บทที่ 65 จัดกำลังพล
เมืองธารน้ำใส
ณ คฤหาสน์ซู
หมิงชูนั่งเฉือยชาอยู่ในลานบ้านและหาวอย่างเกียจคร้าน “น่าเบื่อจริง ๆ”
“ถ้าเจ้าเบื่อนักก็ลุกมาฝึกเสีย ดูสิ เอาแต่นอนขี้เกียจจนอ้วนแล้ว” โจวหงกล่าวขณะที่เขาขยับยกหินถ่วงน้ำหนักขึ้นลงอย่างขยันขันแข็ง
“ไม่มีอารมณ์ ไม่อยากฝึก” หมิงชูตอบ
โจวหงส่งเสียงเยาะในลำคอ “ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนอยากจะฝึกฝนและเล่าเรียน ทว่ากลับไม่มีโอกาส แล้วดูคนที่ได้รับโอกาสนั้น ดันมานั่งเกียจคร้านอยู่เช่นนี้”
“นายน้อยไม่ได้อยู่ที่นี่เสียหน่อย จะฝึกหนักไปทำไมกัน ?” หมิงชูพึมพำ
“แต่ก็ไม่ใช่ว่านายน้อยจะไปแล้วไม่กลับมาอีกเสียเมื่อไหร่ อย่างไรซะที่แห่งนี้ยังคงเป็นบ้านของท่านไม่ช้าก็เร็วประเดี๋ยวก็กลับมาอยู่ดี เมื่อถึงเวลานั้นหากท่านทดสอบความแข็งแกร่งของเราแล้วพบว่าเจ้ายังอยู่ในช่วงต้นของด่านกลั่นโลหิตไม่ไปไหนเช่นนี้ เจ้าได้โดนนายน้อยทุบตีเป็นการลงโทษสักสองสามรอบแน่”
“เหอะ นายน้อยหายหน้าหายตาไปตั้งปีกว่าแล้ว และไม่ได้ติดต่อมาหาเราเลยสักครั้ง ใครจะรู้ได้ว่าเมื่อไหร่ท่านจะกลับมากัน” หมิงชูบุ้ยปากตอบกลับ
ทันทีที่เขาพูดจบ เรือเคลื่อนเมฆาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าราวกับว่ามันเคลื่อนย้ายผ่านอากาศมาอยู่เหนือพวกเขา แน่นอนว่ามันไม่ได้เคลื่อนย้ายมวลสารหรืออะไรเช่นนั้นมาจริง ๆ เพียงแค่มันเร็วเกินกว่าที่ตาของพวกเขาจะมองออกก็เท่านั้น
“เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลาก ?” หมิงชูสะดุ้งตกใจ ก่อนจะเริ่มตะโกนด้วยความตื่นเต้น “นายน้อย ! นายน้อยกลับมาแล้ว !”
โจวหงโยนหินถ่วงน้ำหนักทิ้งไว้ด้านข้าง และคุกเข่าลงตรงหน้าเรือเหาะ “โจวหงคารวะนายน้อย !”
ซูเฉินก้าวออกจากเรือเหาะ “เป็นอย่างไรกันบ้าง ?”
“เรียนนายน้อย ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ แม้ท่านจะไม่ได้อยู่ที่นี่เจ้าเมืองอันก็ยังช่วยดูแลทุกคนเป็นอย่างดี ถึงจะไม่ได้อำนวยความสะดวกให้มากมายเหมือนตอนที่นายน้อยพักอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก ไม่มีใครรังแกเรา” โจวหงตอบ
“อืม เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ซูเฉินพยักหน้า
เมื่อซูเฉินไม่อยู่ ชื่อเสียงของคฤหาสน์ซูก็จะไม่หนักแน่นเหมือนเมื่อก่อน แต่ตราบใดที่ทุกคนยังอยู่อย่างสะดวกไม่ลำบากนักนั่นก็ดีพอแล้ว
โจวหงกล่าวต่อ “ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ กลุ่มอันธพาลฉางชิงกับกลุ่มพยัคฆ์ร้ายเกิดมีปัญหาขัดแย้งกับทางเจ้าเมืองอันเล็กน้อย”
ซูเฉินคิ้วกระตุก “สุดท้ายก็ควบคุมตัวเองกันไม่ได้เลยสินะ ? ไม่ต้องไปกังวลเรื่องทางนั้น ตอนนี้ชะตากรรมของพวกมันอยู่ในมือของพวกมันเองแล้ว ไปตามหลี่ชู่ กุยต้าซานกับคนอื่น ๆ รวมถึงองครักษ์ตลอดจนข้ารับใช้ของคฤหาสน์ซูมาให้หมด”
ใจของโจวหงสั่นกระตุก “นายน้อยวางแผนที่จะทิ้งฐานในเมืองนี้หรือขอรับ ?”
