บทที่ 67 การติดต่อ (1)
สิ่งที่กู่เซวียนเจาชอบทำเป็นประจำทุกวัน คือการตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและไปที่ประตูสีชาด เพื่อทานข้าวต้มเห็ดทรัฟเฟิลสูตรต้นตำรับคู่กับขนมเปี๊ยะที่คู่สามีภรรยาเจียงทำขึ้น เขารู้สึกว่านี่เป็นส่วนที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว
หลังอาหารเช้าเขามักจะไปที่ลานร้อยวิหคขับร้องเพื่อฟังเพลง สำหรับมื้อกลางวันเขาจะไปทานที่ร้านอาหาร แล้วอาบน้ำในตอนบ่ายจากนั้นก็ไปที่ศาลาวิไลรัญจวนหรือศาลาควันล่องในตอนเย็น หาแม่นางน้อยที่เข้าตาสักสองสามคนมาดื่มเล่นด้วย หรือบางครั้งก็ใช้เวลาอยู่ที่โรงพนัน เขาไม่สนใจว่าจะชนะหรือไม่ แค่มันทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้ก็เพียงพอแล้ว
กู่เซวียนเจาเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร สายเลือดเจ้าอสูรมาถึงขีดจำกัดแล้ว ความหวังที่จะบรรลุด่านผลาญจิตวิญญาณนั้นมีน้อยมาก นี่เป็นสิ่งที่เกิดจากระบบสายเลือดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ผู้คนไร้สายเลือดส่วนใหญ่สามารถไปได้ถึงเพียงด่านกลั่นโลหิต ผู้ที่มีสายเลือดผสมสามารถไปได้ถึงเพียงด่านสู่พิสดาร และผู้ที่มีสายเลือดอ่อนแอกว่าสายเลือดราชันอสูรก็ไปได้ถึงเพียงแค่ด่านผลาญจิตวิญญาณ
สำหรับคนที่มีสายเลือดเจ้าอสูรนั้น การจะทะลวงสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณนี้มีโอกาสความสำเร็จต่ำและอันตรายมาก กู่เซวียนเจาให้ความสำคัญกับการมีชีวิตอยู่ เขายึดถือว่าคุณภาพสำคัญมากกว่าปริมาณ การมีชีวิตยืนยาวไม่ได้สำคัญไปมากกว่าชีวิตที่มีสุข
ด้วยเหตุนี้กู่เซวียนเจาจึงไม่ต้องการที่จะท้าทายระดับที่สูงไปกว่านี้
เขายอมแพ้แล้ว
ใช้ชีวิตดี ๆ อยู่ในฝันเมามายอย่างสุขสบายมาเป็นเวลากว่าสองสามร้อยปี ทว่าในยามนี้เขามีแนวโน้มที่จะสูญเสียการควบคุมและเปิดใช้งานสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลของตนสูงกว่าความเป็นไปได้ที่จะทะลวงสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณเสียอีก
อย่างไรก็ตาม มันถึงเวลาที่จะหาสถานที่ใหม่เพื่อทำตามใจตัวเอง
บางทีนี่อาจเป็นความหรูหราที่มีให้เพียงผู้แซ่กู่เท่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะมองว่าสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลของพวกตนเป็นคำสาปหรือพร อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีทางเลือก
ด้วยเหตุนี้กู่เซวียนเจาจึงเลือกใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและไร้กังวล แม้แต่การฝึกฝนในทุกวันก็ล้มเลิกไป
จริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่เขาคนเดียว แต่ผู้คนมากมายในตระกูลกู่ก็จะเลือกตัดสินใจเช่นนี้เหมือนกัน ในเมื่อพบว่าโอกาสที่พลังสายเลือดของตนสามารถสูญเสียการควบคุมได้อย่างง่ายดายอยู่ดี ถึงจะฝึกฝนอย่างหนักเป็นทศวรรษเป็นศตวรรษก็ตาม พวกเขาจึงเลือกที่จะมีความสุขกับชีวิตอย่างเต็มที่ แทนที่จะพยายามอย่างเสียเวลาไปเปล่าประโยชน์
ในวันนี้กู่เซวียนเจาก็มุ่งตรงไปที่ประตูสีชาดในทันทีที่เขาตื่นขึ้นเช่นเดิม
ทว่าเมื่อไปถึงที่หมาย เขากลับพบว่าคู่สามีภรรยาเจียงไม่ได้ขายอาหารอยู่ที่นั่นแล้ว
“หืม ? วันนี้ท่านเจียงไม่มาตั้งแผงขายของหรือ ?” กู่เซวียนเจาถาม
หญิงชราขายซุปเต้าหู้อยู่ข้าง ๆ ตอบกลับมาว่า “ขายสิทำไมจะไม่ขายล่ะ พวกนั้นก็แค่เพิ่งจะย้ายไปที่หอเครื่องหอมลอยน้ำเท่านั้นเอง เห็นว่าหอเครื่องหอมนั่นซื้อร้านของพวกมันไป พวกนั้นก็เลยไปขายอยู่ที่นั่นแทนแล้ว”
“หอเครื่องหอมลอยน้ำ ?” กู่เซวียนเจาชะงัก “คฤหาสน์ซู ?”
