“ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังกินจนหมดเลยนะ ฝ่าบาท”
ได้ยินราฟาเอลาพูดดังนั้นแพทริเซียก็หน้าแดง มีร์ยาส่งสายตาปรามอยู่ข้างๆ แต่ดูเหมือนว่าราฟาเอลาไม่คิดที่จะถอย
“นับถือหัวใจของจักรพรรดิจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาไม่น่าจะเคยทำอะไรแบบนี้แท้ๆ”
“แต่ก็ทำให้คนอื่นร้องไห้เป็นสายเลือดแทนมิใช่รึ”
คำพูดแสนเย็นชาของแพทริเซียทำให้ราฟาเอลาหุบปากฉับ แพทริเซียเดินเนิบช้าต่อไปเงียบๆ ด้วยสีหน้ายากจะคาดเดาความคิด นางออกมาเดินเล่นเพราะอาหารไม่ย่อย แต่อากาศค่อนข้างเย็นเช่นนี้ช่างไม่เหมาะกับการเดินเล่นเอาเสียเลย มีร์ยาสังเกตเห็นดังนั้นก็เอ่ยถาม
“ฝ่าบาท เสด็จกลับดีกว่าไหมเพคะ”
“…ข้าไม่เป็นไร”
“หากประชวรขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเพคะ รีบเสด็จกลับเถอะเพคะ”
ครั้นมีร์ยาเร่งเร้า แพทริเซียจึงเดินกลับไปทางตำหนักของตัวเองอย่างเสียไม่ได้ ตอนนั้นเองนางก็เห็นคนผู้หนึ่ง แพทริเซียตัวแข็งทื่อโดยไม่รู้ตัวตรงข้ามกับ ‘คนผู้นั้น’ ที่แสดงความปีติยินดีอย่างมากเมื่อได้พบนาง
“จักรพรรดินี”
ลูซิโอยิ้มกว้างพลางเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาหาในขณะที่แพทริเซียค่อยๆ ก้าวถอยหลังอย่างลังเล *อะไรกัน จู่ๆ ก็…*แพทริเซียยิ้มแหยและทำความเคารพลูซิโอที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางนี้
“ถวายบังคม…ฝ่าบาทผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ”
“พิธีรีตองนั้นช่างเถิด เจ้าออกมาเดินเล่นหรือ”
“เพคะ แต่ตอนนี้หม่อมฉันกำลังจะกลับแล้ว”
“อ้อ…”
เพียงคำพูดเดียวก็เปลี่ยนสีหน้าของเขาให้กลายเป็นลูกสุนัขหงอยเหงา สีหน้าที่เปลี่ยนไปในชั่วพริบตานั้นทำให้ราฟาเอลาอดหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้ เห็นดังนั้นมีร์ยาก็สะดุ้งเฮือกและถองสีข้างราฟาเอลา ในขณะที่แพทริเซียทำสีหน้าประหลาดขณะกล่าวกับลูซิโอ
“เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลา…”
“เอ่อ…” ลูซิโอเอ่ยรั้งแพทริเซียที่ทำท่าจะหันหลังกลับ “หากเจ้าไม่มีกิจธุระอันใด…ไปเดินเล่นด้วยกันสักครู่ได้หรือไม่”
“…”
ระหว่างที่แพทริเซียกำลังลังเล มีร์ยากับราฟาเอลาก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“ฝ่าบาท ท่านพ่อคงกำลังเป็นห่วงหม่อมฉัน เช่นนั้น…หม่อมฉันกลับก่อนนะเพคะ”
“อยู่กับองค์จักรพรรดิก่อนแล้วค่อยเสด็จกลับก็ได้เพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะจัดที่บรรทมเอาไว้ให้”
