งานประมูลจิ่นติงก็เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา ดูจากข้างนอกคนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เพียงแต่ครั้งนี้จ่านป๋ายไม่ได้ถูกคนกันไว้หน้าประตู นอกจากนี้เขายังจองที่นั่งโซนวีไอพีไว้ด้วย
เขาพาซีเหมินจินเหลียนเดินเข้ามานั่งด้านใน ทั้งคู่ไม่มีอะไรที่อยากจะซื้อ ได้แต่เปิดสมุดอัลบั้มรูปสินค้าที่มีไว้ในการประมูลเปิดไปมาอย่างเบื่อหน่าย
“จินเหลียน คุณลองดูสิครับทับทิมเม็ดนี้งานดีมากเลย อีกเดี๋ยวผมช่วยคุณประมูลดีไหม?” จ่านป๋ายยื่นรูปภาพในอัลบั้มส่งไปให้เธอดู
ซีเหมินจินเหลียนรับขึ้นมาดู ที่แท้ก็เป็นทับทิมเนื้อดีอย่างที่คิด ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็ไม่เล็กจนเกินไป เป็นสีแดงสดอย่างที่เธอชอบ ดูจากข้อมูลที่เขียนบอกไว้เป็นพลอยทับทิม ไม่น่าจะเป็นของปลอม เพราะราคาเริ่มต้นอยู่ที่สามแสน
“สวยใช่ไหมครับ?” จ่านป๋ายยิ้มถาม “สามารถสวมใส่กับแหวนก็ได้ เป็นไงครับ”
“ฉันว่าราคาสูงไปหน่อย” แม้ว่าซีเหมินจินเหลียนจะรู้สึกชอบอยู่บ้าง แต่เธอก็ยังส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ฉันคาดเดางบแล้ว ช่วงนี้งบประมาณการหมุนเวียนเงินของพวกเราไม่ได้คล่องมากนัก ของพวกนี้เราค่อยซื้อทีหลังเถอะ”
“แต่งูของคุณก็ราคาตั้งสองแสนนะครับ!” จ่านป๋ายยิ้มเฝื่อน
“นั่นเป็นผู้อาวุโสของฉันค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มพลางลูบไล้สัมผัสงูขาวที่กำลังพันรัดอยู่ที่ข้อมือพร้อมยิ้ม “คุณอย่าดูถูกมันนะ มันก็เรียบร้อยและน่ารักมากเลย”
“ผมรู้แล้วล่ะครับ” จ่านป๋ายพยักหน้า แต่ก็ยังมีความกังวลใจกับงูตัวนี้ ถ้าหากไม่ระวังแล้วมันเกิดกัดซีเหมินจินเหลียนเข้าจะทำอย่างไร? เมื่อมองงูที่พันรัดอยู่กับข้อมือของเธอแล้ว เขาก็ไม่รู้จะพูดถึงบรรยากาศที่แปลกประหลาดเช่นนี้อย่างไรดี
ต้องรีบหาเจ้าของงูให้เจอ จะได้ให้เขาเอางูตัวนี้ไปอย่างโดยเร็ว
“ถ้าหากเจอเจ้าของนางพญางูขาว บางทีพวกเราก็อาจจะรู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับหินราชางูนี่ก็ได้ เพราะเขาก็เป็นเซียนงูเลยนะ”