เขาจะไม่เคยได้ยินชื่อคฤหาสน์ซูที่โด่งดังขึ้นมาในช่วงนี้ได้อย่างไร ?
“ใช่แล้ว เป็นเจ้าของคฤหาสน์ซูผู้ร่ำรวยนั่นแหละ” หญิงชราตอบอย่างมีความสุขราวกับว่านางเป็นผู้ที่ได้ผลประโยชน์มากมายจากคฤหาสน์ซูเช่นกัน
กู่เซวียนเจาโอดครวญ “ที่แท้ก็เป็นคุณชายผู้มือเติบที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ ? นี่มันตั้งใจจะซื้อของดีทั้งในเมืองกลืนธาราไปไว้เองหมดเลยหรือไร ?”
เขาพูดและสะบัดแขนเสื้อก่อนจะมุ่งหน้าไปยังหอเครื่องหอมลอยน้ำ
กู่เซวียนเจาเข้าหอเครื่องหอมมาด้วยท่าทีไม่พอใจยิ่ง เพราะในความคิดของเขาคฤหาสน์ซูมีความผิดที่มาบังคับให้เขาต้องเปลี่ยนวิธีชีวิตประจำวันที่ทำมาตลอดหลายปี ทว่าเมื่อเขาเดินเข้าไปข้างในและเห็นการตกแต่งภายในที่สะอาดสะอ้าน กับข้าวต้มเห็ดทรัฟเฟิลที่คู่สามีภรรยาเจียงกำลังตักอยู่จากหม้อใบใหม่เอี่ยม ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าการทานอาหารเช้าในอาคาร แทนนั่งกินข้างนอกที่ลมแรงและเต็มไปด้วยฝุ่นก็นับว่าดีไม่น้อย อารมณ์ของเขาจึงดีขึ้นมาเล็กน้อย
เสี่ยวเอ้อร์ตาคมคนหนึ่งสังเกตเห็นเขาและเข้ามาหาในทันทีทันใด “ไอหยา นั่นผู้อาวุโสสี่ตระกูลกู่ไม่ใช่หรือ ! เชิญ ๆ เชิญมานั่งทางนี้ได้เลยขอรับ”
เขาทักทายกู่เซวียนเจาและพารีบอีกฝ่ายไปยังที่นั่ง
กู่เซวียนเจาพูดอย่างไม่ใส่ใจ “โอ้ เจ้ารู้จักข้าด้วยสินะ”
“ข้าจะไม่รู้จักผู้อาวุโสสี่ตระกูลกู่ได้อย่างไรกัน ? คู่สามีภรรยาเจียงพูดถึงท่านอยู่ตลอดเลย นายท่านเองก็บอกให้พวกข้าดูแลแขกจากตระกูลกู่ให้ดี เชิญ ๆ ท่านผู้อาวุโสเชิญนั่ง”
เสี่ยวเอ้อร์นำทางกู่เซวียนเจาไปยังที่นั่งด้านในสุดของหอเครื่องหอมลอยน้ำ จากนั้นก็ยกข้าวต้มเห็ดทรัฟเฟิลกับขนมเปี๊ยะ พร้อมกับอาหารทานเล่นสองสามอย่าง มาวางไว้อย่างเรียบร้อยบนโต๊ะที่ทำความสะอาดแล้ว
กู่เซวียนเจาลิ้มรสมันและพยักหน้า “แม้จะเปลี่ยนที่เปลี่ยนทาง แต่ฝีมือก็ยังคงไม่เปลี่ยน รสชาติเข้มข้นกลมกล่อมเช่นเคย แป้งขนมเปี๊ยะเองก็หอมกรอบ อาหารก็ยกมาเร็วดี”
เสี่ยวเอ้อร์หัวเราะรับคำชม “เพียงแค่ผู้อาวุโสสี่ชอบมันก็ดีแล้วขอรับ ใช่แล้ว ผู้อาวุโสสี่หลังมื้ออาหารเช้า ท่านจะไปที่ลานร้อยวิหคขับร้องต่อหรือไม่ขอรับ ?”
