ตอนที่ 472 โอ้อวดเป็นนิสัย

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 472

โอ้อวดเป็นนิสัย

“ทางนี้ขอรับท่านตา”ไป๋จูล่งพูดพลางพาเฒ่าประทับสวรรค์เดินมาที่สถานีรถไฟตามที่ตนรับปาก ไม่นึกเลยว่ายังจะมีคนใช้รถไฟไม่เป็นอยู่อีก แต่โชคดีที่การใช้รถไฟค่อนข้างเข้าใจง่าย ไป๋จูล่งใช้เดินทางไม่กี่ครั้งก็สามารถเข้าใจวิธีการทำงานรวมทั้งการซื้อตั๋วและเส้นทางการเดินรถได้จนหมด แม้ความทรงจำเหนือมนุษย์จะมีผลด้วยเช่นกัน แต่เป็นคนธรรมดาก็คงเรียนรู้ได้ในเวลาไม่นานนัก

“……”น่าเสียดายที่เฒ่าประทับสวรรค์ไม่ได้เรียนรู้ไวเท่าจูล่ง นอกจากนี้มันยังเป็นครั้งแรกอีกด้วยที่มาใช้บริการรถไฟแบบนี้ทำให้มันงงจนฟังที่จูล่งอธิบายไม่เข้าใจ

“เจ้าหนู ข้าจะออกค่าตั๋วให้เองเจ้าไปกับข้าหน่อยก็แล้วกัน”เฒ่าประทับสวรรค์ว่าพลางถอนหายใจออกมา ลำพังเทคโนโลยีอื่นๆก็มีมากมายให้ต้องเรียนรู้ โลกใหม่ในตอนนี้ของเฒ่าประทับสวรรค์ช่างเต็มไปด้วยเรื่องน่าปวดหัวจริงๆ

“ท่านน้าบอกข้าว่าให้ข้ามาเที่ยวเล่นได้แค่ในเมืองใกล้ๆเท่านั้น….”จูล่งพูดต่อด้วยท่าทีลังเล เพราะเมืองที่เฒ่าประทับสวรรค์อยู่ตอนนี้เป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับเขตอสูรผาไร้ก้นมากทีเดียว ด้วยความเร็วของตงฟางที่เกาะอยู่บนไหล่ของจูล่งพวกมันใช้เวลาเดินทางไปกลับเพียง 10 นาทีเท่านั้น

“ไม่เป็นไรหรอกน่า เอาไว้ขากลับข้าจะบอกน้าเจ้าเอง”เฒ่าประทับสวรรค์ว่าพลางส่ายหน้าช้าๆ หลังจากไปบุกสำนักเทพจุติแล้วมันยังต้องไปที่อื่นต่อ ระหว่างนี้ให้จูล่งสอนการขึ้นรถไฟให้มันจนเข้าใจไปเลยดีกว่า

“….ก็ได้ขอรับ”จูล่งตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงจะรับปากกับพวกท่านน้าเอาไว้แล้ว แต่ท่านตาตรงหน้าดูน่าสงสารมากจริงๆ มันจะปล่อยเอาไว้โดยไม่ช่วยเหลือก็ทำใจลำบากจริงๆ

“ดี งั้นเจ้าอธิบายอีกรอบ”เฒ่าประทับสวรรค์ว่าพลางเดินตามจูล่งเข้าไปหาพนักงานต้อนรับอย่างรวดเร็ว น่าเสียดายสมบัติที่มันสะสมเอาไว้ทั้งชีวิตไม่ว่าจะสมุนไพรหายาก เงินทอง วิชาล้ำค่า อาวุธวิเศษต่างหายไปจนหมดนั่นเพราะตัวมันตอนเสียสติเที่ยวแจกจ่ายสมบัติของตนไปทั่วนั่นเอง ทำให้สภาพการเงินของเฒ่าประทับสวรรค์ไม่ค่อยดีนัก วันก่อนมันมอบเหรียญทองให้เป็นค่าหนังสือ แต่พอมาตรวจสอบดีๆแล้วกลับพบว่าเหรียญทองนั้นเป็นเหรียญสุดท้ายที่มันเหลืออยู่เสียอย่างนั้น ทำให้ตั๋วที่เฒ่าประทับสวรรค์ซื้อได้มีเพียงตั๋วชั้นราคาถูกเท่านั้น ทำให้ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเช่นกันที่จูล่งได้นั่งรถไฟชั้นธรรมดา