“นี่ เดี๋ยวสิ…”
ก่อนที่แพทริเซียจะได้พูดอะไรสองคนนั้นก็รีบปลีกตัวออกไปก่อนราวกับนัดกันไว้ แพทริเซียมองจุดที่สองคนเคยยืนอยู่ด้วยสายตาว่างเปล่า ในตอนนั้นเองน้ำเสียงนุ่มทุ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของลูซิโอก็ดังขึ้น
“เราทำให้อึดอัดหรือ”
“…”
แพทริเซียไม่พูดอะไร ลูซิโอคิดว่าการที่อีกฝ่ายไม่พูดอะไรอาจจะดีกว่าก็เป็นได้ แพทริเซียกัดริมฝีปากเบาๆ ด้วยไม่รู้จะตอบคำถามของเขาอย่างไร ลูซิโอเห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปแตะริมฝีปากบางโดยไม่รู้ตัวพลางพึมพำเบาๆ
“เราหวังว่าเจ้าจะไม่ทำร้ายตัวเองเช่นนี้”
“เอ่อ…”
แพทริเซียมองลูซิโอด้วยความตกใจเล็กน้อย ทำไมต้องแกล้งทำเป็นอ่อนโยนไม่เข้าเรื่อง… แพทริเซียค่อยๆ ดึงมือของลูซิโอออกพลางกล่าว
“ฝ่าบาทมีเรื่องอันใดจะกล่าวกับหม่อมฉันหรือเพคะ”
“…บราวนี” เขาเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา “อร่อยหรือไม่”
“…”
เขาคงไม่ถามเช่นนี้หากไม่ได้รู้อยู่แล้วว่านางกินมันเข้าไป ท่าทางมีร์ยาจะส่งข่าวไปบอกล่ะสิ แพทริเซียถอนหายใจในใจก่อนจะพูดออกไปตามตรง
“แม้จะเป็นมือสมัครเล่นแต่ก็ทำได้ไม่เลวเพคะ”
“โล่งอกไปที”
“ที่จู่ๆ พระองค์ทรงทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน…หม่อมฉันควรเข้าใจว่าอย่างไรเพคะ”
“เราไม่ได้บอกไปแล้วหรือ”
เขาผินหน้ามาเล็กน้อยเพื่อมองแพทริเซีย ในขณะที่แพทริเซียกลับหลบตาและเอาแต่มองไปข้างหน้า ทว่า ลูซิโอก็ยังคงมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้นราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจว่านางจะมองกลับหรือไม่และพูดต่อ
“เราจะพยายาม”
“ด้วยบราวนีเพียงอย่างเดียวน่ะหรือเพคะ”
แพทริเซียหัวเราะอย่างเย็นชาแต่ลูซิโอก็พูดต่อไปอย่างไม่ใส่ใจ
“นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เราไม่เคยคิดแม้แต่น้อยว่าจะสามารถเอาชนะใจเจ้าได้ในครั้งเดียว”
“ไม่เคยคิดว่าจะเอาชนะใจได้ในครั้งเดียวหรือเพคะ” แพทริเซียแค่นหัวเราะ “รับสั่งราวกับว่าจะทำไปชั่วชีวิตเลยนะเพคะ”
“หากเจ้าต้องการ”
“…”
“เราก็คิดจะทำเช่นนั้น”
คำพูดนั้นทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของแพทริเซียเล็กน้อย ทว่า ลูซิโอกลับไม่ทันได้สังเกตเห็น เดิมทีบุรุษที่กำลังตกอยู่ในห้วงของความรักก็มักจะทึ่มทื่อกว่าปกติอยู่แล้ว
“ช่างเป็นคำพูดที่เลื่อนลอยยิ่ง องค์สุริยันแห่งจักรวรรดิ”
