บทที่ 62 เมืองกลืนธารา
หลงซี
ภูเขาขนาดใหญ่ในอาณาจักรหลงซางหรือที่รู้จักกันในชื่อภูเขาหวงหลง
ภูเขาหวงหลง เป็นภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้ มันทอดตัวยาวไปกว่าหมื่นลี้ จากเหนือจรดใต้ ลัดเลาะตัดผ่านไปทั่วทั้ง 6 มณฑล
หลงซีอยู่ทางทิศตะวันตกของหวงหลง เดิมมันถูกเรียกขานในชื่อเขตมังกรตะวันตก ก่อนที่ต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อหลงซี
หากเดินทางจากเมืองภูผาเมินไป แม้จะขี่ม้าเร็วก็ยังต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 2-3 เดือน
แต่โชคดีที่ซูเฉินมีเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอยู่ และเขาก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะไปถึงแต่อย่างใด
ตระกูลกู่ เป็นตระกูลใหญ่มากในเขตหลงซี ตระกูลกิ่งก้านสาขากระจายไปทั่วเขตและเมืองรอบ ๆ ส่วนตัวสาขาหลักนั้นตั้งอยู่ในเมืองกลืนธารา
เมืองกลืนธาราอยู่ใกล้แม่น้ำ ทว่าแม่น้ำนี้ไม่ได้มีชื่อว่ากลืนกินหรืออะไรทำนองนั้นแต่แรก จริง ๆ แล้วมันถูกเรียกว่าแม่น้ำอายุยืน นอกจากนี้ก็ยังมีอ่าวแคบ ๆ ที่รู้จักกันในนามอ่าวกลืนกินอยู่ไม่ไกลนัก
ชื่อปัจจุบันของแม่น้ำกลืนกินนี้ จึงเกิดมาจากการรวมกันของชื่อแม่น้ำอายุยืนกับอ่าวกลืนกิน
สาขาหลักของตระกูลกู่ตั้งอยู่ที่ใจกลางเมืองกลืนธารา
เรือเหาะของซูเฉินร่อนลงบริเวณใกล้กับชานเมือง เมืองนี้ได้รับการคุ้มกันรอบคอบ และไม่อนุญาตให้มีการบินเหนือน่านฟ้าของเมือง หากไปฝ่าฝืนเข้าก็มีสิทธิ์ที่จะถูกโจมตีทันที
หลังจากลงจอดแล้ว ซูเฉินก็เก็บเรือเหาะไปและเดินเข้าไปในเมืองพร้อมกับกังเหยียน
ตระกูลกู่ตั้งอยู่ในตรอกต้นหลิวตะวันตกของเมืองกลืนธารา
เมื่อเขาไปถึงที่ตรอกต้นหลิวนั่น ชายหนุ่มก็ได้รับการต้อนรับจากประตูทองแดงขนาดใหญ่ที่ขนาบข้างด้วยรูปปั้นมังกรไร้เขา 2 ตัวที่ประดับประดาไปด้วยทองคำ ผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณ 2 คนยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูหน้า ด้วยท่าทีองอาจสมเป็นคนของตระกูลใหญ่
เมื่อผู้เชี่ยวชาญที่ด้านหน้าประตูเห็นซูเฉินเดินเข้ามาหาพวกเขา และถามเขาอย่างสุภาพ “ท่านมาหาใครงั้นหรือ ?”
ซูเฉินประสานมือคารวะ “ข้าเป็นอดีตเจ้ากรมพลังต้นกำเนิดจากเมืองธารน้ำใส ข้ามาเพื่อขอพบกับท่านชายจิ่นถัง”
ชายหนุ่มไม่ได้ขอพบกู่ชิงลั่วโดยตรง แต่เป็นกู่จิ่นถังผู้ซึ่งเขาเคยพบที่เมืองฉางผานในตอนนั้นแทน
ผู้เฝ้าประตูที่ได้ยินว่าซูเฉินเป็นอดีตเจ้ากรมและเป็นเพื่อนของกู่จิ่นถัง พวกเขาก็ย่อมไม่เลือกสร้างปัญหาให้กับชายหนุ่ม และเลือกที่จะรีบกลับเข้าไปรายงานเรื่องนี้ หลังจากนั้นไม่นานนักกู่จิ่นถังก็ปรากฏตัวขึ้น
เมื่อกู่จิ่นถังเห็นซูเฉินเขาก็พูดขึ้นอย่างมีความสุข “พี่ซูเป็นเจ้านี่เอง ! ในที่สุดก็มาถึงแล้ว นี่ ชิง…”
ซูเฉินพูดขัดหยุดเขาไว้ โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบประโยค “พี่กู่ ไม่ได้เจอกันเสียนาน ข้าคิดถึงเจ้ามากจริง ๆ”
ขณะที่พูดเขาก็ดึงตัวอีกฝ่ายลงมา
ท่านชายจิ่นถังตระหนักได้ถึงบางอย่างและพูดเบา ๆ “อะไรกัน ? เจ้าไม่ต้องการให้ชิงลั่วรู้งั้นหรือ ?”
“ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม มาคุยกันก่อน” ซูเฉินตอบ
“เจ้านี้น่าสนใจจริง ๆ เอาล่ะ มาหาที่นั่งแล้วค่อย ๆ พูดคุยกันเถอะ” กู่จิ่นถังหัวเราะ
ณ ศาลาพันจลา*(1)
กู่จิ่นถังกับซูเฉินนั่งตรงข้ามกันอยู่ในห้องที่ถูกตกแต่งมาอย่างประณีตและหรูหรา โดยมีกังเหยียนยืนเฝ้าอยู่ที่ด้านหน้าประตู
“มา ๆ ดื่ม ๆ ตั้งแต่ที่เมืองฉางผานก็ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญอย่างเรา ๆ มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว เวลาผ่านไปราวพริบตาจริง ๆ ข้ายังคงจำทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้อย่างชัดเจนอยู่เลย ได้ยินว่าหลังจากที่เจ้ากลับไปถึงเมืองธารน้ำใส ก็ไปสร้างวีรกรรมอันกล้าหาญจัดการกวาดล้าง 10 ตระกูลสายเลือดชั้นสูงซะเรียบ ข้าขอต้องบอกเลยว่ามันน่าประทับใจมาก” กู่จิ่นถังพูดขณะที่เริ่มลงมือกิน
เขาพักดื่มเหล้าจนเต็มปากก่อนจะพูดต่อ “แต่ไม่ว่าชีวิตของผู้เชี่ยวชาญจะยาวนานแค่ไหน และดูเหมือนว่าเวลาจะไม่สำคัญสำหรับเรามากนักก็ตาม ทว่าการปล่อยปละเวลามากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน น้องเจ็ดเองก็โตมากแล้ว แม้ในตระกูลสายเลือดชั้นสูงอายุ 37 ปีจะนับว่ายังเด็ก แต่มันก็ถึงช่วงที่จะต้องพิจารณาถึงเรื่องของการแต่งงานแล้ว”
ซูเฉินตอบว่า “ข้าเข้าใจดี ข้าจึงได้มาที่นี่ทันทีหลังจากหมดวาระงาน อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ไม่คาดฝันระหว่างทางเลยทำให้ข้าเสียเวลาไป 1 ปีเต็ม จนได้แต่หวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น”
“ไม่มีเรื่องอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นหรอก มีก็แต่ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ” กู่จิ่นถังตอบ “เจ้าค่อนข้างฉลาดที่เลือกมาหาข้าก่อน หากเจ้าไปหาชิงลั่วตอนนี้ เจ้าได้ติดอยู่ในปัญหายุ่งยากเกินจะหลบเลี่ยงเป็นแน่”
“หืม ? พี่กู่หมายถึง ?”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร” ท่านชายว่าต่อ “ลุงของข้าได้หาคู่หมั้นมาให้ชิงลั่ว”
“คู่หมั้น… ” ซูเฉินหรี่ตาลง
กู่จิ่นถังเริ่มอธิบาย
ไม่นานก่อนหน้านี้ กู่เซวียนเหมี่ยนพ่อของกู่ชิงลั่วได้เลือกคู่ครองมาให้นางด้วยตัวเอง อีกฝ่ายคือโจวชิงขวงคนของตระกูลโจวจากเมืองกระเรียน และเขาจะมาที่นี่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพื่อจัดพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการ
“โจวชิงกวงคนนี้เป็นใครจากไหน ?” ซูเฉินถาม
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องกระเรียนสีชาดไหม ?” กู่จิ่นถังตอบกลับด้วยคำถาม
การแสดงออกของซูเฉินเปลี่ยนไป “ราชันอสูรตาแดง ?”
