ภาคที่ 4 บทที่ 64 เราต้องเด็ดเดี่ยว

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 64 เราต้องเด็ดเดี่ยว

หลังจากตอบคำถามอีกสองสามข้อและเปิดเผยรายละเอียดภายในทั่ว ๆ ไปของตระกูลแล้ว กู่จิ่นถังก็ดื่มและกินของว่างอยู่อีกสักพักก่อนที่จะขอตัวลาจากไป

ก่อนจะไปซูเฉินบอกให้เขาบอกให้กู่ชิงลั่วรู้ว่าตนอยู่ที่นี่ แต่อย่าให้คนอื่นนอกจากนั้นรู้

ครึ่งชั่วยามต่อมากู่ชิงลั่วก็ปรากฏตัวที่หน้าประตูทางเข้าของศาลาพันจลา ทันทีที่นางเห็นซูเฉิน นางก็กระโจนพุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของเขาพร้อมกับกลิ่นน้ำหอมอันหอมกรุ่นของนางในทันใด

ซูเฉินคว้าตัวนางไว้และโบกมือปิดประตู “เป็นอย่างไรบ้าง ? ไม่มีใครตามเจ้ามาที่นี่ใช่ไหม ?”

กู่ชิงลั่วกะพริบตาโต ๆ ของนางจ้องมองเขา “ไม่ ข้าทำตามที่เจ้าบอกแล้ว ข้าไม่ได้บอกกล่าวใครว่าจะไปไหน และพูดไปเพียงว่าจะไปซื้อของ เหตุใดเจ้าต้องให้ข้าต้องทำตัวลึกลับเช่นนี้ด้วย ?”

ซูเฉินถอนหายใจ “เพราะการแต่งงานกับเจ้าเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าอะไรจะเรียบร้อย”

กู่ชิงลั่วเข้าใจดี นางก้มศีรษะลงลูบหลังคอพลางบุ่ยปาก “งั้นเจ้าก็รู้แล้ว … เป็นเพราะเรื่องที่ข้ากำลังจะหมั้นกับคนอื่นใช่หรือเปล่า ?”

ซูเฉินตะโกนร่ำอยู่ในใจ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เจ้ากำลังจะมีคู่หมั้นอีกคน แต่เป็นเพราะข้ามีคู่หมั้นเพิ่มมาคนแล้วต่างหาก !

ใช่ ซูเฉินไม่เคยให้ความสนใจโจวชิงขวงคนนี้เลยสักนิด

แม้ว่าสายเลือดราชันอสูรตาแดงจะทรงพลัง แต่มันทรงพลังยิ่งกว่าสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์งั้นหรือ ?

ถ้าแม้แต่ตระกูลที่มีสายเลือดจักรพรรดิอสูรยังถูกเขาปราบได้ แล้วจะนับอะไรกับสายเลือดราชันอสูร ?

ถึงจะไม่มีดาบหั่นภูผา แต่ซูเฉินก็มั่นใจว่าเขาสามารถทำให้ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ ที่มีสายเลือดราชันอสูรฟันร่วงหมดปากได้

อย่างไรก็ตาม ปัญหาทางด้านของเขาต่างหากที่เป็นปัญหายุ่งยากมากกว่า

เขาไม่รู้ว่าจะบอกเรื่องของจูเซียนเหยากับกู่ชิงลั่วอย่างไรดี

ในยุคนี้การจะมีภรรยาหลายคนนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงทุกคนจะยินยอมและยอมรับที่สามีของพวกเขาจะมีภรรยาเพิ่มมาอีกสามสี่คน

เพียงเพราะบางสิ่งบางอย่างเป็นที่ยอมรับตามกฎหมาย ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นจะเป็นที่ทุกคนรู้สึกรับได้ด้วย

