บทที่ 63 สมาคมเครือญาติของตระกูล
การบรรลุความฝันไม่ใช่เรื่องง่าย
มันต้องมีทั้งความพยายาม ต้นทุนมากมาย และแม้กระทั่งในบ้างครั้งก็จำต้องเสียสละบางสิ่งไป
ในประวัติศาสตร์ของเผ่ามนุษย์ เส้นทางการพัฒนาค้นคว้าเกี่ยวกับวิธีฝึกฝนเพื่อเหล่าผู้ไร้สายเลือดนั้น เป็นสิ่งที่อัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วนเฝ้าฝันถึงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมานับหมื่นปี เช่นนั้นแล้วเหตุใดก่อนหน้าฉือไคฮวงจะมา ผู้คนที่ไร้สายเลือดถึงได้สามารถบ่มเพาะไปได้ถึงแค่ด่านกลั่นโลหิตเท่านั้นกัน ทั้งยังต้องพึ่งพาโชคเพื่อทะลวงผ่านขึ้นไปอีกด้วย ?
นั่นเพราะเส้นทางสายนี้ เป็นเส้นทางที่ยากลำบากมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว !
แล้วเหตุใดฉือไคฮวงถึงสามารถก้าวผ่านทะลวงไปได้ถึง 2 ด่านอย่างต่อเนื่อง ?
เพราะเขายืนอยู่บนรากฐานที่ผู้อื่นริเริ่มสร้างเอาไว้ และเพราะเขาได้รับความช่วยเหลือจากซูเฉิน
แล้วความช่วยเหลือของซูเฉินมาจากไหน ? ทั้งคู่มาจากชิ้นส่วนของความรู้ทางประวัติศาสตร์ และการทดลองซ้ำ ๆ ของเขาที่ใช้ทรัพยากรไปจำนวนมาก
ชายชราไม่เคยต้องใช้เงินเมื่อเขาทำวิจัย แต่นั่นเป็นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องใช้เงิน ได้ถูกซูเฉินจัดการดูแลเอาไว้ให้ทั้งหมดแล้ว
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมฉือไคฮวงจึงได้ส่งมอบการขายให้ซูเฉินเป็นผู้กำหนดราคา เพราะเขารู้ว่าศิษย์คนนี้เป็นคนที่เหมาะสมกับหน้าที่ที่สุดแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า เงินจำนวนมากนั้นเป็นรากฐานที่สำคัญยิ่งของเส้นทางการฝึกฝนโดยไร้สายเลือด และในอนาคตมันจะมียิ่งสำคัญมากขึ้นไปอีก เพราะเขาจะใช้ประโยชน์จากความรู้เดิมของเขาได้น้อยลงเรื่อย ๆ ภายภาคหน้าทุกเส้นทางของความเป็นไปได้ ซูเฉินจะต้องทดลองผิดถูกด้วยตัวเอง มันจึงต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก แม้ว่าการสูญเสียมากมายเหล่านั้นจะเพียงแค่เพื่อพิสูจน์ว่าเส้นทางนั้นไม่ถูกต้องก็ตาม !
ทุกสิ่งทั้งหมดนั้นต้องใช้เงิน !
ซูเฉินเข้าใจถึงข้อดีของการทำวิจัยด้วยตัวเองดี
เมื่อเทียบกับอัจฉริยะนับไม่ถ้วนที่ผ่านมาและจากไปในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมานี้ ข้อได้เปรียบที่สุดเขามี อย่างแรกคือเนตรมองโลกจุลภาค อย่างที่สองคือความรู้มากมายที่เขาสืบทอดจากรุ่นก่อน ๆ มา อย่างสุดท้ายคือทุนทรัพย์ที่เขามีอยู่มากมายในกระเป๋า
แต่ถึงอย่างนั้นทุกย่างก้าวบนเส้นทางที่มุ่งไปสู่เป้าหมายถัดไป คือวิธีการทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารโดยไม่มีสายเลือดช่วย ที่แม้แต่เขาเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทางเมื่อใด
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากซูเฉินไม่มีเงินพอเพื่อทรัพยากร ความหวังที่จะทำสำเร็จก็จะไม่มีอีกต่อไป
แม้ว่าในแง่ของความเป็นจริงแล้ว หินพลังต้นกำเนิดกว่าพันล้านก้อนจะเป็นเงินจำนวนมหาศาล ทว่าเพื่อการบรรลุเป้าหมายนี้แล้ว ต่อให้ซูเฉินทุ่มพวกมันออกมาใช้ทั้งหมดมันก็มีโอกาสที่จะไม่เพียงพออยู่ดี
แล้วซูเฉินจะเต็มใจส่งมอบให้กับตระกูลกู่ได้อย่างไร ?
