อาวุธทั้งสามชิ้นนั้นก็เข้าข่ายข้อกำหนดของการพ้นระยะ5 ของมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ แม้แต่ตอนที่ชูฮันเจอกับซูเฟิงและเจียงหลิงโหลว ทั้งสองก็จะเหมือนรับรู้เรื่องของสัญญาณบอกใบ้ของสนามพลังงานแล้วด้วย!
ในขณะเดียวกันสำหรับคนที่มีอาวุธพิเศษในมือ ถ้าคนพวกนี้ปล่อยสนามพลังงานออกมาเมื่อไหร่มันก็จะมีสีที่แตกต่างออกไปเหมือนกับชูฮันในตอนนี้ ขวานซิ่วโหลของชูฮันเป็นสีดำ ดังนั้นสนามพลังงานจึงปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ เช่นเดียวกันของซูเฟิงจะเป็นประกายสีมอง ของเจียงหลิงโหลวจะเป็นสีเงิน และต้านฮวงก็จะเป็นสีฟ้า…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ชูฮันก็รู้สึกได้ถึงความเร่งด่วน เพราะต้านฮวงไม่ได้เข้าร่วมกับเขา และมันก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าต้านฮวงมีความสามารถระดับไหน แต่สำหรับซูเฟิงและเจียงหลิงโหลวนั้นชูฮันได้เห็นการต่อสู้ของทั้งคู่มาแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งคู่มีความสามารถมากกว่าชูฮันด้วยซ้ำชูฮันแค่ต้องช่วยแนะนำแนวทางในการสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ระหว่างอาวุธคู่กายกับพลังผันผวนของร่างกายให้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อให้เกิดการกระตุ้นอย่างเต็มที่
ดูเหมือนว่าครั้งหน้าที่ชูฮันกลับไปที่ค่ายเขี้ยวหมาป่าเขาคงจะต้องแนะนำแนวทางข้อมูลด้านนี้ให้แก่ซูเฟิงวะหน่อย เขาไม่สามารถทนมองดูซูเฟิงซึ่งมีพลังมหาศาลในมือแต่ไม่รู้วิธีใช้แบบนี้ต่อไปได้อีกแล้ว
สำหรับเจียงหลิงโหลวนั้น…
ชูฮันไม่ได้สนิทสนมกับเธอ!
ชูฮันมองขวานซิ่วโหลวในมือตัวเองในใจเกิดความสงสัย ทำไมในชาติที่แล้วตอนที่ขวานซิ่วโหลเป็นของเหมิงชีเหว่ยมันถึงไม่มีการใช้งานหลายรูปแบบเช่นตอนนี้ มันต่างกันจริงๆเหรอ? ทำไมมันถึงแตกต่างในชาตินี้?
และทำไมขวานซิ่วโหลที่ถูกสร้างโดยเหย่โม่ถึงได้เหมือนกับอาวุธที่มาจากหุบเขาหยินหยาง?
เหย่โม่หุบเขาหยินหยาง…
หรือมันมีการเชื่อมโยงระหว่างทั้งสอง?มีอีกกี่เรื่องกันที่เขายังไม่รู้? น่าเสียดายที่เหย่โม่จากไปแล้ว ไม่งั้นชูฮันคงได้ถามในสิ่งที่สงสัยไปแล้ว
มันยังมีปัญหาอีกมากมายปัญหาใหญ่!
เมื่อนึกถึงเหย่โม่ชูฮันก็นึกถึงป่ายหวีเนอตามมาทันที ตอนที่เขาได้ขวานซิ่วโหลมาจากเหย่โม่ ป่ายหวีเนอเองก็ได้ถุงมือมาด้วยเช่นกัน แล้วถ้าซูเฟิงและเจียงหลิงโหลวเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษจริงๆ พวกเขาก็น่าจะเป็นจำพวกเดียวกับป่ายหวีเนอที่เกิดมาเพื่อเป็นอัจฉริยะจริงๆ!
ในช่วงแรกเริ่มที่ชูฮันเป็นวิวัฒนาการระยะ3 ป่ายหวีเนอได้กลับมาเจอกับชูฮันที่เมืองอันลูซึ่งตอนนั้น ป่ายหวีเนอก็สามารถควบคุมขีดจำกัดพลังทางกายภาพของตัวเองได้แล้ว ชูฮันจำได้เลยว่าป่ายหวีเนอต่อยคนคนหนึ่งที่ชูฮันชื่อไปแล้วติดอัดกำแพง novel-lucky
ซึ่งในตอนนั้นป่ายหวีเนอยังอยู่แค่ระยะต้นๆเท่านั้นเอง?
ทั้งๆที่ป่ายหวีเนออยู่ในช่วงแรกๆเท่านั้นแต่สามารถควบคุมพลังทางกายภาพตัวเองได้แล้ว แล้วป่ายหวีเนอในตอนนี้ละ แม้แต่ป่ายหวีเนอในอนาคต?
เธอเป็นอัจฉริยะ!
สมแล้วกับฉายานักฆ่ามนุษย์ที่ได้มาในชาติที่แล้ว…ปีศาจที่มีชีวิต!
น่าเสียดาย…
ชูฮันกระพริบตาปริบๆความรู้สึกที่ว้าวุ่นในใจพุ่งพล่านอยู่ในอก ป่ายหวีเนอถูกตระกูลป่ายพาตัวกลับไปก่อนเวลา และชูฮันเองก็ไม่รู้ที่อยู่ของตระกูลป่าย?
ขณะที่ชูฮันกำลังคิดถึงการปล่อยสนามพลังงานของตัวเองและพยายามคิดหาคำตอบของหลายๆอย่างในหัวคนด้านนอกที่ไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ด้านในก็พยายามจะข้ามฝ่ากำแพงกั้นเข้ามาให้ได้!