“อืม” จ่านป๋ายก็เข้าใจ เป้าหมายที่ซีเหมินจินเหลียนซื้องูตัวนั้นมาก็เป็นเพราะว่าเจ้าของงูที่ลึกลับคนนั้น แต่เขาคิดอย่างไรก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าของงูท่านนี้จู่ๆ ถึงยอมขายงูที่ตัวเองเลี้ยงมาตั้งหลายปี? โดยปกติสัตว์เลี้ยงที่ถูกเลี้ยงมานานกับเจ้าของจะมีความรู้สึกผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง ราวกับลูกของตนอย่างไรอย่างนั้น นอกจากเจ้าของจะหมดหนทางอับจนถึงขีดสุดแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ยินยอมที่จะขายออกไปแน่
แม้กระทั่งบางคน ยอมให้ตัวเองตาย แต่ไม่ยอมให้สัตว์เลี้ยงของตนต้องทุกข์ยาก
เพราะอย่างนั้นเขายิ่งไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เรื่องที่ทำให้คนมีงานอดิเรกแปลกๆ ที่เลี้ยงงูไว้หลายปีจนต้องขายงูทิ้งไป
“เสี่ยวป๋าย คุณช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับร้านขายสัตว์เลี้ยงนั่นให้ฉันหน่อยได้ไหมว่านางพญางูขาวถูกขายให้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วใครเป็นคนขายให้” ซีเหมินจินเหลียนสงสัยอยู่ตั้งนาน สุดท้ายตัดสินใจว่าเรื่องบางเรื่องมักจะต้องใช้วิธีผิดแปลกจากปกติบ้างสักหน่อย
จ่านป๋ายพยักหน้าตอบรับ ความจริงแล้วถึงซีเหมินจินเหลียนจะไม่พูดออกมา แต่เขาก็คิดจะทำอยู่แล้ว งูที่ถูกคนเลี้ยงมาสิบห้าปี แต่คิดไม่ถึงว่าจะตัวโตแค่นี้? มันก็ช่างผิดกฎธรรมชาติ
หยกสองแบบของซีเหมินจินเหลียนอยู่ด้านหลังงานทั้งนั้น ในนั้นมีขลุ่ยหยกที่ลอกเลียนแบบในพระราชวัง สดใสเงาวาวทำให้ผู้คนที่พบเห็นเก็บอาการใจเย็นไว้ไม่ลง
ภายใต้แสงไฟ หยกพวกนี้ยิ่งมีออร่าเพิ่มชัดขึ้นไปอีก เนื้องามที่เย็นลื่น เสริมเข้ากับหยกชนิดแก้วสีเขียวสด ความเปล่งประกายเต็มเปี่ยม ความใสวาวเหลือล้น
ราคาประมูลเริ่มต้นเริ่มแค่ห้าสิบล้าน แต่เพียงไม่นานราคาของขลุ่ยหยกก็พุ่งขึ้นสูงถึงแปดสิบสองล้านแล้ว ซีเหมินจินเหลียนสังเกตคนที่ให้ราคาเหล่านั้น คนพวกนี้ก็กระเป๋าหนักจริงๆ
“จินเหลียน คุณวางใจเถอะครับ อีกเดี๋ยวผมจะไปหาข้อมูลของลูกค้าพวกนั้นออกมาให้” จ่านป๋ายกระซิบพูด
“คะ?” ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกงันงง “ไม่ใช่ว่าในงานประมูล ไม่สามารถจดบันทึกประวัติข้อมูลของลูกค้าได้หรอกเหรอ”
“นั่นเป็นแค่การพูดสำหรับคนภายนอกก็แค่นั้น!” จ่านป๋ายยิ้มแย้ม การพูดลักษณะนี้ย่อมเป็นการหลอกคน แม้ว่าจะมีลูกค้าบางคนที่อยากจะปิดบังตัวตนของตัวเอง จึงใช้ฉายาแทน แต่ถ้าหากจะค้นหาก็ยังคงมีร่องรอยอยู่
