่ป๋อรุ่ยพาพวกเฉินผิงอันมาส่งที่ประตูใหญ่หน้าอารามอีกครั้ง เชื้อเชิญพวกเขาด้วยความจริงใจว่าให้มาชมพิธีที่นี่ในวันมะรืน เขาจะช่วยจัดหาที่นั่งเอาไว้ให้ เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณแล้วก็เดินลงไปที่กึ่งกลางภูเขา เดินออกมาได้ประมาณร้อยกว่าก้าว สวีหย่วนเสียก็หันกลับไปมองนักพรตที่ยังไม่ยอมหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในอารามเสียที ยังคงมองส่งพวกเขาจากไป สวีหย่วนเสียหันกลับมา พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “นักพรตสวี่คนนี้เป็นคนมีใจมุ่งมั่น วันหน้าย่อมต้องมีชีวิตอยู่ในอารามจินกุ้ยได้ไม่เลว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตระกูลเซียนบนภูเขา ถึงอย่างไรก็จำเป็นต้องมีคนเป็นหน้าเป็นตาที่สามารถรับรองคนได้ไม่ขาดตกบกพร่องอยู่คนหนึ่ง”
จางซานเฟิงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่านึกถึงสำนักของตัวเอง ออกมาท่องยุทธภพอยู่ข้างนอกหลายปี ทำให้เริ่มคิดถึงจมูกที่มีคราบสุราและเสียงกรนดังสนั่นดุจเสียงฟ้าผ่าของอาจารย์บ้างแล้ว
หากไม่เป็นเพราะได้พบเจอเฉินผิงอันและสวีหย่วนเสีย เกรงว่าเทียนซือต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ยังไม่ได้เข้าทำเนียบวงศ์ตระกูลผู้นี้คงเดินทางกลับอุตรกุรุทวีปอย่างหม่นหมองไปนานแล้ว
มาถึงเรือนพักขนาดใหญ่ที่พรรคต้าเจ๋อสร้างขึ้นก็มีพ่อบ้านท่าทางเฉลียวฉลาดมากความสามารถคนหนึ่งมายืนรออยู่ตรงหน้าประตูใหญ่นานแล้ว เขาเบี่ยงตัวน้อยๆ ค้อมเอวลงต่ำนำทางพาพวกเฉินผิงอันไปยังที่พัก
—–