ตอนที่ 85 ยั่วยุ

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

“เหตุใดพระชายาแทจาถึงได้ทรงมาเยือนที่มอซอแห่งนี้กันเพคะ”

 

 

ยอมินเอ่ยตอบโอรันด้วยท่าทีที่ไม่ยินดีเท่าใดนัก นางไม่ได้มองไปที่โอรัน อีกทั้งน้ำเสียงยังแข็งกระด้าง คำทักทายเองถึงแม้จะฟังดูถ่อมตน ทว่าก็แฝงความไม่ยินต่อการมาเยือนของอีกฝ่ายด้วย ทว่าโอรันหาได้ใส่ใจ นางยังคงแย้มยิ้ม พร้อมกับตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ประจบแจงมากยิ่งขึ้น

 

 

“ที่ที่ดอกไม้ไร้ผีเสื้อมาเชยชมเช่นนี้จะไม่มอซอได้อย่างไรกันนะเพคะ”

 

 

ดอกไม้และผีเสื้อ เป็นคำเปรียบเปรยที่ผู้ใดฟังก็เข้าใจ

 

 

ยอมินยอมปล่อยผีเสื้อไป ไม่อยู่รั้งรอมาได้นานจนฤดูแปรผันไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่านางจะยอมทนให้คนมาเหน็บแนมเช่นนี้ได้ คิ้วของนางกระตุกอย่างเห็นได้ชัด ยอมินขมวดคิ้วมุ่น พร้อมกับอาจหาญจ้องมองไปที่โอรันด้วยสายตาขุ่นเคือง นางขบกรามแน่น ทว่าก็ยังพยายามที่จะอดกลั้นเอาไว้ หลังจากนั้นนางก็เอ่ยออกไปทีละคำทีละคำ ด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว

 

 

“พระชายาแทจาโปรดระวังวาจาด้วยเพคะ”

 

 

“ไม่สงสัยหรือว่าหม่อมฉันรู้ได้อย่างไรว่าผีเสื้อไม่มาเชยชม”

 

 

ถึงแม้ว่าตอนนี้ยอมินจะแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา ทว่าโอรันก็หาได้ใส่ใจ นางยังคงพูดจาไร้มารยาทต่อไป “หม่อมฉันมีเรื่องอยากสนทนากับชายาฮวางเซจามากมายนักเพคะ”

 

 

โอรันเอนตัวไปข้างหลัง นางทำตัวราวกับว่าเป็นเจ้าของตำหนัก นอนเอนตัวราบลงไปบนเบาะรองนั่ง เสื้อตัวนอกของนางเปิดออก เผยให้เห็นลาดไหล่ โอรันเชิดไหล่ขึ้นด้วยท่าทีชวนมอง และแอ่นโชว์หน้าอกหน้าใจอวบอัดชองตน ยอมินยังคงนั่งหลังตรงมองไปที่โอรัน ถึงแม้ว่ายอมินจะนั่งอยู่สูงกว่า ทว่าสายตาของโอรันที่มองขึ้นมาจากด้านล่างนั้นช่างดูหยิ่งยโสนัก

 

 

“หม่อมฉันไม่มีเรื่องจะสนทนากับพระชายาแทจาเพคะ” ยอมินที่เอ่ยออกมาอย่างเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวพูดต่อ “และยิ่งได้เห็นท่าทางไม่งามตาเช่นนี้ด้วยแล้วนั้น”

 

 

โอรันพูดแทรกขึ้น “แต่หม่อมฉันกำลังจะพูดเรื่องดอกไม้ดอกใหม่ที่ผีเสื้อของชายาฮวางเซจาไปเชยชมอยู่นะเพคะ”

 

 

“หากเป็นเรื่องนั้นก็ยิ่งไม่มีอันใดจะต้องพูดคุยเพคะ!”