“เราคิดว่าหากต้องการไถ่โทษที่ได้ทำไว้กับเจ้า เรื่องเพียงเท่านี้เราควรจะทำ” จากนั้นเขาก็เอ่ยถามอย่างขมขื่น “หากยังไม่พอ เราก็จะพยายามให้มากขึ้น”
“หม่อมฉันรู้สึกว่ามันกะทันหันเกินไปเพคะ” แพทริเซียกล่าวเสียงสั่น “การที่จู่ๆ ฝ่าบาทมาบอกว่ารักหม่อมฉัน มันเป็นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการหยอกล้อ”
“มิใช่จู่ๆ หรอก” ลูซิโอพูดอย่างสงบนิ่ง “เราบอกรักเจ้าเมื่อนานมาแล้ว เพียงแต่เจ้า…ไม่คิดจะรับฟังเท่านั้น”
“…”
“เรามิได้จะกล่าวโทษเจ้า เพียงแต่มันเป็นเช่นนั้นจริง…แน่นอนว่าตอนนั้นเจ้าคงยอมรับได้ยาก”
“ตอนนี้ก็ด้วยเพคะ”
“นั่นสินะ” เขาไม่ได้เอ่ยแย้งและพูดต่อ “ด้วยเหตุนั้นเราถึงได้บอกว่าเราจะพยายาม”
พูดจบ เขาก็ถอดเสื้อคลุมที่สวมอยู่และนำไปคลุมให้แพทริเซีย แพทริเซียยืนนิ่งเหมือนหุ่นจำลองขณะที่ลูซิโอเข้ามายืนซ้อนหลังพลางกระซิบเสียงค่อย
“ดูเหมือนเจ้าจะหนาว”
“…”
“หากเราวุ่นวายมากเกินไปต้องขออภัยด้วย”
“หากพระองค์ประชวรเพราะหม่อมฉัน” แพทริเซียมองลูซิโอตรงๆ เป็นครั้งแรกพลางกล่าว “ถึงตอนนั้นพระองค์จะเกลียดหม่อมฉันไหมเพคะ”
“เกลียดหรือ” เขาทวนคำเงียบๆ “แค่เอาเวลาที่เหลือในชีวิตมาเทิดทูนเจ้าก็จะไม่พออยู่แล้ว”
“…”
“แล้วเราจะเกลียดเจ้าได้อย่างไร”
ลูซิโอกระชับคอเสื้อให้แพทริเซียพลางพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ
“คนที่เกลียดคือเจ้าต่างหาง เรามิบังอาจทำเช่นนั้น”
“…”
“สำหรับเรา ขอเพียงเจ้าแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย นั่นก็ถือเป็นพรจากพระเจ้าแล้ว”
พูดจบเขาก็ยิ้มบางๆ ในขณะที่แพทริเซียมองลูซิโอตาใส ผู้ชายคนนี้ชอบทำให้ข้าสับสนอยู่เรื่อย ตั้งแต่พบกันครั้งแรกจนถึงตอนนี้ แพทริเซียพึมพำในใจ เพราะแบบนั้นเขาถึงได้น่าหงุดหงิด ขัดหูขัดตา และน่า…เป็นห่วงยิ่งกว่าเดิม
“ดีขึ้นหรือไม่ เมื่อครู่เราเห็นว่าชุดเดรสของเจ้าบางมาก”
“ดีขึ้นแล้วเพคะ”
“เอ่อ…เรื่องงานวันเกิด” ลูซิโออ้ำอึ้งก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าอยากได้สิ่งใดหรือไม่”
“คราวก่อนหม่อมฉันได้กราบทูลไปแล้วว่าทรัพย์สมบัติไม่มีความหมายสำหรับหม่อมฉันเพคะ”
“ไม่ๆ ไม่ใช่ของแบบนั้น ไม่ต้องเป็นทรัพย์สินเงินทองก็ได้ นอกจากเรื่องขอออกจากวัง…ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด เราจะทำให้ทั้งหมด”
“ตอนนี้หม่อมฉันยังไม่ต้องการสิ่งใดเพคะ” แพทริเซียตอบเสียงห้วน “สักวันหม่อมฉันอาจต้องการบางสิ่ง แต่ตอนนี้หม่อมฉันยังไม่รู้เพคะ”
“อืม…”
