บทที่ 66 กล้าหาญไร้ใครเทียบ
ตระกูลหลินขายคฤหาสน์ของพวกเขา
ข่าวนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วถนนสายหลักผ่านตรอกซอกซอย จนรับรู้กันไปทั่วทั้งเมืองกลืนธารา
ตระกูลหลินไม่ได้เป็นตระกูลไร้ชื่อเสียงแต่อย่างใด แค่คฤหาสน์ที่อยู่ในเมืองกลืนธาราพวกเขาก็มีทั้งหมด 3 แห่งแล้ว หลังที่พวกเขาขายออกไปนั้นอยู่ใกล้กับชานเมือง และเป็นเรือนที่ใหญ่ที่สุดที่พวกเขาเป็นเจ้าของ ว่ากันว่าหัวหน้าตระกูลหลินชื่นชอบมันมาก เขามักจะไปเยี่ยมเยียนและพักที่นั่นเป็นครั้งคราว
แล้วเหตุใดจู่ ๆ พวกเขาถึงได้ขายมันเล่า ?
ไม่มีใครได้ยินข่าวต้นสายปลายเหตุอะไรเลย หรือตระกูลหลินจะเกิดหายนะจนประสบกับความสูญเสียกัน ?
ไม่นานนักก็มีบางคนแอบเข้าไปสอบถามเกี่ยวกับข่าวนี้มา
ไม่ใช่ว่าตระกูลหลินกำลังตกต่ำ แต่เป็นเพราะคนที่ต้องการซื้อคฤหาสน์หลังนั้น เสนอจำนวนเงินที่มากจนยากที่จะปฏิเสธได้ มากเสียจนแม้แต่ตระกูลหลินก็ไม่สามารถต้านทานการล่อลวงนี้ได้
ทองคำบริสุทธิ์ 150,000 ตำลึง !
เป็นทองคำบริสุทธิ์ 150,000 ตำลึง ! นั่นไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เลย มากกว่ามูลค่าเดิมของคฤหาสน์เป็น 2 เท่าเสียด้วยซ้ำ ไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลหลินจะเต็มใจขายมันออกไป
เล่ากันว่าเมื่อตอนเจ้าของคนใหม่ย้ายเข้ามา มันทั้งคึกคักและมีชีวิตชีวา แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครเห็นว่าเจ้าของคนใหม่มีหน้าค่าตาเป็นอย่างไร สิ่งเดียวที่พวกเขารู้ก็คืออีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง
ไม่มีผู้หญิงติดตามมาด้วย
ผู้คนในเมืองมากมายเริ่มถกเถียงกัน เรื่องของนายน้อยปริศนาผู้โผล่ออกมาจากตระกูลร่ำรวยที่ไม่รู้ไหนคนนี้
เมื่อพิจารณาจากป้าย ‘คฤหาสน์ซู’ ที่แขวนอยู่เหนือประตูหน้า พวกเขาก็รู้เพียงว่าเจ้าของใหม่นี้ใช้แซ่ ซู
โดยปกติแล้ว เรื่องแบบนี้มักจะถูกพูดถึงอยู่แค่เพียงไม่กี่วัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นานนักเจ้าของคฤหาสน์ซูก็ได้ทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อีกครั้ง
‘ศาลาวิไลรัญจวน’ ได้ถูกขายไปแล้ว
ศาลาวิไลรัญจวนคือหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองกลืนธารา เป็นสถานที่ที่ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการระดับสูง ชนชั้นสูงหรือบุคคลสำคัญต่าง ๆ ก็สามารถใช้เงินที่หามาอย่างยากลำบากเพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเองได้ที่นั่น
ธุรกิจชั้นดีที่ทำกำไรได้งามขนาดนั้นถูกขาย ?