 

 

เสียงของยอมินดังขึ้นในฉับพลัน นางเม้มริมฝีปากของตนแน่นจนมันบางลงจนแทบมองไม่เห็น

 

 

“หม่อมฉันคิดว่าระหว่างเราไม่มีเรื่องใดที่ต้องสนทนาร่วมกันเพคะ”

 

 

ยอมินกลับมาสงบลงได้อีกครั้ง หากเป็นเรื่องหักห้ามใจตัวเองแล้วนั้น ยอมินทำมันจนเป็นนิสัยมาได้กว่าหลายสิบปีแล้ว นางปฏิเสธออกไปอย่างสุภาพด้วยท่าทีสุขุมตั้งมั่น นางนั่งก้มหน้าลงอย่างนอบน้อมอยู่ที่ที่นั่งของตน โอรันที่เอนตัวลงบนเบาะรองนั่งจนเกือบจะนอนลงไป จ้องมองยอมินด้วยแววตาที่ยากจะอ่านออก นางกวาดตามองสำรวจยอมินอย่างละเอียด องศาที่นางก้มหน้าไม่มองโอรัน ริมฝีปากปิดสนิทที่เจือรอยยิ้มบาง ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงอ่อน สันจมูกโด่งเรียวบวกกับปีกจมูกเล็ก รูปคิ้วที่ถูกตัดแต่งไว้อย่างเป็นระเบียบ หน้าผากที่ขาวผ่องและเกลี้ยงเกลา หากจะมีบัณฑิตที่เป็นหญิง ก็คงจะมีลักษณะเช่นนี้กระมัง

 

 

ใบหน้าของโอรันแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย ทว่าหากสังเกตุดูดีๆ แล้วจะเห็นความโกรธที่แฝงอยู่ อีกทั้งยังมีความสนุกสนานเจืออยู่ในนั้นด้วย โอรันเพิ่งเคยได้พานพบคนที่ปฏิเสธตนเองอย่างแน่วแน่หลายต่อหลายครั้งเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่เคยกล้าที่จะขัดใจนาง แล้วยิ่งเป็นยอมินที่ในปกติขึ้นชื่อว่าเป็นคนซื่อและเรียบร้อย ไม่คิดเลยว่านางจะเย็นชาได้ถึงเพียงนี้ โอรันทั้งไม่อยากจะเชื่อ และรู้สึกเสียหน้าจึงยกยิ้มขึ้น

 

 

น่าสนุกนี่ น่าสนุกยิ่ง

 

 

ไม่คิดเลยว่าหญิงตรงหน้าจะทำให้ตนรู้สึกสนุกถึงเพียงนี้ นางยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นสูง รอยยิ้มของนางบิดเบี้ยว หลังจากนั้นโอรันก็พ่นถ้อยคำร้ายกาจออกไป

 

 

“หม่อมฉันอยู่ที่วังแห่งนี้มาเกือบจะสิบปีแล้ว จึงคิดว่าตัวหม่อมฉันนั้นรู้เรื่องเกี่ยวกับพระราชวังนี้ดีนัก ทว่ากลับมีอีกหลายเรื่องพิลึกพิลั่นที่หม่อมฉันยังไม่รู้”

 

 

จากกโยซึลก็ต่อด้วยยอมิน พวกนางช่างกวนใจโอรันนัก เป็นเรื่องที่โอรันไม่คาดคิดมาก่อน

 

 

“พระราชวังนั้นช่างเป็นที่น่ารื่นรมย์ยิ่ง ว่าไหมเพคะ”

 

 

ยอมินนั่งหน้านิ่งไม่ตอบอะไรออกไป โอรันที่หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานพลันหยุดชะงัก และมองไปที่ยอมิน สายตาของนางกวาดมองสำรวจยอมินช้าๆ อีกครั้ง

 

 

“เจ้า…”

 

 

นิ้วของโอรันพลิ้วไหวไปมาบนอากาศอย่างน่ามอง นิ้วมือที่เคลื่อนไหวไปมาราวกับกำลังร่ายรำหยุดชี้ไปที่ยอมิน

 

 

“รู้อยู่แล้วใช่หรือไม่”

 

 

ยอมินไม่ตอบอะไร แม้แต่ดวงตาของนางก็ไร้การเคลื่อนไหว ไม่นานนางก็เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไร้ความสั่นไหว

 

 

“ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”

 

