ตอนที่ 1762 เงามารปรากฏขึ้นอีกครั้ง

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ไม่ต้องเอ่ยถึงชายร่างใหญ่ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลที่ได้ยินคำพูดของชายชราแล้วจะมีท่าทีตะลึงค้างไปเช่นกัน

หลังจากที่หานลี่ออกจากหอคอยศิลาแล้ว ก็ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วบินตรงไปยังย่านร้านค้า

แม้ว่าเขาจะมอบเรื่องรวบรวมสมุนไพรเสริมให้กับนักปราชญ์และพวกทั้งสี่แล้ว แต่แน่นอนว่าก็ต้องไปที่ย่านร้านค้าดูสักรอบเพื่อรวบรวมวัตถุดิบส่วนหนึ่งที่หาซื้อได้ก่อน

ย่านร้านค้าของเมืองเทวะสวรรค์ หานลี่เคยไปมาหลายครั้งแล้ว และยังคงไปหาร้านวัตถุดิบร้านเดียวกับครั้งที่แล้วและมอบรายการให้เถ้าแก่ ให้เขาไปช่วยรวบรวมมาให้

จากนั้นเขาก็ออกจากร้านค้าตรงไปยังวิหารใหญ่ตรงใจกลางย่านร้านค้า

ทางเผ่ามนุษย์มีคนคอยช่วยเหลือเขาแน่นอนว่าย่อมไม่ต้องกังวลอันใด แต่ทางเผ่าปีศาจอาจจะไม่มีวัตถุดิบที่เขาตามหา

เขาตัดสินใจจะลองไปสักครั้ง ดูว่าจะได้อะไรกลับมาหรือไม่

ทว่าแค่รวมวัตถุดิบช่วยเสริม เขาต้องไปย่านการค้าด้วยตัวเอง หากพูดถึงด้านนี้เทียบกับการเข้าร่วมกับขุมอำนาจใดสักแห่งแล้วย่อมสู้ไม่ได้

อย่างน้อยเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้ก็สามารถมอบให้คนอื่นไปทำแทนได้

แน่นอนว่าเทียบแล้วมันมีข้อจำกัดมากกว่า ตนควบคุมพลังด้วยตนเองจะดีกว่า

และจากพลังยุทธ์ของหานลี่ในยามนี้ อยากจะสร้างขุมอำนาจของตนเองขึ้นมาย่อมทำได้ แต่ระหว่างขั้นตอนเหล่านั้นจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างมาก และจะพลาดการฝึกบำเพ็ญเพียรของตนเองไป

หากมองการณ์ไกล กลับได้ไม่คุ้มเสีย!

หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็การได้ตำแหน่งของจักรพรรดิวิญญาณมา ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว

ถึงอย่างไรเสียงานของศาลจักรพรรดิก็ไม่เหมือนกับพรรคหรือตระกูลต่างๆ พลังอำนาจส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่ตำแหน่งสามจักรพรรดิ ไม่ว่าผู้ใดขอแค่ขึ้นมาอยู่ตำแหน่งสามจักรพรรดิได้ ก็จะกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเผ่ามนุษย์

หานลี่ขบคิดอยู่ในใจ คนก็มาถึงหน้าวิหารยักษ์ที่ใช้แลกเปลี่ยนระหว่างเผ่าปีศาจและมนุษย์

ยามที่เขาจ่ายศิลาวิญญาณและเหยียบย่างเข้าไปในประตูของวิหารนั้น ถ้ำใต้ดินลับแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเผ่ามนุษย์มาก เขตอาคมยักษ์ที่มีหุ่นเชิดชุดเกราะสิบกว่าตนคุ้มครองอยู่ พลันส่งเสียงอึกทึกลำแสงหลากสีสันหยุดเปล่งแสงสว่างวาบ

หุ่นเชิดผู้พิทักษ์ที่แต่เดิมนิ่งงันอยู่รอบด้าน ดวงตาพลันเปล่งแสงสีแดงทันที ใบมีดยักษ์ในมือขยับพุ่งไปที่เขตอาคมอย่างช้าๆ

แทบจะในเวลาเดียวกันทางเข้าถ้ำพำนักก็มีลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนเลือนรางแผ่ลำแสงสีเงินรอบกายออกมาจากตรงนั้น

ครู่ต่อมาใจกลางของเขตอาคมส่งตัวก็มีลำแสงสีขาวสว่างวาบ ปรากฏเงาร่างสายที่สองออกมา

หลังจากที่ลำแสงจากเขตอาคมส่งตัวหม่นแสงลง เงาร่างสองคนก็ชัดเจนขึ้นทันที

ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำร่างกายสูงใหญ่ และหญิงสาวสวมชุดสีขาวท่าทางสง่างาม