อาจกล่าวได้ว่าทั้งกู่ชิงลั่ว ทั้งตระกูลกู่ ขนาบข้างปิดกั้นเขาไว้จากทั้ง 2 ทาง

สำหรับทางตระกูลกู่ พวกนั้นไม่สนใจว่าซูเฉินจะมีภรรยากี่คน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสายเลือดและสถานะชนชั้นของเขา ว่าเหมาะสมที่จะเกี่ยวดองกับตระกูลกู่หรือไม่

ส่วนทางกู่ชิงลั่วนั้น ไม่ว่าสถานะทางสังคมหรือสายเลือดของซูเฉินจะเป็นอย่างไรมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งเดียวที่สำคัญสำหรับนางคืออีกฝ่ายรักและเต็มใจที่จะแต่งงานกับนางเพียงคนเดียวหรือไม่

นี่คือความแตกต่างของปัญหา

ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงยังไม่สามารถพูดถึงจูเซียนเหยาได้ในตอนนี้

เขาต้องการความช่วยเหลือจากกู่ชิงลั่วเพื่อจัดการกับปัญหาทางฝั่งของตระกูลกู่เสียก่อน หลังจากที่สิ่งต่าง ๆ ด้านนั้นลงตัวแล้ว เขาจึงสามารถหันมาแก้ไขปัญหาส่วนตัวของเขากับกู่ชิงลั่วได้

วิธีนี้ให้ความรู้สึกเหมือนการจับสุนัขมาต้มทิ้งหลังจากที่มันจับกระต่ายได้แล้ว มันทำให้ซูเฉินรู้สึกแย่มาก

โอ้ จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นน่ารังเกียจงั้นหรือ ?

ซูเฉินกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากและกล่าวว่า “อืม ข้าได้คุยกับกู่จิ่นถังแล้ว ตอนนี้มีปัญหาหลัก ๆ ในตอนนี้มีอยู่ 2 อย่าง หนึ่งคือการคิดหาวิธีหยุดงานแต่งงาน และสองคือเราต้องขอให้สมาคมเครือญาติยอมรับและอนุญาตการแต่งงานของเรา”

กู่ชิงลั่วกังวล “ทั้ง 2 อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

“ทุกอย่างมันอยู่ที่ความพยายามของเราและข้ามั่นใจว่าเราทำได้ ตราบเท่าที่เจ้ายังอยู่เคียงข้างข้า ทุกอย่างก็เป็นไปได้”

“อืม !” กู่ชิงลั่วพยักหน้าอย่างหนักแน่นขณะที่นางจับมือของซูเฉิน “ไม่ว่ายังไง ข้าก็จะอยู่กับเจ้าเท่านั้น”

ซูเฉินกล่าวต่อ “พูดนั้นง่ายกว่าทำ”

“เจ้าไม่เชื่อใจข้างั้นเหรอ ?”

“ไม่ใช่เลย ข้าแค่พยายามจะบอกว่าในอนาคตเราอาจจะต้องเจอกับอุปสรรคอีกมากมาย ตระกูลของเจ้ากับคู่หมั้นคู่หมายนั่น ก็เป็นเพียงแค่ปัญหาที่ต้องเผชิญในยามนี้เท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่จะมีปัญหาใหม่ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมาเพิ่มอีก ? ปัญหาเหล่านั้นอาจจะปวดหัวมากยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้ อาทิเช่นเกิดสงครามกะทันหันที่ทำให้ข้าต้องถูกเกณฑ์ไปเข้าร่วม หรือมีคนลอบทำร้ายข้า ทำให้ข้าหายตัวไปชั่วคราว หรืออาจจะมีผู้หญิงที่จู่ ๆ ก็ออกมาจากที่ใดไม่รู้ เอาเด็กมาบอกว่าเป็นลูกนอกสมรสของข้าเพื่อให้เราแยกจากกันก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์รูปแบบมันก็มีโอกาสที่ศัตรูของเราจะเอามาใช้”

“ยามนั้นคือเวลาที่เราต้องเด็ดเดี่ยวที่สุด ! เราต้องไว้วางใจซึ่งกันและกัน พึ่งพาซึ่งกันและกัน อย่ายอมแพ้ซึ่งกันและกัน !”