“ท่านตา ท่านจะไปที่สำนักเทพจุติทำไมหรือ”จูล่งถามขณะนั่งอยู่ข้างๆเฒ่าประทับสวรรค์ด้วยท่าทีอึดอัดเล็กน้อย รถไฟชั้นธรรมดานั้นมีคนขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ที่นั่งเต็มจนล้นเลยทีเดียว ตอนนี้ข้างๆตัวจูล่งนอกจากเฒ่าประทับสวรรค์แล้วยังมีชายร่างใหญ่ที่แบกอาวุธขึ้นมาด้วย ท่าทางกฎการห้ามนำอาวุธขึ้นมาบนรถไฟจะใช้ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่กระมัง

“ข้าหรือ… ข้าจะไปชิงตำแหน่งจอมยุทธอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรอู๋คืนยังไงล่ะ”เฒ่าประทับสวรรค์ว่าพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีภูมิใจ ตัวมันเป็นคนชอบโอ้อวด จูล่งออกปากถามด้วยตนเองมีหรือมันจะไม่เล่าออกมา

“อันดับ 1 หรือขอรับ งั้นท่านตาก็เก่งมากเลยสินะขอรับ”จูล่งถามด้วยดวงตาเป็นประกาย ตอนนี้มันไม่รู้เลยว่าใครคืออันดับ 1 ของอาณาจักรไหน แต่ชื่ออันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรอู๋ก็ฟังดูยอดเยี่ยมไปเลยไม่ใช่หรือ

“แน่นอน สมัยก่อนฝ่ามือของข้าเร็วที่สุดในแผ่นดิน ก่อนหน้านี้ข้าเคยประมือกับชายที่มีสมญานามว่าไม้เท้าแดงฉานหนีเฉิน มันเป็นพวกเหี้ยมโหดและอำมหิตอย่างมาก ว่ากันว่ามันชอบใช้ไม้เท้าของมันทุบคู่ต่อสู้จนเลือดอาบทุกครั้งที่มันชนะเลยทีเดียว”เฒ่าประทับสวรรค์ว่าพลางหัวเราะออกมา

“แล้วท่านตาชนะหรือเปล่าขอรับ”ไป๋จูล่งถามด้วยดวงตาเป็นประกาย มันไม่เคยฟังเรื่องเล่าของจอมยุทธมาก่อน เรื่องแรกที่มันได้รู้จักก็คือเรื่องของชิงชิวนั่นเอง ตำนานของบุรุษไร้ลักษณ์ฟังสนุกสนานมากทีเดียว น่าเสียดายพอเจอตัวจริงชิงชิวแล้วเจ้าตัวบอกว่ามันน่าอายเลยไม่เล่าอะไรให้จูล่งฟังเลย

“แน่นอน ข้าใช้เพียงฝ่ามือเดียวก็ส่งมันปลิวข้ามแม่น้ำกระแทกเข้ากับโขดหิน ไม้เท้าที่มันภูมิใจนักหนาหักไม่เหลือชิ้นดีเลยทีเดียว”เฒ่าประทับสวรรค์พูดพลางหัวเราะออกมาด้วยท่าทีภูมิใจ

“ยอดเลยขอรับ ข้าเองก็อยากจะเก่งเหมือนท่านบ้างจัง”จูล่งชื่นชมเฒ่าประทับสวรรค์เป็นอย่างมาก หรือว่าท่านตาท่านนี้ก็เป็นผู้กำจัดคนชั่วมามากมายเหมือนกัน

“หึหึ ฝีมือระดับข้าไม่ใช่ใครก็จะเป็นกันได้ง่ายๆ เจ้าจะต้องฝึกฝนอย่างหนักและจริงจัง มีคนจำนวนมากหวังจะมายืนในจุดที่ข้าอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้”เฒ่าประทับสวรรค์ว่าพลางยิ้มออกมา ในอาณาจักรอู๋หรือแม้แต่ในอาณาจักรต่างๆมีคนพยายามมากมายที่จะเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 แต่ในเหล่าคนพวกนั้นมีเพียงเฒ่าประทับสวรรค์เท่านั้นที่ทำได้ คนที่สามารถเอาชนะเซียนกระบี่ เซียนดาบ รวมทั้งเซียนหมัดที่แข็งแกร่งขนาดนั้นได้ไม่ใช่คนกระจอกแต่อย่างไร