“เจ้าหนู เจ้าดูคุ้นเคยกับการกิจวัตรของข้าดีเหลือเกินนะ เจ้าคงไม่ได้คิดที่จะลอบสังหารข้าใช่ไหม ?”
เสี่ยวเอ้อร์รีบตอบปัด “ผู้อาวุโสสี่ล้อเล่นแล้ว ข้าน้อยจะกล้าได้ยังไง ? ข้าน้อยแค่ถามแทนนายท่านกับคู่สามีภรรยาเจียงเท่านั้น นายท่านต้องการให้เราใส่ใจกับกำหนดการของแขกคนสำคัญเพื่อดูแลให้ดีที่สุด หากผู้อาวุโสวางแผนที่จะไปที่นั่นต่อ ข้าน้อยจะแจ้งให้คนไปเตรียมที่ที่ดีที่สุดลานร้อยวิหคขับร้องเอาไว้ให้ท่าน ตอนนี้เราทุกคนอยู่ภายใต้เจ้าของเดียวกันแล้ว การให้ดูแลแขกเหรื่อต่าง ๆ จึงสะดวกมากขึ้น และผู้อาวุโสสี่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าท่านจะพลาดที่นั่งดี ๆ อีกต่อไปแล้ว”
“น่าสนใจดีทีเดียว เอาล่ะ จองที่ไว้ให้ข้าทีแล้วกัน จริงสิ …ของพวกนี้ต้องจ่ายเพิ่มหรือไม่ ?” กู่เซวียนเจาถามขณะที่เขาชี้ไปยังอาหารทานเล่นบนโต๊ะ
เสี่ยวเอ้อร์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ผู้อาวุโสที่สี่โปรดทานอย่างสบายใจ นายท่านกล่าวว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงบริการพิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ท่านผู้อาวุโสที่สี่ ไม่มีการคิดเพิ่มแต่อย่างใด”
“ช่างเป็นคนที่มีไหวพริบ” กู่เซวียนเจากล่าวขณะที่เขาพยักหน้า
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้วเขาก็มุ่งหน้าไปที่ลานร้อยวิหคขับร้อง แน่นอนว่ามีคนดูแลจัดเตรียมทุกอย่างเอาให้ไว้เขาแล้ว การแสดงที่กำลังดำเนินอยู่คือ ‘สัมผัสมังกร’ ของตระกูลจ้าว ซึ่งเป็นเพลงโปรดของเขา
ในขณะที่ดนตรีกำลังเล่นไปจนถึงท่อนหลัก กู่เซวียนเจาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาและมุ่งหน้าไปยังห้องที่ดีที่สุด ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหน้ามีท่าทางสง่าอย่างมาก เพียงเห็นแค่แวบเดียวที่ใคร ๆ ก็สามารถบอกได้อย่างง่ายดายว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาสามัญแน่นอน
กู่เซวียนเจารู้สึกว่าหัวใจของตนกำลังสั่นอยู่เล็กน้อย ขณะที่เขาคาดเดาอย่างเงียบ ๆ
ไม่นานนัก หลังจากที่ชายคนนั้นนั่งลงในที่ของเขา ข้ารับใช้ก็พลันวิ่งมาจากทางนั่นพร้อมกับมอบบัตรเชิญให้กับชายชรา และกล่าวด้วยความเคารพว่า “ท่านชายของข้าน้อยได้ยินมาว่าผู้อาวุโสสี่ตระกูลกู่กำลังนั่งชมการแสดงอยู่ที่นี่ ท่านขอให้ข้ามาส่งคำทักทายให้ผู้อาวุโสเป็นพิเศษและจะตามมาแสดงความเคารพเป็นการส่วนตัว”