กู่ชิงลั่วจ้องมองซูเฉินอย่าสงสัย “เจ้าไม่ได้กำลังพยายามจะบอกข้าว่าเจ้ามีลูกนอกสมรสหรอกใช่ไหม ?”

ซูเฉินตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าสาบานด้วยพลังต้นกำเนิดของข้าเลย ว่าข้าไม่มีอะไรเช่นนั้นอย่างแน่นอน”

ท่าทีของหญิงสาวอ่อนลง “ไม่ต้องกังวล ข้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าพูด ศัตรูของเราย่อมใช้ทุกวิธีทางที่พวกเขาหาได้อยู่แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเจ้าและข้าจะยอมแพ้ไม่ได้ ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องเผชิญผ่านความทุกข์ยากนี้ไปด้วยกัน !”

นางจับมือของซูเฉินแน่นขณะที่พูด

“ถูกต้อง !” ซูเฉินถอนหายใจออกด้วยความโล่งใจ

ในบางจุดกู่ชิงลั่วกับเยี่ยเม่ยก็ดูเหมือนกันทีเดียว พวกนางดูไร้เดียงสาแบบเด็ก ๆ ประหนึ่งความไร้เดียงสาเป็นสิ่งปกติตามธรรมชาติของนาง เพียงแต่ว่ากู่ชิงลั่วไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะถูกหลอกลองใจได้ง่าย ๆ ถึงนางจะดูไร้เดียงสาแต่ก็ค่อนข้างฉลาดเฉลียวอยู่เช่นกัน นางน่ารักแต่ก็ค่อนข้างเจ้าเล่ห์ เหตุผลเดียวที่กู่ชิงลั่วไม่แสดงด้านนี้ให้ซูเฉินเห็นเมื่อยามอยู่ที่สถาบันมังกรซ่อนเร้น เพราะนางยังคงทุกข์ใจด้วยเขาเป็นสาเหตุอยู่ ทำให้ด้านที่เฉลียวฉลาดถูกกดเอาไว้ไม่น้อย

หลังจากที่ทั้งสองกลับมาอยู่ด้วยกัน นิสัยของกู่ชิงลั่วก็เริ่มกลับไปสู่แบบเดิมอีกครั้ง แม้ในบางครั้งนางจะดูไร้กังวลและเหม่อลอย แต่ก็ไม่ได้ซื่อหรือเขลาแต่อย่างใด นางก็มีความคิดและความรู้สึกของตัวเองเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ซูเฉินต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อลองพยายามดักนางดู

เมื่อทั้งคู่ตกลงกันได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการหาวิธีจัดการกับปัญหานี้

ขั้นแรกยกเลิกงานแต่ง

“ข้ามีวิธี” กู่ชิงลั่วโบกมือเล็ก ๆ ของนาง “หาผู้หญิงให้โจวชิงขวง ให้นางหลอกล่ออีกฝ่ายไปที่เตียง จากนั้นเราก็ทำทีเป็นเข้าไปจับมันได้คาตา เท่านี้ข้าก็จะสามารถใช้มันเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธการแต่งงานได้อย่างสมเหตุสมผลแล้ว”

เฮือก !

ซูเฉินสูดหายใจเย็นเฉียบ “แผนนั่นคงไม่ดีนักหรอกมั้ง ? มันเป็นเรื่องปกติที่ชายคนหนึ่งมีภรรยาสามหรือสี่คนอยู่แล้ว นอกจากนี้มันกับเจ้ายังไม่ได้แต่งกัน ดังนั้นถึงจะถูกจับได้คาหนังคาเขา มันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เหตุผลดังกล่าวอาจจะไม่พอให้เจ้ายกเลิกข้อตกลงการแต่งงานก็ได้”

