ตอนที่ 1763 ภิกษุจินเย่ว์

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

“เช่นนั้นเมล็ดพันธุ์ในมือของน้องหญิง ก็อาจจะไม่มีทางเข้าตาของสหายแล้ว ทว่าข้าเองก็ไม่อาจรั้งรออยู่ที่เมืองเทวะสวรรค์ได้นานนัก แลกสมุนไพรวิญญาณหมื่นปีได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นก็แล้วกัน” สีหน้าตื่นเต้นดีใจของหญิงสาวเผ่าปีศาจลดลง แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ขณะเอ่ย

“เซียนไม่จำเป็นต้องเศร้าใจไป ข้าไม่ได้บอกว่าครั้งนี้จะแลกแค่เมล็ดพันธุ์ หากสหายช่วยข้ารวบรวมวัตถุดิบได้ล่ะก็ ผู้แซ่ยอมใช้สมุนไพรวิญญาณหมื่นปีแลกเปลี่ยน” หานลี่กลับหัวเราะร่าออกมา

“วัตถุดิบ?”

“ไม่ผิด ข้ามีใบรายการอยู่ เซียนลองดูสิว่าเผ่าปีศาจของพวกเจ้าจะหาได้เท่าไหร่” หานลี่เอ่ยไปพลางสะบัดแขนเสื้อ คัมภีร์สีขาวม้วนหนึ่งบินออกมา

ฝ่ามือสีขาวบริสุทธิ์ข้างหนึ่งยื่นออกมาจากไอสีดำ แล้วคว้าคัมภีร์ไว้ในมือ

“เอ๋ วัตถุดิบเหล่านี้มีกระดูกวิญญาณ แก่นดวงจิตของเผ่าปีศาจไม่น้อย สหายยังกล้าเขียนเอาไว้อีกหรือ หรือว่าเจ้าคิดจะหลอมยุทธภัณฑ์อันใด” หญิงสาวเผ่าปีศาจแค่ใช้จิตสัมผัสกวาดไปสองแวบ ก็ร้องอุทานออกมาเบาๆ

“ผู้แซ่หานอยากหลอมสมบัติสองสามชิ้นจริงๆ ส่วนกระดูกวิญญาณและแก่นดวงจิตจะมีค่าอันใด เผ่าปีศาจอย่างพวกเจ้าเองก็มักจะทำเรื่องเช่นนี้กันมิใช่หรือ” หานลี่ตอบราบเรียบ

“หึ นั่นมันก็ใช่ ถึงแม้จะเป็นเผ่าปีศาจของพวกเราก็ต้องใช้กระดูกวิญญาณและแก่นดวงจิตหลอมสิ่งของที่ใช้ก็เป็นวัตถุดิบของเผ่าอื่น ต่อให้คนของเผ่าเราจะดีแค่ไหน ก็ไม่มีทางใช้ เผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าก็ทำเช่นนี้ ละเมิดกฎข้อห้ามของเผ่าปีศาจของพวกเราไปไม่น้อย” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับแค่นเสียงอย่างเย็นชา

“ข้าว่าเซียนคงไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก มิเช่นนั้นคงไม่เอ่ยเช่นนี้ออกมา” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา คล้ายกับว่าจะไม่ใส่ใจ

หญิงสาวในไอสีดำได้ยิน หลังจากนั้นก็ลังเลเล็กน้อย ถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้าว่า

“ขอแค่ไม่ใช้วัตถุดิบจากเผ่าข้า ข้าก็ไม่สนใจเรื่องนี้ แต่ของในรายการของเจ้า ก็หายากในเผ่าปีศาจของพวกเรา ข้าทำได้เพียงช่วยเจ้ารวบรวมได้ครึ่งหนึ่งเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นราคายังสูงลิบด้วย”

“ไม่เป็นไร! ขอแค่สิ่งของเหมาะสม สมุนไพรหมื่นปี ข้าไม่มีทางทำให้เซียนเสียเปรียบแน่” หานลี่มีสีหน้ายินดี แล้วตอบกลับอย่างอารมณ์ดี

“ตกลง มีคำพูดนี้ของสหายก็พอแล้ว แต่ของเหล่านี้ ข้าไม่สะดวกที่จะนำแลกเปลี่ยนกับเจ้าที่เมืองเทวะสวรรค์ หากสหายมีใจก็มาแลกเปลี่ยนกันที่งานหมื่นสมบัติอีกสองสามปีเถิด นั่นคืองานแลกเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจที่จะจัดขึ้นพันปีครั้ง การจัดงานครั้งนี้ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว จะจัดขึ้นที่ภูเขาเก้าเซียนซึ่งอยู่ตรงเขตแดนระหว่างเขตเสวียนอู่และแดนจิ้งจอกสวรรค์” หญิงสาวชุดดำเอ่ย