ผู้คนตกใจมากจนขากรรไกรของพวกเขาแทบจะร่วงลงพื้น
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่คฤหาสน์ซูยึดศาลาวิไลรัญจวนนี้มาเป็นของตน ได้รับการยืนยันอย่างรวดเร็วว่าเป็นความจริง ทว่าถึงแม้ว่าเจ้าของจะเปลี่ยนมือไปแล้ว แต่คนงานที่นั่นก็ยังคงเป็นคนเดิม ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามปกติ
ผู้คนอดไม่ได้ที่จะพากันคาดเดาสิ่งที่คฤหาสน์ซูใช้ล่อลวงอดีตเจ้าของศาลาวิไลรัญจวน
“พวกเขาใช้อะไรเพื่อล่อลวงข้า ? ก็ทองน่ะสิ ! ทองคำบริสุทธิ์จำนวนมากเสียด้วย !” เฉาต้าจางกล่าวขณะที่เขานั่งไขว้ขาแคะฟัน
ศาลาวิไลรัญจวนทำเงินได้มากมายก็จริง แต่ถึงแม้ว่ามันจะทำกำไรได้สูง มันก็ยังจำกัดอยู่แค่เพียง 3,000 ตำลึงทองต่อวันเท่านั้น ส่วนกำไรต่อปีเองก็ได้ไม่ถึงล้าน นี่ยังไม่รวมค่าจ้าง ค่าใช้จ่ายต้นทุนของต่าง ๆ ที่มากถึง 600,000 ถึง 700,000 ตำลึงต่อเดือน นอกจากนี้พวกเขายังต้องจ่ายค่าคุ้มครองเพิ่มอีก ไม่มีทางที่สถานที่แบบศาลาวิไลรัญจวน จะอยู่ได้โดยไร้คนคุ้มครองอยู่แล้ว ทางการต้องการภาษี กลุ่มอันธพาลก็ต้องการผลประโยชน์ และยังมีคนจำพวกที่มาดื่มกินเล่นสนุกโดยไม่ยอมจ่ายอีก ทำให้รายได้รวมต่อปี เหลืออยู่เพียงแค่ 300,000 ถึง 400,000 ตำลึงเท่านั้น
คนจากคฤหาสน์ซูเสนอราคาไปเท่าไหร่ ?
คำตอบคือ 1.5 ล้าน !
เงินจำนวนนั้นมากเกินพอให้เฉาต้าจางเปิดศาลาวิไลรัญจวนขนาดเท่า ๆ กันอีกสัก 5 แห่งได้สบาย ๆ
เงื่อนไขเดียวที่ทางคฤหาสน์ซูเสนอมาคือ หลังจากที่พวกเขาซื้อศาลานี้ไปแล้ว ตระกูลเฉาไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดหอนางโลมอีกเป็นเวลาครึ่งปี
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือตราบใดที่ในครึ่งปีนี้ตระกูลเฉาไม่หอนางโลมอีกแห่งขึ้น พวกเขาจะได้รับ 750,000 ตำลึงที่เหลือ ซึ่งพวกเขาสามารถเอามันไปใช้ทำอะไรก็ได้ และหากคฤหาสน์ซูไม่ได้จ่ายครึ่งหลังให้ ตระกูลเฉาก็สามารถทวงเอาศาลาวิไลรัญจวนคืนไปได้เลย ว่ากันตามสถานการณ์แล้วมันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากการปล่อยศาลาวิไลรัญจวนให้อีกฝ่ายเช่าเป็นเวลาครึ่งปี จะมีอะไรคุ้มค่าไปกว่านี้อีก ?
ไม่มีเหตุผลที่เฉาต้าจางจะปฏิเสธเลยสักนิด
วันรุ่งขึ้น หลังจากศาลาวิไลรัญจวนได้ถูกขายไปแล้ว ศาลาควันล่องก็ถูกขายตามไป
นี่คือหอนางโลมอันดับสองของเมืองกลืนธารา
จากนั้นก็ตามมาด้วยเรือนเครื่องหอมสีชาด สวนประกายอัญมณี วังขนนกหยก หอนางโลม 5 อันดับแรกของเมืองกลืนธาราล้วนถูกเปลี่ยนมือเจ้าของไปสิ้น จนสร้างความตื่นตระหนกไปทั่วเมือง
เป็นไปได้ไหมว่าคฤหาสน์ซู กำลังวางแผนที่จะควบรวมหอนางโลมทั้งหมดในเมืองกลืนธารา ?