 

“ทรงรู้ดีไม่ใช่หรือเพคะว่าหม่อมฉันหมายความว่าอย่างไร” โอรันไล่ต้อนยอมิน “ทรงรู้เรื่องทุกอย่างทั้งหมดอยู่แล้วหรือนี่”

 

 

“หม่อมฉันเพียงแค่ไม่ได้สนใจว่าผีเสื้อจะไปอยู่ที่ใดเพคะ”

 

 

“ว่าอย่างไรนะ”

 

 

โอรันกับยอมินพูดโต้ตอบกันอย่างรวดเร็ว โอรันพ่นลมหายใจแรงๆ แล้วถามกลับไป

 

 

“ถึงแม้ว่าหม่อมฉันจะแจ้งแล้วว่าเป็น ‘ดอกไม้ดอกอื่น’ ก็ทรงไม่สนใจหรือ”

 

 

“เป็นบุรุษจะมีหญิงข้างกายถึงสองนางก็ไม่เห็นแปลกนี่เพคะ”

 

 

“นั่นสินะเพคะ” โอรันพยักหน้าเห็นด้วย “ช่างเป็นชายาที่ใจกว้างเสียจริงนะเพคะ”

 

 

“หม่อมฉันเพียงดูแลฝ่าบาทฮวางเซจาในฐานะชายาของพระองค์เพียงเท่านั้นเพคะ”

 

 

“ดูแลในฐานะชายาฮวางเซจาเพียงเท่านั้นหรือ”

 

 

โอรันพูดทวนคำของยอมินอีกครั้ง ทั้งน้ำเสียงและแววตาของนางนั้นเหม่อลอยอยู่ในอากาศ

 

 

“ชายาฮวางเซจาทรงหมายความว่าระหว่างชายากับองค์ฮวางเซจานั้นไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ทว่าเพียงผูกมัดกันในนามเพียงเท่านั้นหรือเพคะ”

 

 

“ทรงเข้าใจอะไรรวดเร็วนักเพคะ”

 

 

“เอ่ยชมเกินไปแล้ว หม่อมฉันนั้นอยู่กินอยู่ที่พระราชวังแห่งนี้มากว่าสิบปีแล้วนะเพคะ”

 

 

โอรันตอบกลับด้วยน้ำเสียงฉอเลาะแฝงคำถากถาง นางจงใจกระทั่งเอียงหน้ามอง บทสนาโต้ตอบกันถึงจะดำเนินไปอย่างสันติและนอบน้อมต่อกัน ทว่าหากฟังดูดีๆ แล้วมันแฝงการดูแคลนซึ่งกันและกันอยู่ไม่น้อย เป็นเรื่องน่าตกใจเล็กน้อยที่จนถึงตอนนี้โอรันผู้มีนิสัยราวกับไฟร้อน ทำเพียงพูดตอบโต้ไปมา ไม่ได้แสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาแต่อย่างใด ไม่แน่ว่าโอรันอาจรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าตนทำตัวเสียมารยาท และที่วันนี้ยอมินมีท่าทีต่างไปจากเดิม ก็อาจเป็นเพราะท่าทีโอหังของโอรันก็เป็นได้ ทว่าโอรันก็ยังไม่ยอมเลิกรา

 

 

“แต่เรื่องนี้หม่อมฉันคิดว่าชายาฮวางเซจาควรจะรู้ไว้นะเพคะ ในฐานะที่ทรงเป็นชายาของฮวางเซจา”

 

 

“หม่อมฉันไม่ได้อยากรู้เพคะ”

 

 

“ว่าอย่างไรนะเพคะ”

 

 

โอรันสับสนกับท่าทีเด็ดเดี่ยวของยอมินจึงเผลอพูดออกไปด้วยความงุนงง ทว่าไม่นานนางก็ตั้งตัวได้

 

 

“เป็นเรื่องเกี่ยวกับฝ่าบาทฮวางเซจานะเพคะ”

 

 