“งานหมื่นสมบัติ! อืม เคยได้ยินมาบ้าง ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หานก็คงต้องไปแล้ว” หานลี่ครุ่นคิดแล้วจึงได้พยักหน้า

“เยี่ยม ในเมื่อกล่าวเช่นนี้ น้องหญิงก็จะเอาสมุนไพรและเมล็ดออกมาก่อนให้สหายดูว่าเข้าตาอันไหน จากนั้นค่อยแลกเปลี่ยนกัน เมื่อถึงงานหมื่นสมบัติ จะได้แยกแยะอีกฝ่ายได้ง่ายๆ” หญิงสาวเผ่าปีศาจฉีกยิ้มกว้าง น้ำเสียงรื่นหูน่าฟัง คาดไม่ถึงว่าจะแฝงไว้ด้วยความเย้ายวนใจ

หานลี่ไม่ได้มีเจตนาอื่น จึงเอ่ยรับปาก

……

หนึ่งมื้ออาหารต่อมาหานลี่เดินออกมาจากวิหาร ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มบางๆ

การมาที่ย่านร้านค้าในครั้งนี้ ได้ประโยชน์ที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ

คัมภีร์ที่เขามอบให้หญิงสาวเผ่าปีศาจก่อนหน้านี้ ไม่ใช่แค่สมุนไพรวิญญาณและวัตถุดิบที่ต้องการ ยังมีสิ่งที่ต้องใช้หลอมภูเขาไท่อีไม่น้อย

การหลอมภูเขานี้ยุ่งยากกว่าภูเขาเทวะดูดปราณมาก

ไม่เพียงวัตถุดิบเสริมที่ต้องใช้เยอะกว่าอย่างแรกมาก และยิ่งไปกว่านั้นวัตถุดิบจำนวนไม่น้อยก็เป็นของหายากในแดนวิญญาณ หายากมาก โชคดีที่รายการด้านหลังมีวัตถุดิบจำนวนไม่น้อยที่ใช้สิ่งอื่นแทนได้ หนึ่งในนั้นก็คือกระดูกอสูรและแก่นดวงจิตปีศาจมากที่สุด

วัตถุดิบชนิดนี้มีไม่มากนักในเผ่ามนุษย์ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มอบหมายเรื่องนี้ให้กับนักปราชญ์และพรรคพวก

ยามนี้หลังจากที่ได้พบหญิงสาวเผ่าปีศาจในวิหาร แน่นอนว่าย่อมออกรายการทั้งหมดออกมาอย่างไม่เกรงใจ

แม้ว่าเผ่าปีศาจจะไม่ถือว่าแข็งแกร่งนัก แต่ก็มีอสูรเดินดินและวิหคเหาะเหินอยู่หลากหลายชนิด มากมายจนนับไม่ถ้วน

ประกอบกับแพร่พันธุ์อยู่ในแดนวิญญาณมาหลายปีแล้ว กระดูกและแก่นดวงจิตจึงมีมากมายจนนับไม่ถ้วน

ไม่จำเป็นต้องมากนัก! ขอแค่หญิงสาวเอากระดูกและแก่นดวงจิตมาได้ครึ่งหนึ่งก็นับว่าช่วยเขาได้ไม่น้อยแล้ว

หากโชคไม่ดีล่ะก็ สิ่งที่เรียกว่างานหมื่นสมบัติ ก็อาจจะได้ประโยชน์อันใดเพิ่มก็เป็นได้ ส่วนสุดท้ายที่เหลือก็ค่อยๆ ตามหาไป

หานลี่ขบคิดในใจ กลับมาที่ร้านค้าวัตถุดิบในตอนแรกอย่างไม่รีบร้อน

เถ้าแก่ผู้นั้นเตรียมกำไลเก็บของไว้อันหนึ่ง และรออยู่ตรงนั้นอย่างนอบน้อม

หานลี่รับกำไลเก็บของไป หลังจากตรวจสอบแล้ว ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้

เป็นดังที่คาดคิดไว้ ในกำไลเก็บของมีวัตถุดิบที่ต้องการอยู่ไม่เท่าไหร่ ดูแล้วคงต้องให้นักปราชญ์และพวกช่วยเหลือแล้ว

หานลี่ถามถึงราคาที่ต้องจ่าย แล้วออกจากร้านค้า

เขาไม่ได้ไปที่อื่น แต่กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ตรงไปยัง ‘หอรวมเซียน’ ที่ใช้ต้อนรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงโดยเฉพาะของเมืองเทวะสวรรค์