”ชูฮัน!ชูฮัน!” ฉางกวนยวีซินร้องไห้ตะโกนเรียกชูฮันจนแทบไม่เหลือเสียง น้ำตาไหลพรากอย่างสิ้นหวัง หัวใจบอบช้ำอย่างแรง
ดาบในมือพยายามฟาดใส่ลูกบอลสีดำตรงหน้าไม่หยุดทว่าไม่ว่าเธอจะพยายามเท่าไหร่ แม้แต่สร้างรอยขีดข่วนก็ยังไม่สามารถทำได้
ลูกบอลสีดำแปลกประหลาดนี้ไหลเวียนไปด้วยพลังผันผวนมหาศาลทำให้ใครที่เข้าใก้ลมันรับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาล แม้แต่มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ระดับสูงยังยากที่จะหายใจได้คล่องจมูก เพราะงั้นคนที่ไม่มีพลังหรือเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ระยะต่ำจึงหวาดกลัวจนไม่กล้าจะเข้าใกล้เลย ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดา ทุกย่างก้าวที่พยายามก้าวเข้ามาต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก
นอกจากฉางกวนยวีซินจะไม่เหน็ดเหนื่อยแล้วเธอยังคงพยายามทุบตีผนังลูกบอลสีดำไม่หยุด เช่นเดียวกับฉางกวนหลง เฉินยุนโหลวและคนอื่นๆที่พยายามกันอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามมากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ก็คือพลังของพวกเขาถูกดีดกลับออกมาเหมือนเดิม และทุกครั้งที่ถูกดีดกลับ พวกเขาต้องใช้เวลาพักฟื้นเพื่อรวบรวมพละกำลังขึ้นใหม่อยู่พักหนึ่งเพราะทันทีที่พวกเขาสัมผัสเข้ากับผนังลูกบอลสีดำ มันมีกระแสคลื่นพลังมหาศาลระเบิดใส่พวกเขาอย่างรุนแรง
”อย่าพยายามเลย”จงคุยมองดูกลุ่มคนที่กำลังพยายามอย่างเปล่าประโยชน์ตรงหน้า อารมณ์เขาดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย แววตากวาดมองตัวของฉางกวนยวีซินอย่างหยาบคาย “ลูกบอลยักษ์สีดำนี้น่าจะเป็นพลังพิเศษของพวกตระกูลลึกลับ ชูฮันไม่มีทางมีชีวิตรอดอยู่ในนั้นได้ และตอนนี้ฝูงชนก็ควรจะอพยพออกจากบริเวณลูกบอลซะ เพราะถ้ามันระเบิดขึ้นมาเมื่อได้ คนบริสุทธิ์จะบาดเจ็บกันซะเปล่าๆ”
หลังจากจงคุยพูดจบหลายคนที่ยืนอยู่วงนอกก็ไม่ได้รีบเห็นด้วยทันที พวกเขาคิดไตร่ตรองกันอยู่พักหนึ่ง
”พลเอกจงคุยพูดถูกพลเอกฉางกวนหลง ในฐานะผู้นำค่ายหนานตู้ ท่านควรจะตระหนักเรื่องความปลอดภัยของผู้คนในค่ายเป็นหลัก”
”ผมก็เห็นด้วยเราจะปล่อยให้ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวได้รับบาดเจ็บได้ยังไง?”
มีความพอใจในแววตาของจงคุยบิดหัวเล็กน้อยมองไปที่เหล่าชาวบ้านที่มามุงดูเหตุการณ์รอบๆ รอให้ทุกคนเคลื่อนไหวหลังจากได้ยินคำพูดของเขา ท้ายที่สุดหลังเมื่อเทียบกับจุดยืนของฉางกวนหลงที่คิดจะสนับสนุนลูกสาวตัวเองเป็นอันดับแรก วิธีการนี้น่าจะทำให้เขาเป็นที่รักของชาวบ้านแห่งค่ายหนานตู้มากกว่า
มันคือการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวไม่ใช่แค่ดึงอำนาจของฉางกวนหลงในค่ายหนานตู้ให้ลดลงแต่ยังเป็นการเพิ่มอำนาจของเขาในฐานะผู้นำค่ายจินหยางภายในค่ายหนานตู้เข้าไปอีก ดังนั้นมันจะเป็นการง่ายต่อค่ายหนานตู้ที่ยอมให้ฉางกวนยวีซินแต่งงานกับเขาในอนาคต
น่าเสียดายที่จังหวะที่จงคุยหันหน้าไปดูเหล่าชาวบ้าน เขากลับต้องผิดหวังที่ทุกคนไม่ดำเนินไปตามทิศทางที่เขาคาดไว้ ฝูงชนรอบๆกลับจ้องเขม็งมาที่เขาด้วยสายตาแปลกๆ ไม่ใช่แค่นั้นแววตาที่ชาวบ้านมองภาพฉางกวนยวีซินที่พยายามจะพังผนังลูกบอลยักษ์เข้าไปยิ่งแปลกยิ่งกว่า
อะไรกัน?
ทันใดนั้นจงคุยก็รู้สึกงุนงงหลงรักเขา? ชื่นชม? ซาบซึ้ง?
ทำไมคนพวกนี้ไม่รู้สึกแบบนี้?!
ในตอนนั้นเองหลูปิงเซ่อที่เหนื่อยล้าก็มองไปที่เหตุการณ์ที่กำลังพัฒนาไปเรื่อยๆด้วยสายตาที่อธิบายไม่ได้ เขาเดินก้าวเข้าไปข้างหน้ากลุ่มคนที่พยายามจะฝ่าเข้าไปและถามขึ้น “พวกคุณกกำลังทำบ้าอะไร?”