ได้ยินดังนั้นลูซิโอก็ทำสีหน้าครุ่นคิด ตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่นะ คิดจะทำอะไรที่ข้าไม่รู้อีกหรือเปล่า แพทริเซียนึกสงสัยขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป
“เช่นนั้น…” แพทริเซียเงยหน้ามองลูซิโอ เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้ามีดอกไม้ที่ชอบหรือไม่”
“…กุหลาบเพคะ”
นางชอบกุหลาบ ตลกร้ายยิ่งนักที่ชื่อของอนุภรรยาของสามีนางก็คือโรสมอนด์ แพทริเซียยิ้มขื่นพลางกล่าวย้ำอีกครั้ง
“หม่อมฉันชอบดอกกุหลาบ”
“อืม ขอบคุณนะที่บอกเรา”
“นี่พระองค์คงไม่ได้คิดที่จะ…” แพทริเซียถามลองใจ “ทำอะไรเชยๆ อย่างเตรียมดอกกุหลาบหนึ่งร้อยดอกใช่ไหมเพคะ”
“…ไม่หรอก”
ดูเหมือนจะใช่ แพทริเซียยิ้มน้อยๆ เป็นครั้งแรก ลูซิโอเห็นดังนั้นก็ปฏิเสธอย่างเย่อหยิ่ง
“ไม่ใช่เด็ดขาด”
“ทราบแล้วเพคะ”
แพทริเซียตอบรับอย่างนุ่มนวลราวกับปลอบเด็กเล็ก เห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นลูซิโอก็ถอนหายใจสั้นๆ
“ไม่ง่ายเลย ความจริงแล้วเราไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน”
“…”
แพทริเซียคิดจะบอกให้อีกฝ่ายล้มเลิกความตั้งใจ แต่นางก็หยุดความคิดนั้นไว้ การพูดแบบนั้นคงจะโหดร้ายเกินไปสำหรับทั้งนางและเขา แต่ความคิดเช่นนั้นก็โผล่ขึ้นมาในหัวอย่างต่อเนื่องทำให้แพทริเซียรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด นางจึงต้องรีบจบบทสนทนาให้เร็วที่สุด
“เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวเพคะ”
“เราจะไปส่ง”
“หม่อมฉันไปเองได้เพคะ”
“เรื่องแค่นี้เจ้าอย่าดื้อดึงนักเลย หากเจ้าไม่อยากอยู่กับเรา…เราจะเรียกองครักษ์มาให้”
“…”
“เรื่องความปลอดภัยเรายอมไม่ได้”
แพทริเซียถอนหายใจสั้นๆ ผู้ชายคนนี้หัวแข็งกับเรื่องแบบนี้จนเกินเหตุ หลังจากนั้นลูซิโอก็เดินไปส่งแพทริเซียถึงตำหนักจักรพรรดินีโดยไม่พูดอะไรแม้ครึ่งคำ ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะเขานึกถึงความรู้สึกของแพทริเซีย แต่นั่นกลับทำให้แพทริเซียอึดอัด เมื่อถึงตำหนักจักรพรรดินี แพทริเซียก็กล่าวลา
“หม่อมฉันทูลลา…”
นางว่าพลางถอดเสื้อคืนให้ แต่เขาก็เอ่ยห้าม
“เข้าไปแล้วค่อยถอด ถ้าเป็นหวัดจะทำอย่างไร”
“แต่…”
“ทำตามที่บอกเถอะ”
ไม่รู้ด้วยเหตุใด แต่น้ำเสียงนุ่มนวลแต่ทรงพลังนั้นกลับมีอิทธิพลต่อนางอย่างประหลาด แพทริเซียพยักหน้านิ่งๆ ลูซิโอเป็นฝ่ายหันหลังเดินจากไปก่อน แพทริเซียยืนมองเบื้องหลังของอีกฝ่ายเงียบๆ ทันใดนั้นนางก็หันหลังกลับราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ปกติแล้วก็มักจะมีคนใดคนหนึ่งเป็นหวัด โดยส่วนมากลูซิโอซึ่งเป็นคนถอดเสื้อให้แพทริเซียควรจะต้องเป็นหวัดและป่วยกระเสาะกระแสะ ทว่า…