“จะกล่าวว่า ‘ละทิ้ง’ ก็ไม่ถูกเท่าไหร่นัก เราเพียงแค่กำลังจะไปตั้งกลุ่มสาขาขึ้นกัน” ซูเฉินตอบ
ข้ารับใช้และองครักษ์ของคฤหาสน์ซูมีจำนวนราว ๆ 300 คน บ้างก็เป็นโจรที่เขาจับได้ที่อำเภอสี่ที่ราบ บ้างก็เป็นโจรสลัด และบ้างก็เป็นอาชญากรจากกลุ่มอันธพาล ไม่มีใครมีภูมิหลังดีเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตามหลังจากติดตามซูเฉินมาเป็นเวลานาน คนเหล่านี้ที่ถูกเปลี่ยนโดยชายหนุ่มต่างก็จงรักภักดีต่อเขาอย่างมาก พวกเขาทั้งหมดยังเป็นผู้มีโทเทมโลหิตสลาย ดังนั้นความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาเองก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน
หากซูเฉินต้องการสร้างชื่อให้ตัวเองในเมืองกลืนธารา แค่เขาคนเดียวมันก็คงไม่เพียงพอ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะพาผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไปด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงเต็มใจที่จะทิ้งธุรกิจของเขาในเมืองธารน้ำใส ไม่ว่ายังไงเขาก็ได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไปแล้วและไม่มีกำไรเหลือให้เก็บเกี่ยวอีก ดังนั้นตอนนี้ซูเฉินจึงได้ส่งมอบคฤหาสน์ซูให้แก่อันซือหยวนไป
ระหว่างที่พูดคุยกับเจ้าเมืองอันแล้ว ซูเฉินสามารถบอกได้เลยว่าอีกฝ่ายมีความตั้งใจที่จะจัดการกับกลุ่มอันธพาลฉางชิงและกลุ่มพยัคฆ์ร้าย
เขาไม่ได้ต่อต้านเรื่องนี้ เพียงแค่ชี้ให้เห็นว่าหากทั้ง 2 ฝ่ายจบลงด้วยการต่อสู้ แล้วทางฝั่งกลุ่มอันธพาลแพ้ ชายหนุ่มหวังว่าอันซือหยวนจะยอมละเว้นชีวิตของหวังเหวินซิ่นกับคนเหล่านั้น หากพวกเขาเลือกที่จะยอมจำนน
การตัดวัชพืชโดยไม่ถอนรากเป็นข้อห้ามที่ยิ่งใหญ่ ทว่าอันซือหยวนก็ยอมตกลงเห็นด้วยกับเขา
ชายหัวโล้นสูงวัยผู้นี้ฉลาดมาก เขารู้ว่าเมื่อใดควรรุกเพื่อความได้เปรียบและเมื่อใดที่ควรล่าถอย
หลังจากจัดการเรื่องเหล่านี้แล้วซูเฉินก็ไปเยี่ยมตระกูลหลง และนำคนบางส่วนไปกับเขา จากนั้นก็จากไปพร้อมกับหมิงชู หลี่ชู่ กุยต้าซานและคนอื่น ๆ ด้วยเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลาก คนอื่น ๆ จะอยู่ที่เมืองใกล้เคียงแล้วจะเช่าเรือเคลื่อนเมฆาลำใหญ่ เพื่อไปยังเมืองกลืนธาราอีกที พวกเขาน่าจะมาถึงหลังจากซูเฉินไปประมาณ 3 วัน
สิ่งหนึ่งที่น่ากล่าวถึงคือทั้งโจวหง กุยต้าซาน รองหัวหน้าเฉิงและหัวหน้าค่ายห้าจินนั้นล้วนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณกันหมดแล้ว ภายใต้การดูแลของซูเฉิน ความแข็งแกร่งของพวกเขาได้ก้าวเหนือขึ้นไปกว่าเพื่อน ๆ คนเดียวที่อ่อนแอกว่าพวกเขาอยู่เล็กน้อยคือฉางเอ๋อร์ที่ตอนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิต
โจรภูเขาในตอนนั้น ยามนี้ได้กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์และมีความสามารถมากที่สุดของซูเฉินไปแล้ว
หลังจากสะสมสสารเงาจำนวนมากมาจากปราสาทไหลน่าตะวันตก ชายหนุ่มก็เลือกคนอีก 6 คน จากกลุ่มผู้ติดตามของเขาและเปลี่ยนพวกเขาให้เป็นข้ารับใช้เงา ทำให้ตอนนี้เขามีข้ารับใช้เงาแล้วทั้งหมด 10 คน
2 วันต่อมาเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากก็มาถึงเมืองกลืนธารา พร้อมกับหมิงชู หลี่ชู่ กุยต้าซานและคนอื่น ๆ ที่เป็นผู้โดยสาร
“นี่คือเมืองกลืนธารางั้นหรือ ? สมแล้วที่เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ที่สุดของหลงซี งดงามกว่าเมืองหลินเป่ยมากนัก” หลี่ชู่และคนอื่น ๆ พูดคุยกัน
“พวกเจ้ายังจำสิ่งที่ข้าบอกไประหว่างทางที่นี่ได้หรือไม่ ?” ซูเฉินถาม
หลี่ชู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “พวกข้าทราบแล้วขอรับ”
“ดี งั้นเรามาเริ่มกันเลย”
——————————————
กังเหยียนรู้สึกกังวลเล็กน้อยขณะที่เขายืนอยู่ด้านนอกคฤหาสน์โจว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกมาปฏิบัติภารกิจตัวคนเดียว
ไม่มีใครมาบอกเขาว่าต้องทำอะไรหรือควรทำอย่างไร
โดยปกติแล้วเผ่าหินผาไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่ใช้สมองเก่งนัก
พวกเขาไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยม เรียบง่าย ขยันหมั่นเพียรและกล้าหาญ แต่พวกเขาเป็นพวกคิดไม่เก่ง
ทว่ากังเหยียนนั้นต่างออกไป
นั่นเป็นเพราะเจ้านายที่เขาติดตามคือซูเฉิน
นายของเขามักจะบอกเสมอว่า ‘เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะใช้หัวของเจ้าเสียบ้าง อย่าใช้กำลังหากปัญหาที่เจ้าเผชิญมันสามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้สมอง’
ในตอนแรกมันเป็นเรื่องยากมาก กังเหยียนไม่เข้าใจอะไรเลยและมักจะสงสัยเสมอว่าทำไมเขาถึงต้องทำแบบนี้ หรือเหตุใดเขาต้องทำเช่นนั้น
และทุกครั้งซูเฉินก็จะบอกเหตุผลเบื้องหลังเรื่องต่าง ๆ กับเขาอย่างอดทน
เมื่อเวลาผ่านไปกังเหยียนก็เริ่มที่จะเข้าใจอย่างช้า ๆ
เริ่มจากพื้นฐานที่ง่ายที่สุด ค่อย ๆ ขยับขึ้นไปสู่เรื่องราวที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ
กังเหยียนคอยเฝ้าสังเกตดูว่าซูเฉินหลอกล่อคู่ต่อสู้อย่างไร หรือมีกระบวนการคิดอย่างไรเมื่อวางแผน จัดเตรียมสถานการณ์แบบไหนเพื่อให้แผนการของตนประสบความสำเร็จ จากนั้นเขาก็เริ่มที่จะเข้าใจวิธีพิจารณารายละเอียดต่าง ๆ และธรรมชาติของมนุษย์มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แค่เข้าใจนิสัยใจคอตามธรรมชาติของมนุษย์นั้นยังไม่เพียงพอ