แม้ว่าจะมีชื่อว่าหอคอย แต่ความจริงแล้ว ‘หอรวมเซียน’ เป็นหอคอยสิบกว่าหอรวมตัวกัน

ทุกหอสูงสิบสามชั้น วิจิตรงดงาม ระยะห่างจากกันร้อยจั้งเศษ และยังมีเขตอาคมขวางกั้นเอาไว้

สถานที่พักเช่นนี้ ไม่เพียงต้องจ่ายศิลาวิญญาณเป็นจำนวนไม่น้อย และยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาขึ้นไป ก็ไม่มีคุณสมบัติจะพักที่นี่

แน่นอนว่าความจริงแล้วหอรวมเซียนเองก็เป็นที่พักของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสูง ระดับผสานอินทรีย์ไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่เคยมีผู้ใดเข้ามาพัก แต่ภายในเวลาสองสามร้อยปีก็ไม่รู้ว่ามีคนเข้าพักสักครั้งสองครั้งหรือไม่

ดังนั้นหานลี่จึงไม่ได้ปิดบังอันใด ตรงเข้าไปหน้าเถ้าแก่หอรวมเซียน เผยกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ออกมา

เถ้าแก่ผู้นี้มีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลง แน่นอนว่าย่อมตกใจจนสะดุ้งโหยง ทันใดนั้นก็ร้องเรียกท่านอาวุโสด้วยความนอบน้อม แล้วเลือกหอคอยที่ดีที่สุดให้หานลี่ และส่งหญิงรับใช้ที่หน้าตาสะคราญที่สุดสองสามคนไปที่หอคอยแห่งนั้น

เพราะไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่นานนัก หานลี่จึงไม่ได้ปฏิเสธอันใด

เขาให้หญิงสาวสองสามคนทำความสะอาดหอคอย ส่วนตนก็วิ่งไปที่ชั้นบนสุดของหอคอยพลางทำสมาธิ

เช้าตรู่วันที่สองขณะที่หานลี่กำลังหลับตานั่งสมาธิ ฉับพลันนั้นเปลือกตาก็ขยับลืมตาขึ้น และเอ่ยพึมพำออกมา

“มาแล้ว ทว่ากลิ่นอายคนผู้นี้ไม่ค่อยคุ้นเคยเลย แถมยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง ดูแล้วไม่ใช่อาวุโสชี แปลกจริงๆ”

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ด้านล่างหอคอยก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ จากนั้นหญิงรับใช้คนหนึ่งก็ถ่ายทอดเสียงมาอย่างตึงเครียด

“รายงานท่านอาวุโส ภิกษุจินเย่ว์ของเมืองเรามาเยี่ยมเยียน”

“สหายจินเย่ว์ เยี่ยม ข้ารู้แล้ว จะลงไปเดี๋ยวนี้” หานลี่ได้ยินชื่อนี้ ก็ใจหายวาบ ตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด

อาวุโสเมืองเทวะสวรรค์คนอื่นๆ อาจจะไม่ค่อยแน่ใจนัก

แต่ภิกษุจินเย่ว์ เป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์สองคนที่บินขึ้นมาของเมืองเทวะสวรรค์ ตอนนั้นเขาได้ยินจนคุ้นหูเสียแล้ว

แต่แค่ว่ากันว่าอาวุโสของพรรคพระพุทธมักจะกักตนไม่ออกมาอยู่ภายในห้องลับเป็นเวลานาน นอกจากคนของสมาคมอาวุโสแล้ว ก็แทบจะไม่มีผู้ใดได้เห็นใบหน้าที่แท้จริง

ผู้ยิ่งใหญ่มาปรากฏตัวที่นี่ มิน่าล่ะสาวใช้ของหอรวมเซียนเหล่านี้ถึงได้ตึงเครียด

ทว่าในเมื่อเขาเผยพลังยุทธ์ต่อหน้าผู้พิทักษ์ยมโลกนิลสองคนแล้ว ต่อให้ไม่ใช่ภิกษุจินเย่ว์ผู้นี้ สมาคมอาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์ก็คงส่งอาวุโสท่านๆ มาที่นี่

หานลี่ขบคิดด้วยสีหน้าราบเรียบ มือหนึ่งร่ายอาคม ผิวเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายรางเลือนไป

ในห้องโถงชั้นหนึ่งของหอคอย ภิกษุสวมจีวรสีทองคนหนึ่ง กำลังยืนชื่นชมภาพวาดโบราณที่แขวนอยู่บนกำแพง ด้านข้างมีสาวใช้หน้าตางดงามยืนเอามือประสานกันด้วยสีหน้าตื่นเต้นสุดๆ อยู่สองสามคน