ชายร่างใหญ่อายุสามสิบกว่าปี ผิวดำคล้ำ หน้าตาอัปลักษณ์

ผิวของหญิงสาวขาวยิ่งกว่าหิมะ ดวงตาทั้งสองข้างเป็นสีดำขลับดุจดวงดาว

“พวกเจ้าเป็นใคร ไม่ใช่คนของเผ่าเงิน เหตุใดถึงใช้เขตอาคมส่งตัวของเผ่าเรา” เงาร่างคนในลำแสงสีเงินเห็นบุรุษและสตรีคู่นี้ กลับเปล่งเสียงแหลมสูงออกมา ดูเหมือนว่าจะตกตะลึงไม่น้อย

“เอ๋ ทางนี้ยังมีคนเผ่าเงินคอยดูแลอยู่ ใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ให้ข้าน้อยกินเขาเถิด” ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำเหลือบมองเงาร่างคนในลำแสงสีเงินแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะเผยสีหน้าน้ำลายสอออกมา

“เผ่าเงินผู้นี้มีพลังยุทธ์ไม่ต่ำต้อย ไม่ด้อยไปกว่าเจ้า ไม่กลัวฟันจะหักหรือ” หญิงสาวสวมชุดสีขาวกวาดตามองเงาร่างคนในลำแสงสีเงินแวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ

“หึๆ มีท่านบรรพชนศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่ ระดับศักดิ์สิทธิ์เผ่าเงินคนหนึ่งจะขึ้นไปบนฟ้าได้อย่างไร” ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำได้ยินพลันมีสีหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มขอโทษขอโพย แล้วเอ่ยเยินยอหญิงสาวชุดขาว

“บังอาจ!” เงาร่างคนในลำแสงสีเงินผู้นั้นได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน แน่นอนว่าย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายคือศัตรูมิใช่มิตร ชั่วขณะนั้นพลันร้องเสียงแหลมด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวออกมา

ในเวลาเดียวกันนั้น ใบมีดยักษ์ในมือของหุ่นเชิดรอบด้านก็สับไปที่ใจกลางของเขตอาคม

เสียง “พึ่บๆ” ดังขึ้น ลำแสงสีเงินสิบกว่าสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไป

“ฝีมือต่ำต้อย!” ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ กลับหัวเราะอย่างเย็นชา สะบัดแขนเสื้อกลายเป็นหมอกลำแสงสีดำ ต้านทานอยู่เบื้องหน้า

เสียงระเบิด “ตูมๆๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ลำแสงสีเงินโจมตีไปที่หมอกสีดำ ราวกับปะทะเข้ากับกำแพงเหล็ก ทยอยกันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วระเบิดออก

จากนั้นชายร่างใหญ่พลันทำเรื่องที่ทำให้ชนเผ่าเงินตกตะลึง

เขาอ้าปาก ลำแสงสีดำบินออกมา คาดไม่ถึงเลยว่าจะม้วนเอาลำแสงสีเงินที่ระเบิดออกเข้าไปในท้อง

จากนั้นชายร่างใหญ่ก็พลิ้วกาย เงาสีดำหนาๆ สายหนึ่งกวาดมาที่แผ่นหลัง

เสียงอึกทึกดังขึ้นอีกครั้ง!

คาดไม่ถึงว่าหุ่นเชิดสิบกว่าตัวจะถูกเงาสีดำกวาดล้างไปพร้อมกัน จากนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจต้านทานการโจมตีได้ราวกับโคลน

คนเผ่าเงินพลันตกตะลึง ดวงตาทั้งสองจ้องเขม็งไปยังเงาสีดำอย่างร้อนรน

เห็นเพียงสิ่งนั้นเป็นสีดำสนิท ผิวมีเกล็ดหนาๆ ปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นหางยักษ์สีดำ

มีความยาวประมาณสิบกว่าจั้ง ล้อมรอบชายร่างใหญ่สองสามรอบ

ในยามนี้ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำพลันแสยะยิ้ม เรือนร่างเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ กลิ่นอายที่แข็งแกร่งที่ระดับศักดิ์สิทธิ์ถึงจะมีได้พลันแผ่ออกมาจากเรือนร่าง

เงาร่างคนในลำแสงสีเงินพลันตกตะลึง!

แค่ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่ง เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้หรือไม่แล้ว หญิงสาวชุดขาวที่อยู่ด้านข้างดูเหมือนว่าจะร้ายกาจยิ่งกว่าหลายส่วน

“ไม่ได้ สู้ไม่ได้!”

คนของเผ่าสีเงินร้องอุทานออกมาเงียบๆ ผิวมีลำแสงสีเงินไหลวนโคจร เงาร่างคนด้านในเปลี่ยนเป็นเลือนราง

“คิดจะหนี!”

แววตาของชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำฉายแววโหดเหี้ยม ชั่วขณะนั้นหางสีดำที่รัดอยู่ตรงหน้าพลันพุ่งออกมาราวกับงูเหลือมยักษ์ คิดไม่ถึงว่าจะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วอยู่ห่างออกไปสิบจั้งเศษ ในชั่วพริบตาก็ทะลวงผ่านเงาร่างคนในลำแสงสีเงิน

แต่เมื่อลำแสงสีเงินแผ่ออก เงาร่างคนซึ่งเลือนรางกลับสลายหายไป

ชาวเผ่าเงินยังคงสำแดงการหลบหนีได้รวดเร็วกว่าชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำไปก้าวหนึ่ง

แต่ในยามนี้หญิงสาวชุดขาวที่ยืนอยู่ด้านข้างชายร่างใหญ่ กลับหัวเราะออกมาน้อยๆ นิ้วเรียวชี้ไปที่ตรงหน้าเล็กน้อย

บุปผาวิญญาณสีชมพูดอกหนึ่งผลิบานออกมาจากปลายนิ้ว จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นเงาลวงตาใหญ่ยักษ์ ปกคลุมทั้งถ้ำเอาไว้โดยไม่ทันได้คาดคิด

ชั่วพริบตาทุกแห่งในรัศมียี่สิบสามสิบจั้งพลันเต็มไปด้วยสีชมพู และมีกลิ่นหอมประหลาดอย่างแปลกประหลาด

เสียง “ปัง” ดังขึ้น ลำแสงสีเงินสายหนึ่งดีดตัวออกมาจากกลางอากาศในบริเวณใกล้เคียงอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน

นั่นก็คือชาวเผ่าเงินที่เพิ่งจะหนีไป

“เป็นไปไม่ได้” ชาวเผ่าเงินผู้นั้นร้องอุทานด้วยความตื่นตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว ผิวเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วเดินออกมาอีกครั้ง

หญิงสาวสวมชุดสีขาวเห็นเช่นนั้น คิ้วดำขลับพลันขมวดมุ่นเล็กน้อย

ครู่ต่อมาจุดตรงที่เท้าของเงาสีเงินยืนอยู่ ก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ดอกบัวยักษ์สีชมพูปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ

เงาร่างคนสีเงินรู้สึกว่าร่างกายตึงแน่น ไม่อาจขยับตัวได้เลยสักนิดขึ้นมาในกะทันหัน

เขาพลันหน้าซีดขาวไร้สีเลือด

ส่วนชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำกลับหัวเราะร่า ฉับพลันนั้นไอสีดำก็หมุนวนบนเรือนร่าง กระโจนเข้าไปหาชาวเผ่าเงิน

ท่ามกลางไอสีดำ ปากใหญ่ยักษ์ยาวสองสามจั้งราวกับบ่อโลหิตอ้าออก กลิ่นคาวเลือดโชยมา…

หญิงสาวชุดขาวกลับดูเหมือนว่าจะสูญเสียความสนใจไป ชักสายตากลับมา ในมือมีดอกบัวสีชมพูอีกดอกปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้ ค่อยๆ นำมาจรดปลายจมูกอย่างแผ่วเบา ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีสีหน้าสงบนิ่งออกมา

ในเวลาเดียวกันชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำที่กลายเป็นไอสีดำก็ห่อหุ้มร่างของเผ่าเงินเอาไว้ และส่งเสียงร้องอันน่าเวทนาออกมา

……

ในวิหารใต้ทะเลตรงแดนเชื่อมระหว่างแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนและแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี ภายในห้องลับที่มีไอสีดำห่อหุ้มอยู่เป็นชั้นๆ สิ่งที่มีรูปร่างเหมือนรังไหมโลหิตขนาดใหญ่พลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ

ผิวของมันมีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบอย่างต่อเนื่อง และกะพริบวาบๆ ไม่หยุด ราวกับว่ากำลังตั้งท้องอันใดอยู่

ด้านล่างรังไหมโลหิต คืออสูรมหึมาสีดำสนิทสิบสองตัว

บ้างก็มีสองหัวหกตา บ้างก็มีปีกสี่ปีกกรงเล็บสามกรงเล็บ แม้กระทั่งยังมีมังกรวารีสีทองบริสุทธิ์ตัวหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะมีหางบางๆ เก้าหางที่ดูสะดุดตายิ่งพร้อมกัน

แต่อสูรประหลาดสิบสองตัวนั้นกลับหมอบอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน ไร้ซึ่งกลิ่นอายพลังชีวิต

