ขณะที่กโยซึลกำลังจะกอดมู
“แทฮวางกุน! เหตุใดถึงประพฤติตนเลินเล่อเช่นนี้!”
เสียงดุแหลมดังขึ้น ทันทีที่มูได้ยินเสียงตะหวาดนั่น เขาก็รีบผละตัวออกจากกโยซึลทันที
“ท ท่านแม่…”
มูยืนตัวตรง เก็บมือเรียบร้อย แล้วก้มหน้าลง เขาชินแล้วที่ต้องทำตัวให้อยู่ในท่าทีเรียบร้อยเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องที่เขาต้องทำเป็นประจำ
ผู้ที่ปรากฏตัวพร้อมกับคำตวาดแหลมคือ โอรัน
กโยซึลที่นั่งย่อตัวลงยืนขึ้น แล้วเอ่ยทักทายโอรัน โอรันรีบทำความเคารพกโยซึลอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ตรงเข้าไปหามู แล้ววางมือบนไหล่ทั้งสองข้างของมู โอรันดึงตัวมูเข้ามาใกล้ตน ราวกับกำลังต้องการแยกมูออกจากกโยซึล โอรันลงแรงไปที่มือที่วางอยู่บนไหล่ของมู มูที่สัมผัสได้ถึงแรงบีบที่ไหล่ของตนก็เกิดหวาดกลัวขึ้นมา จึงเงยหน้ามองแม่ของตน
“ขออภัยขอรับ ท่านแม่ ลูกผิดไปแล้ว”
เมื่อโอรันเห็นมูพูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือด้วยความกลัว ก็รู้ตัวว่าตนเองทำเกินไป จึงได้ยกยิ้มขึ้นแล้วย่อตัวลงให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกันกับเขา
“หามิได้ แทฮวางกุน แม่ผิดเอง แม่แค่ไม่อยากให้เจ้าทำตัวไม่มีมารยาท เพราะพระชายาฮวางแทจาทรงเป็นบุคคลที่สูงส่งนัก”
กโยซึลที่ได้ยินสิ่งที่โอรันเอ่ยออกมาหน้าบึ้งตึงลงเล็กน้อย คำพูดที่ว่าไม่อยากให้ทำตัวไม่มีมารยาท เพราะเป็นบุคคลที่สูงส่งนั้นแปลความได้ว่าให้รักษามารยาท ทว่าสำหรับกโยซึลแล้วนั้นกลับตีความได้อีกในความหมายหนึ่ง การรักษามารยาทที่เคร่งครัดเกินไปนั้นคือการเว้นระยะห่าง และหากเว้นระยะห่างต่อกันก็ย่อมสนิทสนมกันยาก อีกทั้งท่าทีวางตัวห่างเหินของโอรันก็ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจเสียเท่าไร
เหตุใดชายาแทจาถึงได้หวาดระแวงเราถึงเพียงนี้กันนะ
ขณะที่กโยซึลกำลังจมอยู่ในความคิดของตน มูที่เห็นว่าโอรันพูดเสียงอ่อนลงก็กลับมาร่าเริง แล้วพูดเจื้อยแจ้วได้อีกครั้ง
“ขอรับ ลูกจะประพฤติให้ถูกต้องตามมารยาท แล้วก็ ท่านแม่ ลูกมีเรื่องอยากทูลขอท่านแม่ขอรับ”
“เรื่องที่อยากขอหรือ”
“ขอรับ คือว่า เป็นความคิดของพระชายาขอรับ…ว่าลูกเองก็ควรจะมีสหายผู้ติดตามบ้าง!”
มูหน้าขึ้นสี ตะโกนออกมาสุดเสียง ดวงตาของเขาเปล่งประกาย เต็มไปด้วยความคาดหวัง ทว่าหลังจากได้ยินคำว่าสหายผู้ติดตาม ใบหน้าของโอรันก็บึ้งตึงตรงกันข้ามกับมูอย่างลิบลับ โอรันยืดตัวตรงแล้วหันไปทางกโยซึล
“พระชายาฮวางแทจาทรงตรัสว่ามูควรจะมีสหายผู้ติดตามหรือเพคะ”
“เพคะ หม่อมฉันเห็นว่าแทฮวางกุน มูทรงเหงา…”
“ฮวางแทกุน มูนั้นแตกต่างจากเด็กคนอื่นเพคะ แต่พระองค์กลับทรงอยากให้เขามีสหายเฉกเช่นเด็กทั่วไป ช่างไม่สมควรเอาเสียเลยนะเพคะ อีกอย่างในตอนนี้ชายาเซจาเองก็ทรงให้กำเนิดแทฮวางจูแล้ว อีกไม่กี่ปีนางจะต้องเป็นน้องสาวที่คอยช่วยเหลือแทฮวางกุนเป็นอย่างดีแน่เพคะ หม่อมฉันคาดการณ์ทุกอย่างไว้แล้วถึงได้ไม่หาสหายผู้ติดตามให้กับฮวางแทกุน เพราะฉะนั้นโปรดอย่าได้ตรัสถ้อยคำไม่เข้าท่าให้เด็กฟังเลยนะเพคะ”
“…หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”