เนื่องจากเผ่าหินผาใช้สมองไม่เก่ง พวกเขาจึงไม่มีความอดทนที่จะคิดเรื่องต่าง ๆ ให้ยุ่งยาก เพราะอย่างนี้พวกเขาจึงมีความสามารถในการต่อสู้เป็นเวลาสามวันสามคืน โดยที่ยังคงตื่นตัวและความเฉียบคมไว้ได้อยู่ กลับกันพวกเขาจะรู้สึกอ่อนเพลียและปวดหัวหนักคล้ายสมองจะแตก หลังจากต้องทำโจทย์คณิตศาสตร์ง่าย ๆ เพียงแค่ 10 ข้อ
แต่ก็ไม่ใช่กับกังเยียน
เพราะเขาต้องติดตามและช่วยซูเฉินทำการทดลองอยู่ตลอด
การทำการทดลองเป็นงานที่ต้องใส่ใจในรายละเอียดและใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก
หากทำอย่างลวก ๆ ชุ่ย ๆ ไม่ใส่ใจ การทดสอบเหล่านั้นก็จะล้มเหลว
กังเหยียนเริ่มต้นจากการสร้างขวดยาที่เรียบง่ายที่สุดได้ไม่ดีนัก ในขณะที่เขาติดตามซูเฉินไปเรื่อย ๆ ภายใต้คำแนะนำอย่างอดทนที่ไม่รู้จักจบสิ้น ทีละเล็กทีละน้อย กังเหยียนจึงเริ่มมีพัฒนาการขึ้นมาบ้างแล้ว
ความอดทนและความช่างสังเกตที่เขาไม่เคยมีมาก่อน ก็ค่อย ๆ ถูกปลูกฝังลงไปหลังจากเข้าร่วมการทดลองอย่างต่อเนื่อง
เขาได้เรียนรู้วิธีสังเกต วิธีคิด วิธีสงบสติอารมณ์และเรียนรู้หลายอีกสิ่งหลายอย่างที่เผ่าหินผาหลายคนไม่เคยทำได้
ณ เวลานั้น กังเหยียนก็ตะหนักได้ถึงบางสิ่งในที่สุด – สติปัญญาเป็นเหมือนความแข็งแกร่ง มันสามารถที่จะปลูกฝังกันได้ !
อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยมีโอกาสได้ทดสอบในสิ่งทั้งหลายที่ตัวเองเรียนรู้มาเลย
จนกระทั่งวันนี้
การที่ซูเฉินส่งเขามาทำงานนี้ แม้มันอาจจะไม่ใช่เพื่อให้กังเหยียนได้ใช้ความสามารถในการคิดของเขา
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ต้องการทำงานให้ออกมาดีกว่าที่คาดหวังและมอบผลลัพธ์ที่น่าพอใจแก่เจ้านายของตน
กังเหยียนยืนอยู่ที่ประตูหน้าของตระกูลโจว คิดถึงประสบการณ์ทั้งหมดของเขาในช่วงที่ติดตามซูเฉินไป ความว่างเปล่าในดวงตาของเขาเริ่มจางหายไป และถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นกับความมั่นใจแทน
“การดักโจมตีพวกเขาระหว่างทางเป็นอะไรที่ดูโจ่งแจ้งเกินไป ดังนั้นข้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ หากข้าพยายามก่อปัญหาขึ้น ตระกูลโจวย่อมมีผู้ดูแลเรื่องต่าง ๆ คอยจัดการอยู่แล้ว เป้าหมายก็อาจจะยังคงสามารถออกเดินทางไปได้อยู่ดี …แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากผู้ดูแลเรื่องเหล่านั้นล้มป่วย ?”
ดวงตาของกังเหยียนทอประกายสว่างขึ้น
“มนุษย์ให้ความสำคัญกับมารยาท หากคนใกล้ตัวล้มป่วย แต่มันกลับยังคงพยายามจากไปเพื่อการแต่งงาน มันก็จะถูกถือว่าอกตัญญู อืม ข้าคิดว่ามันน่าจะได้ผล มีอะไรบ้างที่สามารถทำให้คนทั้งคนดูเหมือนคนกำลังจะตาย แต่ไม่ได้จะตายจริง ๆ ได้บ้าง ?”