เมื่อนานมาแล้วฉือไคฮวงเคยกล่าวเอาไว้ว่า ‘คำสาบานที่เกิดขึ้นเพราะผู้หญิง ก็ย่อมจะถูกผู้หญิงทำลายลงได้’
ซูเฉินรู้สึกโชคดีมากที่ได้การชี้นำของฉือไคฮวง ความฝันของเขาถึงไม่ได้หมุนรอบกู่ชิงลั่วอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่ใช้เงินแก้ปัญหาด้วยการ ‘ซื้อ’ กู่ชิงลั่วมา
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าซูเฉินจะยอมแพ้เรื่องของนาง หากเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยก็ไม่ใช่อะไรที่เกินจะรับได้
ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “ข้าไม่ได้วางแผนที่จะใช้จ่ายเงินมากกว่า 10 ล้านกับเรื่องนี้”
การแสดงออกของกู่จิ่นถังซึมลงเล็กน้อย “นั่น … คงจะทำให้เรื่องนี้ยุ่งยากขึ้น แม้ว่าหินพลังต้นกำเนิด 10 ล้านก้อนจะไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ แต่การใช้วิธีนี้เพื่อจัดการกับชายชราหัวคร่ำครึอย่างลุงของข้า มันอาจจะยังไม่เพียงพอ และถึงเจ้าจะตกลงกับท่านลุงได้ เจ้าก็ยังต้องจัดการพวกผู้อาวุโสของตระกูลด้วย”
“หรือก็คือ การแต่งงานของชิงลั่วไม่ใช่แค่ต้องทำให้หัวหน้าตระกูลเห็นด้วย แต่ต้องเป็นคนทั้งตระกูล ?” ซูเฉินถาม
กู่จิ่นถังตอบ “น้องเจ็ดเป็นลูกสาวของท่านลุงใหญ่ข้า ตามปกติแล้วหากคำอนุญาตของท่านคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ปัญหาคือการหมั้นหมายระหว่างนางกับโจวชิงขวงนั่นถือเป็นเรื่องปกติ แต่กับเจ้ามันไม่ใช่ ! มันถูกนับเป็นแต่งงานกับคนชั้นล่าง … !”
“……”
หลังจากคิดถึงเรื่องนี้สักพักซูเฉินก็พูดขึ้น “งั้นบอกข้าเกี่ยวกับคนในตระกูลกู่ของพวกเจ้าให้ข้าฟังที ข้าอยากจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมสักหน่อย …ยิ่งมากยิ่งดี”
กู่จิ่นถังลังเลเล็กน้อย “มันออกจะไม่ดีมั้ง ? แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้เป็นศัตรูกับตระกูลกู่ แต่การจะให้ข้าบอกความลับภายในให้เจ้าฟังไป… มันออกจะดูเหมือนว่าข้าขายตระกูลของตัวเองยังไงยังงั้น ข้าจะทำอะไรเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ?”