จากลำแสงสีโลหิตที่เปล่งแสงสว่างวาบบนหัว พลันมองเห็นอย่างชัดเจนว่า อสูรประหลาดสิบสองตัวนี้ล้วนร่างกายซูบผอม ราวกับว่าโลหิตทั่วสรรพางค์กายถูกอันใดดูดไปจนเกลี้ยง ร่างกายจึงหดเล็กลงหลายเท่า

มิเช่นนั้นตามขนาดเดิมของอสูรประหลาดทั้งสิบสองตัว ห้องลับที่ดูเหมือนกว้างขวางนี้ก็ไม่อาจบรรจุอันใดได้

ทว่าที่มุมหนึ่งของห้องลับยังมีโคมไฟโบราณสิบสองดวงวางอยู่ แค่เปลวไฟบนโคมไฟยามนี้กลับว่างเปล่า

อีกด้านของห้องลับ มีโต๊ะหยกสีเขียวเตี้ยๆ วางอยู่ตัวหนึ่ง

บนโต๊ะมีดวงแสงวารีขนาดเท่ากำปั้นวางอยู่ เปล่งแสงระยิบระยับ

ผิวของมันมีภาพวาดชัดเจนปรากฏอยู่

ในภาพวาดเป็นดอกบัวสีเงินระยิบระยับดูเสมือนจริงลอยอยู่ตรงนั้น ราวกับเป็นของจริงก็ไม่ปาน

……

ในวิหารย่านร้านค้าของเมืองเทวะสวรรค์เผ่ามนุษย์ หานลี่มองหญิงสาวเผ่าปีศาจที่อยู่ท่ามกลางไอสีดำตรงหน้า ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสหายที่นี่ ทำให้ผู้แซ่หานตกตะลึงจริงๆ”

“จุ๊ๆ ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับสหายหานสักวันหนึ่งเช่นกัน เป็นเพราะสหายต้องหลบหนีจากการที่ถูกชนต่างเผ่าโจมตี จึงต้องปิดชื่อฝังแซ่ออกไปจากเมืองนี้ ดูแล้วข้าคงดูถูกสหายไปหน่อย” หานลี่ที่อยู่ในไอสีดำห่างออกไปสองสามจั้ง หญิงสาวเผ่าปีศาจที่เคยแลกเปลี่ยนกับหานลี่ในตอนนั้นตอบกลับด้วยพร้อมกับหัวเราะเสียงแผ่วเบา

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้ได้พบหานลี่ก็มีท่าทีดีใจ และปิดความตื่นเต้นเอาไว้ไม่มิด

ทว่าเป็นเพราะที่นี่มีเขตอาคมทำงานอยู่ หานลี่จึงไม่อาจมองพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายออกหลังจากที่ไม่ได้พบกันสองสามร้อยปี

แต่ตามหลักการแล้ว จากที่เขาคืนสมุนไพรวิญญาณหมื่นปีให้กับหญิงสาวผู้นี้จำนวนมาก จะต้องมีพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นไม่น้อยแน่

แน่นอนว่าหญิงสาวผู้นี้ก็ไม่อาจพบความเปลี่ยนแปลงที่น่าตกตะลึงของพลังยุทธ์ของหานลี่ได้

ทันใดนั้นหานลี่พลันหัวเราะน้อยๆ ออกมาแล้วเอ่ยอีกว่า

“ตอนแรกผู้แซ่หานหนีออกมาไม่ทัน หากไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น จะกลับมาพบกับสหายอีกครั้งได้หรือไม่ก็พูดยาก เดิมข้าคิดว่าสหายได้สมุนไพรหมื่นปีไปแล้วน่าจะกักตนบำเพ็ญเพียรเป็นระยะเวลานานเสียอีก”

“สหายคิดว่าข้าไม่อยากทำเช่นนั้นหรือ แต่ตอนแรกแม้ว่าข้าจะได้สมุนไพรหมื่นปีไปจากสหายไม่น้อย แต่จะให้ข้าใช้คนเดียวได้อย่างไร สมุนไพรวิญญาณหมดไปตั้งนานแล้ว ที่ผ่านมาข้าก็หาสมุนไพรหายากพบอยู่บ้าง สหายหานจะยอมแลกเปลี่ยนต่อหรือไม่” หญิงสาวเผ่าปีศาจผู้นี้ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างมีความหวัง

“ขอแค่ในมือของข้าไม่มีเมล็ดพันธุ์อยู่ ย่อมไม่มีทางปฏิเสธเป็นแน่ แต่ผ่านไปนานขนาดนี้ สมุนไพรและเมล็ดพันธุ์ในมือของข้ากลับรวบรวมได้ครบแล้ว ต่อให้แลกเปลี่ยน เกรงว่าก็คงแลกได้ไม่มากนัก” หานลี่แววตาเปล่งประกาย พลางเอ่ยอย่างเสียงราบเรียบ