ในช่วงการปกครองของจักรพรรดิปิง เนื่องจากความเสื่อมโทรมและความอ่อนแอของอาณาจักร ทำให้เกิดศัตรูจากภายนอกแทรกซึมเข้ามาได้อย่างง่ายดาย เผ่าสัตว์อสูรรุกรานทำให้อาณาจักรตกอยู่ในวิกฤต สร้างหายนะแก่เผ่ามนุษย์
หนึ่งในสัตว์อสูรที่เลวร้ายและอันตรายที่สุด ในช่วงเวลานั้นคือราชันอสูรตาแดง
ราชันอสูรตาแดงตรงตัวตามชื่อ มันคือสัตว์อสูรระดับราชันย์อสูรกายที่ทรงพลังอย่างยิ่ง แต่เอกลักษณ์ที่เลวร้ายที่สุดของมันคือความเร็วไร้คำเปรียบ และสัญชาตญาณที่กระหายเลือด ต่างจากสัตว์อสูรส่วนใหญ่ที่ฆ่ามนุษย์เพื่อเป็นอาหาร กระเรียนสีชาดฆ่ามนุษย์เพียงแค่เพื่อความสนุกเท่านั้น มันชอบล่าผู้เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ และเพราะความรวดเร็วที่เกินบรรยาย มันจึงสามารถหลบหนีได้เสมอไม่ว่ามันจะล่าเหยื่อสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ครั้งหนึ่งมันเคยถูกดักล้อมโดยมนุษย์นับไม่ถ้วน แต่ก็ยังสามารถหลบหนีไปได้
ครั้งหนึ่ง พวกเขาได้ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการอ่านความคิดออกไป 2 คน แต่มันก็ยังสามารถหลบหนีไปได้ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการหลบหลีกของมันอย่างชัดเจน ราชันอสูรตาแดงเป็นที่รู้จักกันดีเพราะเหตุนี้ และกลายเป็น 1 ในสัตว์อสูรที่สร้างความหายนะให้แก่มนุษย์มาเป็นเวลานานที่สุด สุดท้ายด้วยความพยายามของเย้ยเมฆาตระกูลตู ผู้ซึ่งครอบครองสายเลือดของอสูรดึกดำบรรพ์ พวกเขาก็สังหารมันลงจนได้
ตระกูลโจวจากเมืองกระเรียนนี้ คงจะเป็นตระกูลที่สืบทอดสายเลือดของราชันอสูรตาแดงนั่นมา
แม้ว่าตระกูลกู่จะมีสายเลือดแฝงของเทพอสูรบรรพกาล แต่พวกเขายังคงใช้ได้แค่สายเลือดอสรพิษทะยานที่สายเลือดเจ้าอสูรเท่านั้น เมื่อเทียบกับสายเลือดราชันย์อสูรแล้ว นับว่ายังด้อยกว่ามาก การที่กู่เซวียนเหมี่ยนต้องการนำความรุ่งโรจน์มาสู่ตระกูลของเขา ด้วยการเชื่อมสัมพันธ์ผ่านแต่งงานกับคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงระดับราชันย์อสูร ย่อมถือเป็นการตัดสินใจที่ปกติมาก
แต่ตอนนี้ซูเฉินอยู่ที่นี่แล้ว หมายความว่าความปกตินี้ จึงฟังดูไม่ปกติอีกต่อไป
“ว่าอย่างไร ? ไม่รู้สึกกดดันหรือ ? การแต่งงานกับน้องเจ็ดของข้าโดยไร้สายเลือดไม่ง่ายเลย ว่าไหม ?” กู่จิ่นถังยิ้ม
“แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้จริงไหม ? เจ้าเองก็คิดว่าข้ายังมีหวังอยู่มิใช่หรือ ?” ซูเฉินถามกลับ
“แน่นอน” กู่จิ่นถังตบโต๊ะ “ใครบอกให้เจ้าร่ำรวยเงินทองเช่นนี้กันเล่า ! หากเจ้ามีเงินเจ้าก็เป็นนาย !”
ถูกต้อง เขาไม่คิดว่าซูเฉินจะแพ้ให้กับตระกูลโจวเลยสักนิด แม้อีกฝ่ายจะไม่มีสายเลือดก็ตาม
นั่นเพราะซูเฉินมีเงิน !
มีเงินทองมากมาย !
ตราบใดที่พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกที่ต้องการทรัพยากร หรือสิ่งของที่ใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนทรัพยากรได้ เงินก็ยังคงสำคัญอยู่ดี
ตอนนี้ซูเฉินมีหินพลังต้นกำเนิดอยู่ในมือมากกว่าพันล้านก้อน แค่นั้นก็มากพอที่จะซื้อตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งตระกูลได้แล้ว
แม้แต่ตระกูลสายเลือดจักรพรรดิอสูรที่ยิ่งใหญ่ก็ยังหลงใหลอยากได้สสารต้นกำเนิด เพียงแค่ทักษะเข้าถึงด่านกลั่นโลหิตโดยไม่ต้องพึ่งสายเลือด หรือแค่โทเทมโลหิตสลายก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้พวกเขาเต็มใจยกจูเซียนเหยาพร้อมสิทธิประโยชน์พิเศษให้
ทั้งหมดนั่นเป็นมูลค่าเงินเท่าไหร่ ? ยังน้อยกว่าหินพลังต้นกำเนิด 1 พันล้านก้อนเสียอีก
หากคุณหนูของตระกูลสายเลือดจักรพรรดิอสูรมีมูลค่าไม่มากขนาดนั้น แล้วกู่ชิงลั่วที่มาจากตระกูลสายเลือดเจ้าอสูรล่ะจะมีค่าเท่าใด ?
ดังนั้นตราบใดที่ซูเฉินยินดีที่จะจ่ายเงินสักสองสามร้อยล้านหินพลังต้นกำเนิด กู่เซวียนเหมี่ยนก็ย่อมไม่คัดค้านอยู่แล้ว
แล้วถ้าพวกเขาเป็นตระกูลสายเลือดจักรพรรดิอสูรล่ะ ? ชายหนุ่มจะให้สินสอดก้อนโตนี้แก่พวกเขาได้หรือ ?
คำถามคือซูเฉินเต็มใจที่จะจ่ายในราคานั้นหรือไม่ ?
คำตอบคือ ‘ไม่’
(1)*[จลา (จะ-) น. ธูป, ของหอม]