“เฮ้ย หนวกหูโว้ยจะโม้ก็โม้ให้มันน้อยๆหน่อย”ระหว่างที่เฒ่าประทับสวรรค์กำลังเล่าวีรกรรมของตนให้จูล่งฟังอยู่นั้น อยู่ๆชายที่นั่งอยู่อีกข้างของจูล่งก็ลุกขึ้นมาด้วยท่าทีโมโห แต่ก็ช่วยไม่ได้หรอกเฒ่าประทับสวรรค์พูดจาโอ้อวดเสียจนเกินตัว อีกฝ่ายท่าทางเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณเหมือนกันก็คงจะทนไม่ได้ เพราะการเล่าว่าตนเองไปปล้มคนโน้นคนนี้มาและเก่งกาจอย่างโน้นอย่างนี้มันทำให้คนอื่นหมั่นไส้ได้จริงๆ

“เจ้าหนู มีอะไรข้องใจงั้นหรือ”เฒ่าประทับสวรรค์ว่าพลางยิ้มออกมา เจ้านี่ระดับพลังไม่เท่าไหร่ ใช้มิติส่วนตัวยังไม่ได้กล้าลุกขึ้นมาหาเรื่องมันงั้นหรือ

“เออ ข้าฟังขี้ปากท่านจนเหม็นไปหมดแล้ว ข้าละอยากรู้จริงๆว่าฝีมือท่านจะมีสักครึ่งหนึ่งของปากหรือไม่”ชายร่างใหญ่ว่าพลางเอาพลองที่อยู่ด้านหลังของตนออกมา

“หึๆ เรื่องที่ข้าเล่ามันเป็นแค่เรื่องในอดีตเท่านั้นเอง”เฒ่าประทับสวรรค์หัวเราะ หากถามว่าฝีมือมันได้สักครึ่งที่มันโม้หรือไม่นะหรือ ก็ต้องตอบว่าฝีมือมันมีมากกว่านั้นเสียอีก เพราะตอนนี้ระดับพลังของมันสูงกว่าสมัยก่อนมาก แถมวิชาฝ่ามือประทับสวรรค์ยังได้ความเร็วเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าอีกต่างหาก ยามนี้ฝีมือมันนั้นเหนือกว่าคำที่มันโม้ออกมาหลายเท่าทีเดียว

“ถ้ามันเป็นเรื่องเก่านักก็อย่ารื้อมาคุยอีกเลย”ชายร่างใหญ่ว่าพลางปล่อยพลังวิญญาณของตนออกมา

เปรี้ยง!!! พริบตาเดียวฝ่ามือของเฒ่าประทับสวรรค์ก็กระแทกใส่พลองของชายคนนั้นจนหักในพริบตา ทำเอาชายร่างใหญ่อึ้งไปในทันที แต่อาจจะเพราะฝ่ามือของเฒ่าประทับสวรรค์เร็วเกินไปทำให้คนทั้งคันรถยังทำหน้างงกันอยู่เลย

“ท่าทางเจ้าจะมองไม่ทันสินะ งั้นฝ่ามือต่อไปข้าจะทำช้าๆ”เฒ่าประทับสวรรค์ยิ้มก่อนที่จะลุกขึ้นยืน

“ท่านตา ทำร้ายคนไม่ได้นะขอรับ”ไป๋จูล่งว่าพลางดึงชายเสื้อของเฒ่าประทับสวรรค์เอาไว้ เมื่อเห็นจูล่งทำเช่นนั้นเฒ่าประทับสวรรค์ก็ถอนหายใจออกมา

“ก็ได้ เห็นแก่เจ้าข้าจะแค่สั่งสอนเล็กๆน้อยๆเท่านั้น”เฒ่าประทับสวรรค์ว่าพลางพุ่งวาบเข้าหาชายร่างใหญ่ตรงหน้า พริบตาเดียวฝ่ามือของเฒ่าประทับสวรรค์ก็หยุดอยู่ตรงหน้าผากของชายร่างใหญ่พอดิบพอดี

“เห็นหรือยัง”เฒ่าประทับสวรรค์ถามพลางยิ้มออกมา แม้ชายร่างใหญ่จะไม่ตอบแต่คนทั้งคันรถกลับพูดในใจเป็นเสียงเดียวกันว่า เห็นก็บ้าแล้ว ฝ่ามือของเฒ่าประทับสวรรค์เร็วแทบไม่ต่างจากฝ่ามือประกายอัสนี คนธรรมดาไม่มีทางมองทันแน่ๆ แถมในขบวนรถยังไม่มียอดฝีมืออยู่เสียด้วย

“ทะ ท่านอาวุโส”ชายร่างใหญ่ตัวสั่นงันงกเมื่อเจอของจริงเข้าให้ มันเห็นว่าอีกฝ่ายยั้งมือจึงรีบก้มหัวประสานมือคารวะเฒ่าประทับสวรรค์ทันที ก่อนจะรีบเดินออกไปหาที่อื่นนั่งในทันที