“หม่อมฉันไม่สนเพคะ” ยอมินหันหน้าหนีไปอีกทาง โอรันมึนงงจนพูดอะไรไม่ออก ไม่มีสิ่งใดได้ดั่งใจนางเลยสักเรื่อง โอรันลุกขึ้นมานั่งตัวตรงอีกครั้งด้วยความอึดอัดใจ เสื้อตัวนอกของนางตกลงจนเผยให้เห็นลาดไหล่และต้นแขน ทว่านางก็ไม่ได้สนใจ เพราะไม่มีช่องว่างให้นางได้ใส่ใจมันนัก นางยื่นตัวออกไปข้างหน้าแล้วจ้องมองยอมินด้วยแววตาดุร้าย

 

 

“จะไม่ฟังก่อนหรือเพคะว่าเรื่องเป็นอย่างไร”

 

 

“หม่อมฉันไม่อยากให้มีเรื่องวุ่นวายใดเกิดขึ้นเพคะ”

 

 

“ทรงพูดเหมือนกับว่าทรงรู้อยู่แล้วว่าหากได้ฟัง มันจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น”

 

 

“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด หากรับรู้มากเกินไปมันจะยิ่งเป็นที่พูดถึงมากขึ้น และจะมีความคิดมากมายเกิดขึ้น รวมทั้งมีข้อเสียต่างๆ ตามมาอีกมาก หม่อมฉันไม่อยากให้มีความวุ่นวายใดเกิดขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตามเพคะ และไม่ได้หวังจะให้มันเกิดขึ้นด้วย หม่อมฉันเพียงแค่ต้องการให้เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เพคะ เพราะฉะนั้นจึงตั้งใจว่าจะไม่ขอรับรู้เรื่องราวใดที่หม่อมฉันไม่ต้องการรับรู้เพคะ”

 

 

ยอมินพูดออกมาอย่างแน่วแน่ นางไม่ปล่อยให้โอรันได้พูดแทรกขึ้นมาเลย เพราะนางไม่ต้องการรับฟังสิ่งใดแม้แต่น้อย ไม่ว่าโอรันกำลังจะพูดเรื่องอะไร นางก็ไม่อยากรับฟัง โอรันที่เห็นท่าทีหนักแน่นของยอมินไม่ได้พูดคำใดออกมา ทว่าในหัวนางนั้นกลับมีคำพูดมากมาย

 

 

นางรู้อยู่แล้วอย่างนั้นหรือ หรือเพราะนางไม่ต้องการรับรู้เรื่องใดจริงๆ ถึงได้ปฏิเสธออกมาอย่างนี้

 

 

โอรันไม่อาจคาดเดาความคิดของยอมินได้เลย เพราะยอมินเก็บสีหน้าได้ดียิ่งนัก โอรันครุ่นคิดในหัวท่ามกลางความเงียบสงบนี้ ไม่แน่ว่าอาจมีเพียงแค่นางคนเดียวที่พยายามอยู่ก็เป็นได้ เพราะยอมินดูไม่ได้ให้ความสนใจเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

“คิดถูกจริงๆ ที่วันนี้มาเยือนพระราชวังใต้” โอรันเหยียดยิ้ม “หม่อมฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าชายาฮวางเซจาจะเป็นผู้ที่น่ายกย่องถึงเพียงนี้”

 

 

“…”

 

 

ยอมินมองโอรันโดยไม่พูดอะไร โอรันยกยิ้มหวาน พร้อมกับลุกขึ้นจากที่นั่ง

 

 

“ประตูวังตะวันตกเปิดอยู่เสมอ หากวันข้างหน้าทรงเบื่อหน่าย และใคร่อยากรู้ขึ้นมา ก็ทรงมาร่วมสนทนากับหม่อมฉันได้นะเพคะ”

 

 

“ขอให้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพเพคะ”

 

 

ยอมินไม่ได้หลงกลโอรัน หลังจากที่นางบอกลาแล้ว นางก็ไม่ได้ให้ความสนใจโอรันอีก

 

 

ครืด พลั่ก

 

 

เสียงปิดประตูดังสนั่นราวกับเสียงปิดประตูป้อมปราสาทอย่างไรอย่างนั้น และทันใดนั้นยอมินก็ทรุดตัวในทันที หลังที่เคยตั้งตรงคดงอลง นางใช้แขนค้ำกับพื้นไว้ นางก้มหน้าลงต่ำ

 

 

“พระชายา!”