ซูเฉินดึงแผ่นป้ายออกมาใบหนึ่ง มันคือแผ่นป้ายต้นกำเนิดจากร้านแลกเงินฮุ่ยตง ที่มีหินพลังต้นกำเนิด 5 หมื่นก้อนอยู่เต็ม เขาวางมันลงไว้ตรงหน้าของกู่จิ่นถังอย่างเป็นธรรมชาติ
ท่านชายจิ่นถังยังคงส่ายหัว “เจ้ากำลังดูถูกข้า ! ข้าไม่ใช่พวกเห็นแก่เงินนะ ข้าบอกเจ้าไม่ได้จริง ๆ”
ซูเฉินดึงแผ่นป้ายอีกใบออกมา
ตอนนี้หินพลังต้นกำเนิดบนโต๊ะกลายเป็น 1 แสนถ้วนแล้ว
กู่จิ่นถังรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “นี่ ข้าก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นคนอยู่นะ เจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย นะ ?”
ซูเฉินดึงแผ่นป้ายออกมาเพิ่มอีกใบ
กู่จิ่นถังร้องคร่ำครวญอย่างขมขื่น “เจ้ากำลังทำให้มันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับข้าอยู่นะ !”
ซูเฉินวางเพิ่มอีกใบ “หากเป็นชิงลั่วนางคงจะบอกสิ่งเหล่านี้ให้ข้าแบบฟรี ๆ เจ้าเองก็น่าจะเข้าใจ”
กู่จิ่นถังคว้ารวบเก็บแผ่นป้ายทั้ง 4 ไปอย่างรวดเร็ว “หัวหน้าตระกูลกู่คือท่านลุงใหญ่ของข้า กู่เซวียนเหมี่ยน แต่ท่านมีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะเรื่องในแต่ละวันเท่านั้น ความเป็นจริงมีสมาคมเครือญาติสมาคมเครือญาติและบรรพบุรุษของตระกูลอยู่เหนือท่านอีกที สมาคมเครือญาติองตระกูลส่วนใหญ่มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องสำคัญ ๆ รวมถึงการแต่งตั้งและการปลดหัวหน้าตระกูล บูชาบรรพบุรุษ ประกาศสงคราม ฯลฯ และแน่นอนว่ารวมไปถึงชะตากรรมของคนต่างเผ่าด้วย”
“บรรพบุรุษของตระกูลมักจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งใด ส่วนใหญ่พวกท่านทำก็มีเพียงสั่งข้ารับใช้ไปทำเรื่องต่าง ๆ แทน วันนี้ข้าต้องการสิ่งนั้น พรุ่งนี้ข้าต้องการสิ่งนี้ เหตุใดของที่ข้าสั่งถึงยังมาไม่ถึงอีก ? คนไร้ความสามารถไม่ถูกไล่ออกหรือจับตอน ก็โดนลากตัวออกไปไม่งั้นก็โดนฆ่า แน่นอนว่าบางครั้งพวกท่านก็เลือกที่จะออกเดินทางไปตามใจเอง ไม่มีใครรู้ว่าท่านจะจากไปตอนไหนหรือกลับมาเมื่อไหร่ ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงท่าน การจะพบกันมันคงขึ้นอยู่กับโชคชะตา”
“การแต่งงานของน้องเจ็ดเป็นปัญหาประจำวันของวันนี้ ดังนั้นท่านลุงใหญ่จึงต้องรับผิดชอบในการจัดการ อย่างไรก็ตามหากนางต้องการที่จะแต่งงานกับคนไร้สายเลือดนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตระกูลสายเลือดชั้นสูงให้ความสำคัญกับสายเลือดอย่างยิ่ง การที่คนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงจะแต่งกับคนระดับล่างก็อาจเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ทว่าการแต่งงานกับคนไร้สายเลือดนั้นถือว่าเป็นความอัปยศอดสู หากข่าวกระจายออกไปข้างนอกทุกคนก็จะคิดว่าตระกูลนี้กำลังตกต่ำ ดั่งคำพูดของคนสมัยก่อน… ”
กู่จิ่นถังนวดคอของเขา จากนั้นก็ตบในมือตะเกียบเข้าหากันประหนึ่งคุณชายพกพัด “หากข่าวนี้แพร่กระจายไป ตระกูลกู่ของข้าจะยังมีหน้ามีตาเหลืออยู่ในเมืองหลงซีอีกหรือ ? เหล่าคนที่หมายตาตระกูลข้าอยู่ต้องเข้ามาลองเชิงว่าเขี้ยวเล็บพวกข้ายังคมอยู่ไหมเป็นแน่ แม้แต่คนที่ไม่เคยเป็นศัตรูกัน ก็อาจจะเริ่มยั่วยุเรา !”