ตอนนั้นเองราคาขายของศาลาทั้ง 5 ก็ค่อย ๆ ถูกเปิดเผยออกมา เมื่อเหล่าพ่อค้าทราบราคาขาย พวกเขาต่างก็ส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจ
หากเจ้ามีเงินมากมายขนาดนั้น เหตุใดถึงไม่ไปหาทำเลดี ๆ แล้วเปิดธุรกิจของตัวเองเอากัน ? จะไปซื้อของคนอื่นมาเพื่ออะไร ? จะเสนอราคาฟุ่มเฟือยแบบนี้ไปทำไม ?
หลี่ชู่หัวหน้าพ่อบ้านคฤหาสน์ซูตอบข้อสงสัยของพวกเขาไปว่า นายน้อยของเขาทำสิ่งต่าง ๆ โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพเสมอ หากจะเปิดร้านเป็นของตัวเอง เขาก็ต้องหาทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม สร้างชื่อเสียง หาคนงาน ทั้งยังต้องมานั่งแบกรับความเสี่ยงอีกว่าธุรกิจจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ แบบนั้นมันจะเสียทั้งเวลาและพลังงาน
นายน้อยต้องการสร้างอาณาเขตของตัวเองในเมืองกลืนธาราแห่งนี้ และไม่ต้องการทำให้เรื่องมันยุ่งยากซับซ้อน การขยายอาณาเขตไปอย่างช้า ๆ มันไม่ใช่ทางของเรา ดังนั้นก็แค่ทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อหาร้านที่เป็นรูปเป็นร่างแล้วไปเลยก็พอ
ทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็ถอนหายใจอย่างผิดหวัง กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายก็เป็นเพียงแค่ชายหนุ่มที่ร่ำรวย
มีเงิน แต่ไม่มีความอดทน
ทว่าอย่างน้อยอีกฝ่ายก็บรรลุเป้าหมายไปแล้วหนึ่งอย่าง การกระจายชื่อของเขาไปให้ทั่วเมืองกลืนธารา
ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าท่านชายซูผู้นี้เป็นคนร่ำรวยที่มีเงินมากมาย บางคนก็มาเยี่ยมทุกวัน บางคนก็เข้ามาเพื่อแนะนำลูกสาวที่ยังไม่แต่งงานของตน
น่าเสียดายที่ท่านชายซูไม่ได้สนใจที่จะต้อนรับแขกแต่อย่างใด ส่วนใหญ่เขามักจะอยู่เงียบ ๆ อย่างสันโดษ ไม่ค่อยมีใครเคยได้พบเห็นเขามากนัก โดยปกติแล้วหัวหน้าพ่อบ้านหลี่ชู่จะเป็นคนที่มีหน้าที่ดูแลแขกเหรื่อทุกคน ด้วยเหตุนี้หลี่ชู่จึงได้กลายเป็นคนดังของเมืองกลืนธาราไปเรียบร้อย
สถานการณ์นี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อคฤหาสน์ซูกลับมาเคลื่อนไหวและซื้อศาลาสุขนิรันดร์ไปด้วยเงินจำนวนมาก
ศาลาสุขนิรันดร์ไม่ใช่หอนางโลม แต่เป็นโรงพนัน
โรงพนันหมายเลขหนึ่งในเมืองกลืนธารา ซึ่งเป็นของ 1 ใน 4 ตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่ใหญ่ที่สุดของเมือง ตระกูลเหอ
เห็นได้ชัดว่าคฤหาสน์ซูเสนอราคาที่สูงอย่างมาก ถึงขนาดที่ตระกูลเหอก็ไม่สามารถต้านทานการล่อลวงนี้ได้ และเต็มใจที่จะขายศาลาสุขนิรันดร์ออกไป
แต่ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังพยายามรวมหอนางโลมอยู่หรอกหรือ ? แล้วเหตุใดจู่ ๆ ถึงได้เปลี่ยนใจไปหาโรงพนันกัน ?