กู่เซวียนเจายอมรับบัตรเชิญมาดู เขาเห็นคำสองคำสลักนูนลงบนบัตรเชิญสีทอง
ซูเฉิน
เป็นเขาจริง ๆ
กู่เซวียนเจากล่าวว่า “เช่นนั้น โปรดเชิญคุณชายซูมานั่งกับข้าเถิด”
มานั่งกับซูเฉินก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องของผู้อาวุโสสี่
“ซูเฉินคารวะผู้อาวุโสสี่ตระกูลกู่ นี่เป็นของแสดงความนับถือเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้า”
ชายหนุ่มส่งสัญญาณให้คนข้างตัวนำชามสีแดงที่เต็มไปด้วยถุงชาจากเหล่ารุ่ยเซียง
ตราประทับบนถุงนั้นทำมาจากอำพันอ่อน สินค้าชิ้นนี้ราคาไม่ได้แพงมากนัก แต่มันผลิตในปริมาณที่น้อยและหาซื้อได้ยาก
เห็นได้ชัดว่าท่านชายซูผู้นี้พิถีพิถันในการเลือกเตรียมของขวัญนี้อยู่บ้าง ทำให้ทัศนคติของกู่เซวียนเจาที่มีต่ออีกฝ่ายดียิ่งขึ้นอีก เขายอมรับของขวัญโดยไม่ต้องมีพิธีรีตองมากนัก “คุณชายซู เชิญนั่ง”
เมื่อซูเฉินนั่งลงเขาก็พูดต่อ “ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาชื่อของคุณชายซูโดดเด่นยิ่งนัก ดูเหมือนว่าตอนนี้แม้แต่เหล่ารุ่ยเซียงเองยังอยู่ภายใต้ชื่อของคฤหาสน์ซูไปแล้วสินะ ?”
ซูเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ “ผู้อาวุโสสี่ ขออภัยในท่าทางบุ่มบ่ามและบ้าบิ่นของข้าด้วย ซูเฉินทำให้ท่านผู้อาวุโสต้องหัวเราะแล้ว”
“เดิมทีข้าคิดว่าคุณชายซูเป็นชายหนุ่มที่ก้าวร้าว และชอบใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย แต่ดูเหมือนว่าข่าวลือเหล่านั้นจะไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย คุณชายซูมีมารยาทและสุภาพยิ่ง สมกับที่คนเขาบอกกันว่ามาจากตระกูลใหญ่แล้ว”
“ผู้อาวุโสสี่ก็ชมข้าเกินไปแล้ว”
แล้วพวกเขา 2 คนก็เริ่มนั่งสนทนากัน
ไม่ได้พูดอะไรที่สำคัญเป็นพิเศษเพียงแค่คุยกันแบบสบาย ๆ บางครั้งยิ่งคุยกันมากขึ้นเท่าไหร่ตัวตนของคนคนหนึ่งก็จะยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เช่นที่กู่เซวียนเจาเริ่มเข้าใจซูเฉินขึ้นมาอีกเล็กน้อย
ระหว่างที่นั่งคุยกันพวกเขาทั้ง 2 ก็เริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้น
หลังจากสนทนากันสักพักซูเฉินก็อำลาและขอตัวจากไป
กู่เซวียนเจาเฝ้าดูซูเฉินจากไป ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ซูเฉินผู้นี้เป็นคนที่น่าสนใจทีเดียว”
ความประทับใจแรกที่สมบูรณ์แบบ