หลังจากวางท่าสร้างความประทับใจแล้ว กู่จิ่นถังก็กลับมาพูดแบบปกติอีกครั้ง เขาหันกลับไปหาซูเฉินแล้วกล่าวว่า “จริงสิ เจ้าสนใจที่จะแต่งงานเข้าตระกูลข้าแทนไหมล่ะ ? หากเป็นเช่นนั้นเรื่องต่าง ๆ อาจจะง่ายขึ้น อย่างน้อยที่สุดพวกผู้อาวุโสจะได้รู้สึกว่าพวกท่านยังเหลือหน้าตาให้เชิดชูได้อยู่บ้าง”
ซูเฉินส่ายหัว
กู่จิ่นถังกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงจะทำอะไรได้ไม่มากนัก เรื่องนี้จะถูกเสนอขึ้นไปที่สมาคมเครือญาติทันทีที่ทำได้ หากชิงลั่วต้องการแต่งกับเจ้าตระกูลก็จะเสียหน้า ซึ่งหมายความว่าทุกคนในตระกูลเองก็จะเสียหน้า พวกนั้นจะยอมให้กับคนที่จะมาทำให้ชื่อเสียงของพวกตนด่างพร้อยได้อย่างไรกัน ?”
แม้เขาจะพูดไปเยอะมากแล้ว แต่ท่านชายจิ่นถังก็ยังคงพูดต่อจนซูเฉินทำอะไรไม่ถูก
ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “สมาคมเครือญาติของตระกูลเจ้ามีกันอยู่กี่คน ?”
กู่จิ่นถังตอบ “ตระกูลกู่รุ่นก่อนมีความสามารถในการให้กำเนิดค่อนข้างสูง ท่านพ่อและลุงของข้าพี่น้อง 6 ส่วนปู่ของข้ามีกัน 7 คนเสียไปแล้ว 3 จำนวนผู้สืบเชื้อสายทั้งหมดจากคนเหล่านี้รวม ๆ แล้วมีกันอยู่ประมาณ 40 คน ทว่าเพียงแค่ 14 คนที่อยู่ในสมาคมเครือญาติของตระกูล รุ่นปู่ของท่านพ่อมีกันอยู่ 7 แต่ตอนนี้ 5 คนได้จากไปแล้ว โอ้ ใช่แล้ว ท่านปู่ทวดของพ่อข้าก็ยังสบายดีอยู่ ท่านเป็นปู่ของปู่ของข้า นอกจากนี้ยังมีลูกหลานของท่าน แต่พวกเขาถือเป็นบ้านสาขาไม่ใช่บ้านหลัก แต่ไม่ว่าจะสาขาไหน พวกเขาก็ยังเป็นลูกหลานของตระกูล จึงมีที่อยู่ในสมาคมเครือญาติเช่นกัน มีทั้งหมดแล้วก็ 27 คน”
ซูเฉินรู้สึกประหลาดใจ “บรรพบุรุษตระกูลของเจ้าคือปู่ทวดของเจ้าหรือ ?”
“ไม่ใช่ !” กู่จิ่นถังส่ายหัว “ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่า บรรพบุรุษของตระกูลไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสมาคมเครือญาติ ทว่าสมาคมเครือญาติก็ต้องฟังคำพูดของพวกเขาอยู่ดี บรรพบุรุษของตระกูลคือปู่ของปู่ของข้า ท่านน่าจะอายุประมาณ 400 ปีแล้ว ข้าไม่แน่ใจนักว่าอายุจริง ๆ ของท่านคือเท่าไหร่ ในตระกูลนี้มีคนอยู่มากเกินไป ข้าจำรายละเอียดพวกเขาทั้งหมดไม่ไหวหรอก”