“อา ทำไมข้าถึง…”
“ฝ่าบาท พระอาการเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
น่าแปลกที่คนที่เป็นหวัดกลับเป็นแพทริเซียและนางก็รู้สึกว่ามันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย นางเป็นฝ่ายรับเสื้อมาแต่กลับเป็นหวัดเสียนี่ แพทริเซียถามอย่างอ่อนเพลีย
“ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทมีพระอาการประชวรบ้างหรือไม่”
“เพคะ?” จู่ๆ ก็ถูกถามเช่นนี้ มีร์ยาจึงมีสีหน้าสงสัย นางเอียงคอตอบ “ไม่นะเพคะ…ไม่น่ามีเรื่องแบบนั้น”
เช่นนั้นก็หมายความว่าไม่ได้ติดมาจากการสวมเสื้อของเขา แต่ทำไม…! แพทริเซียหลับตาแน่น โชคร้ายจริงๆ นางถอนหายใจอย่างยากลำบากก่อนจะเอ่ยถาม
“แล้วฝ่าบาทล่ะ”
“เพคะ?”
ได้ยินอีกหนึ่งคำถามที่ไม่คาดคิด มีร์ยาก็เอียงคออีกครั้ง แต่ดูเหมือนคราวนี้นางจะไม่รู้จริงๆ จึงไม่ได้ตอบอะไร แพทริเซียจึงถามย้ำเสียงแผ่ว
“ข้าถามว่า…ฝ่าบาทสบายดีหรือไม่”
ตัวนางยังป่วยขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะปกติดีหรือไม่ ตอนนั้นเองมีร์ยาถึงได้เข้าใจความคิดของแพทริเซีย
“อ้อ พระวรกายขององค์จักรพรรดิปกติเพคะ” มีร์ยาตอบ
“อย่างนั้นหรือ”
คำตอบนั้นทำให้แพทริเซียรู้สึกแย่ ตากลมอยู่ด้วยกันแท้ๆ เหตุใดถึงมีแต่ข้าที่… แพทริเซียหลับตาลงด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า นางรู้สึกว่าทำอะไรก็เหนื่อยไปหมด
“วันนี้ทรงพักผ่อนเถิดเพคะ ไม่มีเรื่องด่วนอันใดด้วย” มีร์ยากล่าว
“…คงต้องเป็นเช่นนั้น บอกนีย่าด้วยนะว่าไม่ต้องมา…มิเช่นนั้นจะติดไข้เอาได้”
“ทราบแล้วเพคะ”
มีร์ยาพูดทิ้งท้ายว่าต้องการสิ่งใดให้เรียกและออกจากห้องไป ในห้องเหลือเพียงแพทริเซียที่นอนขยุ้มผ้าห่มด้วยสีหน้าอึดอัดใจ
เหงาจัง
‘ป่วยแล้วฟุ้งซ่านเสียจริง’
แพทริเซียหัวเราะแห้งๆ พลางกะพริบตา ในตอนนั้นเองนางก็เหลือบไปเห็นเสื้อที่คุ้นตา แพทริเซียยื่นมือออกไปคว้าเสื้อตัวนั้นมาโดยไม่รู้ตัว
‘อุ่นจัง…’
ทั้งที่ถูกถอดทิ้งไว้นานแล้วแท้ๆ มันเป็นเสื้อที่นางลืมนำไปคืน แต่นางก็ยังรู้สึกว่ามันอุ่น บางทีอาจเป็นเพราะเฟอร์ที่อยู่บนเสื้อ แพทริเซียสูดลมหายใจเข้า-ออกอย่างยากลำบาก นางได้กลิ่นของผู้ชายคนนั้น กลิ่นที่อบอุ่นทว่าเยือกเย็น ขณะเดียวกันก็หอมหวานทว่าติดขมเล็กน้อย…