 

 

โบจินที่ยืนอยู่ข้างผนังห้องตรงดิ่งเข้ามาด้วยความตกใจ นางเข้าไปประคองยอมินไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง แขนของยอมินสั่นสะท้านราวกับว่ากำลังต้องอากาศที่หนาวจัด

 

 

“นี่เขาไปทำอะไรไว้กันแน่ เหตุใดถึงได้ถูกคนผู้นั้นจับได้”

 

 

เสียงคร่ำครวญดังขึ้น และในเวลาเดียวกันนั้นหยดน้ำอุ่นๆ ก็ไหลจากดวงตานางด้วยเช่นกัน

 

 

“พระชายา พระชายาผู้น่าสงสารของหม่อมฉัน”

 

 

โบจินยื่นมือไปสัมผัสที่แก้มของยอมิน ทว่าแม้จะใช้มือทั้งสองข้างก็หาได้เพียงพอ เพราะมือของโบจินเล็กเกินกว่าจะเช็ดธารน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาไม่ขาดสายได้

 

 

“ทรงทำได้ดีแล้วเพคะ พระองค์ทรงเข้มแข็งมาก ทรงไม่อ่อนไหวเลยสักนิด”

 

 

โบจินพูดปลอบยอมิน ส่วนยอมินนั้นก็เอนหัวพิงที่อ้อมอกของโบจินที่อายุน้อยกว่าตน โบจินใช้ตัวเล็กๆ ของนางรับตัวยอมินไว้ มือของโบจินที่ลูบแก้มของยอมิน และมือที่ลูบปลอบยอมินอยู่นั้นอ่อนโยนยิ่ง และความอ่อนโยนนี้ก็ยิ่งทำให้ยอมินเศร้าโศกมากยิ่งขึ้น

 

 

“ท่านผู้นั้นกล้าทิ้งพระชายาที่งดงามถึงเพียงนี้ไปได้อย่างไร…”

 

 

โบจินเอ่ยคำล่วงเกินออกมาด้วยความคับแค้นใจ แต่ถึงกระนั้นยอมินก็ยังคงถามขึ้นว่า

 

 

“เราควรไปบอกพระองค์ให้ระวังตัวหรือไม่”

 

 

“ตามแต่ที่พระชายาทรงประสงค์เถิดเพคะ หม่อมฉันอยู่ข้างพระชายาเสมอ จะทำตามที่รับสั่งทุกอย่างเพคะ”

 

 

ความจริงแล้วโบจินอยากจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ เสียด้วยซ้ำ ทว่าโบจินคิดว่าอย่างน้อยตนก็ต้องอยู่ข้างยอมิน จึงตั้งใจที่จะทำตามที่ยอมินต้องการอย่างไม่มีเงื่อนไข แม้โบจินจะเอ่ยสนับสนุน ทว่าโชคดีที่ยอมินล้มเลิกความคิดนั้นไปด้วยตัวเอง

 

 

“อย่าดีกว่า เราไม่อยากพูดเรื่องนี้กับเขา หากต้องไปพบเขาโดยตรง เราคงทนไม่ได้”

 

 

ยอมินส่ายหน้าไปมา ราวกับว่าหากส่ายหัวไปมาอยู่อย่างนี้จะทำให้ความคิดในหัวหลุดออกไปได้

 

 

เป็นเพราะลมที่พัดมา

 

 

เพราะสายลมที่พัดผ่านจึงทำให้เรื่องมันยุ่งเหยิงอย่างนี้ เพราะสายลมจึงทำให้หัวใจของตนสับสนอลหม่านถึงเพียงนี้ และมนุษย์นั้นย่อมไม่สามารถต้านทานสายลมได้

 

 

สายลมที่พัดหมุนไปทั่วทั้งพระราชวังนั้น พัดผ่านไกลออกไป พร้อมทั้งพัดเอาเวลาให้ผ่านไปด้วย