กู่ชิงลั่วกลอกตา ก่อนจะเท้าสะเอวของนาง “เหตุใดจะไม่ได้ล่ะ ? ข้าเป็นถึงคุณหนูผู้สง่างามแห่งตระกูลกู่ จะให้ข้าตบแต่งแล้วกลายเป็นผู้หญิงของชายที่ทำตัวมักมากเช่นนั้นได้อย่างไร ? กล้าที่จะมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นไปทั่วเช่นนั้นสมควรจะถูกจับตอนเสียด้วยซ้ำ หากต้องการจะแต่งกับข้า ก็ต้องมีแต่ข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”

“เอ่อ … ” ซูเฉินพยักหน้า “ถึงนั่นจะเป็นเรื่องจริง แต่มันก็ดูเหมือนจะเอาแต่ใจไปหน่อย ข้าเกรงว่าหากข่าวนี้แพร่ออกไป ตระกูลโจวอาจจะถอยกลับไปก่อนที่เจ้าจะทันได้ยกเลิกข้อตกลง ถ้าเป็นแบบนั้นชื่อเสียงของทางเจ้า … ”

ในยุคนี้ที่ยังคงให้ความสำคัญกับชื่อเสียง เมื่อผู้หญิงได้ชื่อว่าเป็นคนปากคอเราะรายก็ย่อมจะไม่ใช่เรื่องดี

และเพราะเหตุนี้ แม้ว่าผู้หญิงจะไม่ชอบเวลาที่ชายของพวกนางรับหญิงอื่นเข้ามาเป็นนางบำเรอ แต่ก็ต้องวางท่าเบื้องหน้าเป็นคนที่ดูใจกว้างเข้าไว้ เว้นแต่สถานการณ์จะเกินควบคุมไป บางคนที่มีความคิดแบบเดิม ๆ อาจจะไม่กังวลด้วยซ้ำว่าสามีของนางจะเอานางบำเรอมาเพิ่มหรือไม่ กลับกันพวกนางถึงกับกังวลว่าคนอื่นจะคิดว่านางขี้อิจฉามากเกินไปจนสามีของนางไม่กล้ารับใครอื่นเข้ามา แทนที่จะหยุดหรือท้วงห้ามเรื่องนี้ ก็กลับกลายเป็นว่าพวกนางจะสนับสนุนสามีเสียเอง

เรื่องของนางบำเรอหรือภรรยาคนที่สองที่สาม จึงเป็นเรื่องที่ผู้หญิงหลายคนมักจะขัดแย้งกันอยู่เสมอ บางคนปฏิเสธที่จะยอมรับ บางคนก็ยอมปิดตาข้างหนึ่ง บางคนก็สนับสนุน

กู่ชิงลั่วไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก นางเพียงแค่ชอบความรู้สึกอวดดีนี้ แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของซูเฉินนางก็รู้สึกว่ามันดูสมเหตุสมผล หญิงสาวเลยทิ้งทัศนคติที่ดูหยิ่งผยองไป แล้วกระพริบตาถามอีกฝ่ายอย่างน่ารัก “แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรจะทำอย่างไรดี ?”

“นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก เราต้องวางแผนอย่างรอบคอบ… ” ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “โจวชิงขวงจะมาถึงเมืองกลืนธาราเมื่อใด ?”

“ทางนั้นบอกว่าจะมาทันทีที่จัดการดูแลธุรกิจของตระกูลเสร็จ อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 7-8 วัน”

ซูเฉินก้มหัวลงครุ่นคิด “เวลามีน้อยเกินไป เราต้องการเวลามากกว่านี้ ดูแลธุรกิจ… ดูแลธุระของตระกูล… กังเหยียน !”

“อยู่นี้ขอรับ”

ชายหนุ่มโยนถุงมือเพลิงเงาไปให้กังเหยียน “ไปที่เมืองกระเรียน และเพิ่ม‘ธุระของตระกูล’ ให้มันดูแลอีกเสียหน่อย ยิ่งนานยิ่งดี”

“ขอรับ !”