ฉับพลันนั้นภิกษุก็หันกาย มองไปที่มุมหนึ่งที่ว่างเปล่าของหอคอย

ผลคือครู่ต่อมาตรงนั้นพลันมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ เงาร่างคนสีเขียวปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ

นั่นก็คือหานลี่

“อาตมาจินเย่ว์บุ่มบ่ามมาเยี่ยมเยียน หวังว่าสหายหานจะไม่ถือสา!” ภิกษุเอ่ยว่าอมิตตาพุทธ แล้วคารวะหานลี่อย่างราบเรียบ

“มิกล้า ภิกษุมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ ผู้แซ่หานเลื่อมใสท่านมาเนิ่นนานแล้ว” หานลี่มิกล้าดูแคลน รีบประสานมือคารวะ จากนั้นสายตาก็เพ่งพินิจมองใบหน้าของภิกษุอย่างละเอียดแวบหนึ่ง

เห็นอีกฝ่ายเป็นภิกษุชราเคราสีขาวยาวครึ่งฉื่อ ใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่น ดวงตาทั้งสองหรี่เล็กจนเป็นเส้นตรง ดูเหมือนว่าจะแก่ชราจนแม้แต่ดวงตาก็ไม่อาจลืมขึ้นได้

“หึๆ ชื่อเสียงของสหายหาน อาตมารู้จากข่าวคราวที่อาวุโสชีเพิ่งส่งมาได้ไม่นาน ว่ากันว่าสหายไม่เพียงจะพัฒนาจากระดับเทพแปลงมาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ร้อยปี และนอกจากนี้ยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา แถมยังเคยรับหน้าที่ผู้พิทักษ์ยมโลกนิล ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่” ภิกษุจินเย่ว์ฉีกยิ้ม คิดไม่ถึงว่าจะเอ่ยปากถามอย่างตรงไปตรงมา

“สหายจินเย่ว์เป็นผู้ที่ตรงไปตรงมาเสียจริง ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้นไม่ผิด ผู้แซ่หานนับว่ามีวาสนาเล็กน้อย มิเช่นนั้นคงไม่มีพลังยุทธ์ในระดับนี้ได้” หานลี่ตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ฉีกยิ้มเบิกบาน

“หึๆ ปกติแล้วผู้ที่พัฒนาจนมาอยู่ในระดับเดียวกับข้าได้ ไหนเลยจะไม่ใช่ผู้ที่ดวงดี ทว่าสหายพัฒนาได้ระยะเวลาสั้นๆ เพียงนี้ ต่อให้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ในประวัติศาสตร์ของเผ่ามนุษย์ก็มีอยู่เพียงไม่กี่คน” ภิกษุที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เอ่ยอย่างนุ่มนวลเป็นพิเศษ

แน่นอนว่าหานลี่ย่อมเอ่ยอย่างถ่อมตนไม่หยุด

“จากข่าวคราวที่อาวุโสชีส่งมา สหายไม่อยากเข้าร่วมเมืองเทวะสวรรค์ ช่างน่าเสียดายจริงๆ มิเช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาในสมาคมอาวุโส คงเหลือแค่อาตมาคนเดียวแล้ว” ภิกษุเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา และเอ่ยอย่างเสียดาย

“คนเดียว? หากข้าน้อยจำไม่ผิดล่ะก็ สมาคมอาวุโสไม่ได้มีอรหันต์เหลยหลัวหรือ หรือว่า…” หานลี่ได้ยินพลันตกตะลึง

“สหายเหลยหลัวเพลี่ยงพล้ำไปเมื่อยามที่ชนต่างเผ่ามาโจมตีเมือง” ภิกษุถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“อันใดนะ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย ผู้แซ่หานรู้เพียงว่าสมาคมอาวุโสมีสหายสองคนที่เพลี่ยงพล้ำ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นสหายเหลยหลัว” หานลี่พลันตกตะลึง และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ภิกษุได้ยิน ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมแล้วท่องคำว่าอมิตตาพุทธสองสามครั้ง แล้วถึงได้เอ่ยออกมา

“แม้ว่าสหายจะปฏิเสธคำเรียนเชิญของอาวุโสชี แต่อาตมาเป็นหนึ่งในสมาชิกของผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา จึงอยากเชิญสหายให้เข้าร่วมกับสมาคมอาวุโสของเมืองเราอีกครั้ง สหายหานน่าจะรู้ดี ผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาอย่างพวกเราไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรพื้นเมือง และยิ่งไปกว่านั้นเมืองเทวะสวรรค์ก็แทบจะรวบรวมผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาได้เก้าในสิบส่วน”