ถึงแม้กโยซึลอยากจะคัดค้านมากเพียงใด แต่โอรันก็เป็นมารดาของมู การเข้าไปยุ่งเรื่องวิธีการเลี้ยงบุตรของคนเป็นแม่ เป็นเรื่องที่อ่อนไหวนัก กโยซึลจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงยอมรับแต่โดยดีเพียงเท่านั้น มูที่เข้าใจว่าโอรันกับกโยซึลกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ พลันใบหน้าก็บึ้งตึงลง เด็กน้อยมองไปที่กโยซึลด้วยดวงตาเศร้าสร้อย เห็นดังนั้นกโยซึลก็พลันร้อนรนใจ
“ทว่า ถึงอย่างไร…”
ทันทีที่กโยซึลเอ่ยปากพูดขึ้น โอรันก็รีบพูดเสริมต่อทันทีราวกับว่าอ่านใจของกโยซึลออกว่าต้องการที่จะพูดอะไร
“อีกทั้งทางวังตะวันตกได้ใส่ใจและพยายามอย่างเต็มที่ต่อการเลี้ยงดูสั่งสอนฮวางแทกุน ฉะนั้นแล้วพระชายาฮวางแทจาทรงไม่ต้องกังวลพระทัยไปหรอกเพคะ อีกอย่างนี่ก็เป็นหน้าที่ของหม่อมฉัน หากพระชายาฮวางแทจาทรงยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้อง มิใช่หมายความว่าหม่อมฉันทำหน้าที่บกพร่องหรือเพคะ”
“หม่อมฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะเพคะ”
กโยซึลรีบตอบกลับคำพูดอ้อมค้อมยืดยาวของโอรันในทันที โอรันทำเพียงยกยิ้ม พร้อมกับเอียงคอ
“เช่นนั้นขอทรงโปรดอย่าได้สนใจเรื่องของฮวางแทกุนมากนักเลยเพคะ”
โอรันก้มศีรษะลงต่ำ กโยซึลหันหน้าไปมองมูอย่างช่วยไม่ได้ ไหล่ของเด็กน้อยตกลง หลังจากนั้นโอรันก็ดึงให้มูที่ยืนอย่างหมดอาลัยตายอยากยืดตัวตรงทำความเคารพ แล้วพากันเดินออกจากอุทยานไป กลีบดอกไม้บนพื้นที่ร่วงหล่นจากกิ่งก้านช่างดูน่าสงสารยิ่งนัก
***
“หญิงเจ้าเล่ห์”
ปากของโอรันสั่นระริก หลังจากส่งมูให้ซังกุงอุ้มกลับตำหนักตะวันตกแล้ว นางก็เดินผ่าพระราชวังด้วยฝีเท้าที่ลงน้ำหนักกระแทกกระทั้น
“เด็กน้อยนั่นมีดีอะไรกัน ทุกคนถึงได้หลงไปกับหน้าตาสะสวยนั่นกันหมด”
โอรันยังคงพ่นคำพูดอวดดีออกมาไม่หยุด ทั้งฮวางแทจาที่เยือกเย็นราวกับก้อนน้ำแข็ง ทั้งฮวางเซจาผู้วางตัวดีมาตลอด แม้กระทั่งพระสวามีของตนอย่างแทจาเองก็มองนางด้วยสายตาสนอกสนใจ แล้วไหนจะลูกของตนอย่างมู ที่เรียกนางว่าพระชายาขี้โรค พร้อมตามติดนางต้อยๆ ช่างขัดหูขัดตาตนยิ่งนัก
“ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะทำตัวอวดดีไปได้อีกนานสักเท่าไร”
โอรันเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ไม่นานนางก็เดินผ่านประตูใหญ่ของตำหนักหนึ่ง แล้วมุ่งหน้าไปที่ห้องบรรทมในทันที
โอรันนั่งเอนตัวอยู่บนเบาะรองนั่ง ส่วนเจ้าของตำหนักนั้นนั่งที่ธรรมดา หลังจากนั้นโอรันก็เอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงรื่นหู
“ที่ผ่านมาไม่ได้ติดต่อกันเลยนะเพคะ”
“เหตุใดพระชายาแทจาถึงได้ทรงมาเยือนที่มอซอแห่งนี้กันเพคะ”
เสียงเล็กบางที่เจือความไม่ค่อยยินดีเท่าไรนักเอ่ยตอบโอรัน แต่โอรันก็ยังคงแย้มยิ้ม พร้อมกับตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ประจบแจงมากยิ่งขึ้น
“ที่ที่ดอกไม้ไร้ผีเสื้อมาเชยชมเช่นนี้จะไม่มอซอได้อย่างไรกันนะเพคะ”
“พระชายาแทจาโปรดระวังวาจาด้วยเพคะ”
“ไม่สงสัยหรือว่าหม่อมฉันรู้ได้อย่างไรว่าผีเสื้อไม่มาเชยชม”
ใบหน้าของผู้ที่นั่งอยู่ตำแหน่งที่นั่งธรรมดาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาในที แต่โอรันก็หาได้ใส่ใจ นางยังคงเปล่งเสียงร่าเริงพูดต่อ
“หม่อมฉันมีเรื่องอยากสนทนากับชายาฮวางเซจามากมายนักเพคะ”
ผู้ที่โอรันมาหาคือ ยอมิน