“ยอดเลยขอรับ ฝ่ามือของท่านไวมากจริงๆ”จูล่งว่าพลางยิ้มกว้าง แน่นอนว่าจูล่งมองทันอยู่แล้ว แต่ฝ่ามือของเฒ่าประทับสวรรค์ก็เร็วมากอย่างที่มันบอกเอาไว้จริงๆ เร็วพอๆกับฝ่ามือของท่านพ่อเลย สำหรับจูล่งแล้วคนที่เร็วกว่าเฒ่าประทับสวรรค์ก็คงมีแต่ท่านน้าพยัคฆ์กับท่านลุงมังกรอัสนีเท่านั้นกระมัง

“หึหึ เจ้าหนูน้อยวันนี้นับว่าเป็นบุญตาของเจ้าก็แล้วกัน”เฒ่าประทับสวรรค์ยิ้มอย่างสง่าผ่าเผย ก่อนจะเดินมานั่งที่เดิมอย่างสบายใจ ยามนี้คนในขบวนรถไม่มีใครกล้ามองดูถูกคำพูดของเฒ่าประทับสวรรค์อีกแล้ว

“ข้าเองก็อยากโจมตีได้ไวๆเหมือนกันขอรับ พอข้าเอาจริงทีไรข้าก็โจมตีได้ช้ามากๆทุกที ข้าพยายามเคลื่อนไหวให้เร็วที่สุดแล้วนะ แต่ว่ามันเหมือนร่างกายข้าจะหนักอึ้งทุกที”จูล่งพูดพลางเริ่มปรึกษาเรื่องที่ตนคาใจ ท่าไม้ตายของจูล่งคือการแทงทวนของตนเข้าไปตรงๆด้วยพลังที่มันมี แต่ในจังหวะที่มันเอาจริง ร่างกายจะใช้พลังเนตรแมงมุมออกมาอย่างเต็มที่ ทำให้พลังส่วนใหญ่ไปอยู่ที่การควบคุมเนตรแมงมุมจนหมด ส่งผลให้จูล่งเคลื่อนไหวช้าลง ไม่อย่างนั้นด้วยพลังระดับจูล่งการโจมตีที่ออกมาสมควรจะไวกว่าไป๋จูเหวินเสียอีก

“ถ้าเจ้าอยากโจมตีได้ว่องไวเจ้าก็ต้องรอลุ้นเอาว่าเจ้าจะมีธาตุหลักเป็นธาตุลมหรือไม่ แต่หากว่าเจ้าโชคดีเจ้าอาจจะมีธาตุสายฟ้าก็ได้ใครจะไปรู้”เฒ่าประทับสวรรค์หัวเราะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เฒ่าประทับสวรรค์เสียดายอย่างมาก เพราะมันเกิดมามีธาตุรัตติกาล ทั้งๆที่มันใช้วิชาที่เน้นความเร็วแท้ๆ หากมันเกิดมาพร้อมธาตุอัสนีหรือธาตุลม ฝ่ามือประทับสวรรค์ของมันคงยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากกว่านี้แน่ๆ

“แต่…ข้ามีพลังธาตุอัสนีอยู่แล้วนะขอรับ”จูล่งตอบพลางเอียงคอด้วยท่าทีสงสัย แม้พลังอสูรจะมีธาตุรัตติกาลเพราะเป็นพลังที่รับสืบทอดมาจากท่านย่าแมงมุม แต่พลังธาตุของจูล่งนั้นกลับเป็นธาตุอัสนี เรื่องนี้มีแต่คนในครอบครัวและอาจารย์ของมันอย่างมังกรอัสนีทองคำเท่านั้นที่ทราบ แต่พลังโดยธรรมชาติของจูล่งกลับกลบความสามารถธาตุอัสนีของมันจนมิด เรียกได้ว่าไม่ต้องฝึกฝนการใช้พลังธาตุอัสนีก็แทบจะไม่มีใครเอาชนะได้อยู่แล้ว ลำพังท่าทวนของมันที่มีอยู่ท่าเดียวเกรงว่าคนที่สามารถรับมือได้จะไม่มีอยู่บนโลกนี้กระมัง

“เจ้าเด็กขี้โม้ เจ้ายังไม่มีพลังวิญญาณเลย จะไปรู้พลังธาตุได้อย่างไร เอาอย่างนี้ถ้าเจ้าช่วยเหลือข้าระหว่างเดินทางชิงอันดับ 1 คืนมาข้าจะช่วยสอนเจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน”เฒ่าประทับสวรรค์หัวเราะพลางยิ้มออกมา