คนฉลาดบางคนสัมผัสได้ถึงโอกาสในการทำกำไรอย่างรวดเร็ว
เจ้าของโรงพนันขนาดเล็กบางแห่งต้องการที่จะเจรจาธุรกิจกับซูเฉินโดยสมัครใจ
ไม่นานนักโรงพนันหลายแห่งภายใต้ชื่อของคฤหาสน์ซูก็ปรากฏขึ้น
ในวันที่ 21 นับจากที่คนตระกูลซูนั่นย้ายเข้ามา ข่าวระลอกใหม่ก็เริ่มแพร่กระจายอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
พวกเขาซื้อคฤหาสน์ลืมความโศก
คฤหาสน์ลืมความโศกไม่ใช่โรงพนัน
แต่เป็นโรงเตี๊ยม
สาเหตุที่ข่าวแพร่กระจายอย่างร้อนแรงเช่นนี้ เพราะมันส่อเค้าว่านายน้อยซูผู้กระเป๋า และโปรยเงินไปทั่วทุกหนทุกแห่งคนนี้ ได้เริ่มหันมาสนใจธุรกิจโรงเตี๊ยมแล้ว
10 วันต่อมาโรงเตี๊ยมชั้นนำในเมือง ศาลา 10 รส หอเครื่องหอมลอยน้ำ อาหารสาบสูญ ศาลาสุภาพบุรุษสูงวัย และศาลาทะเลเมฆา ทั้งหมดก็ได้เปลี่ยนเจ้าของไปเป็นชายหนุ่มแซ่ซู
ในช่วงเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือน ปัจจุบันคฤหาสน์ซูเป็นเจ้าของหอนางโลม 5 แห่ง โรงพนัน 4 แห่ง และโรงเตี๊ยมอีก 6 แห่ง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นร้านที่ดีที่สุดในเมืองกลืนธาราทั้งหมด
แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด พวกเขายังได้ซื้อโรงละคร 4 แห่ง โรงดนตรี 2 แห่งและโรงอาบน้ำสาธารณะอีก 3 และแน่นอนว่าทั้งหมดคือร้านที่ดีที่สุด
มีบางคนคาดเดาว่าช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้คฤหาสน์ซูใช้ทองคำบริสุทธิ์ไปกว่า 30 ล้านตำลึงเพื่อซื้อกิจการทั้งหมดเหล่านี้ ถึงแม้จะเป็นการจ่ายก่อนเพียงแค่ครึ่งราคา ทว่ารวมแล้วมันก็ยังมากถึง 15 ล้านตำลึงทองอยู่ดี
นี่มันบ้าไปแล้ว !
มีตระกูลใหญ่มากมายที่มีทรัพย์สินกว่า 15 ล้าน แต่มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถใช้จ่ายเงินสดมากมายเช่นนี้ได้ และใครก็ตามที่สามารถทำเช่นนี้ได้ อย่างน้อยก็จะต้องมาจากตระกูลที่มีสายเลือดเจ้าอสูรและมีรากฐานที่แข็งแกร่งยิ่ง
แล้วผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนเดียวล่ะมีทรัพย์สินถึง 15 ล้านตำลึงหรือไม่ ?
แน่นอนว่าใช่ ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารที่มีแท่นบงกชอย่างน้อย 3 ชั้นก็เรียกได้ว่ามีมูลค่ามากเทียบเท่าแล้ว และผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณขึ้นไปนั้นก็กล่าวได้ว่าพวกเขาอาจมีเงินอยู่ในมือมากเกินพอที่จะใช้จ่ายหมด
แต่ถึงกระนั้นผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณก็ไม่ใช่ว่าทุกคน จะสามารถผลาญเงินหรือหินพลังต้นกำเนิดในมือมากกว่า 10 ล้านเพื่อซื้อร้านค้ามากมายเช่นนี้ได้
ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่ร่ำรวยมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่นำเงินไปใช้ฟุ่มเฟือยผิดที่ผิดทางเช่นนี้ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักจะนำไปหาซื้อสมบัติหรือหาทรัพยากรที่มีค่า เพื่อมายกระดับการบ่มเพาะของพวกเขา
ไม่มีใครสามารถโปรยเงินเล่นได้เหมือนอย่างที่ซูเฉินทำ
ด้วยเหตุนี้ ภูมิหลังของท่านชายซูจึงกลายเป็นประเด็นสนทนาที่ร้อนแรงของทุกคนในเมืองกลืนธารา