ถัดมาก็เป็นหยกดอกบัวสีเลือดที่ซีเหมินจินเหลียนเป็นคนแกะสลัก ดอกบัวสีเลือดนั่นถูกจ่านป๋ายตั้งฉายาว่าเป็นดอกบัวสีแดงแห่งไฟนรก ภายใต้แสงไฟหยกสีเลือดสีสันสดใส ดอกใหญ่เล็กช่างงดงามเหมือนกับดอกบัวสีแดง สีสดราวกับเลือด แต่ดูบางทีก็คล้ายกับไฟที่กำลังแผดเผา
ราคาประมูลเริ่มต้นอยู่ที่หกสิบล้าน เสียงถูกถ่ายทอดมาจากพิธีกรในงาน จากนั้นมีคนเริ่มแย่งต่อรองราคาประมูล
คิดไม่ถึงว่าราคาหลังเริ่มต้นจะสูงหลิ่วเกินคาด อีกทั้งยังเกินความคาดหมายที่ซีเหมินจินเหลียนคิดไว้ ไม่นานราคาก็เกินร้อยล้าน ฝ่ายที่แข่งกันอยู่สองฝ่าย เธอได้เพ่งเล็งสนใจ หนึ่งในนั้นมีผู้หญิงวัยกลางคนอยู่คนหนึ่ง ส่วนอีกคนฟังจากสำเนียงแล้วน่าจะเป็นชาวต่างชาติ เมื่อได้เห็นถึงทักษะการม้วนลิ้นที่ฟังออก
เพียงไม่นานหยกดอกบัวสีเลือดถูกคนที่ม้วนลิ้นคนนั้นประมูลไปด้วยราคาสูงถึงหนึ่งร้อยยี่สิบล้าน เมื่อได้รู้ว่ารายรับสูงขนาดนี้ ซีเหมินจินเหลียนเบิกตากว้างขึ้นมา
เธอก็แค่คิดคร่าวๆ ไว้กับจ่านป๋าย จากนั้นราคาเริ่มประมูลก็ให้จ่านป๋ายเป็นคนคิด แต่คิดไม่ถึงว่าราคาประมูลจะสูงถึงขนาดนี้
“จินเหลียน หยกสีเลือดของคุณ ถ้าไม่มีความจำเป็น ตอนนี้ก็เพิ่งขายทอดตลาดเลยนะครับ” จ่านป๋ายเห็นเช่นนั้น หน้าตายิ้มแย้มไม่หุบแล้วพูดแซวเธอ
“ฉันจะเก็บไว้ก่อน รอให้ราคาดีแล้วค่อยปล่อยออก!” ซีเหมินจินเหลียนพูด
จ่านป๋ายพยักหน้า “สิ่งของที่หายากก็เลยแพง ขอแค่หยกสีเลือดของคุณไม่ได้ถูกส่งออกไปให้ตลาดในจำนวนมาก นั่นก็ถือว่าเป็นของล้ำค่าแล้ว บางคนชอบสะสม ก็เลยชอบหาของที่หายากหน่อยมาเก็บไว้ ยิ่งมีน้อยเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งสูงเท่านั้น หยกดอกบัวสีเลือดแห่งไฟนรกของคุณ ถ้าขายออกไปในราคาสูงถึงหนึ่งร้อยยี่สิบล้าน เรียกได้ว่าสูงกว่าขลุ่ยหยกหลายเท่าตัว นั่นเป็นเพราะว่าหยกชนิดแก้วสีเขียวถึงจะหายาก แต่ก็ยังหาง่ายกว่าหยกสีเลือด”
ตรรกะแบบนี้ ซีเหมินจินเหลียนย่อมเข้าใจเป็นธรรมดา แต่เธอก็ยังคิดว่ายากอยู่ดี เพราะในมือไม่ได้มีเงินหมุนเวียนมาก วิธีที่ให้เธอเลือกก็มีแค่หนทางเดียวเท่านั้นก็คือทำสินค้าหยกแปรรูปออกมาขายเพื่อรับเงินก้อนใหญ่ที่จะเข้ามา
“ไปเถอะ พวกเราไปดูฉินเฮ่ากันครับ” จ่านป๋ายลุกขึ้นยืนแล้วจูงมือซีเหมินจินเหลียนเดินออกไปที่ประตูข้างๆ
เมื่อทั้งคู่เดินไปที่โรงจอดรถ โทรศัพท์ของจ่านป๋ายก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ในระหว่างที่ซีเหมินจินเหลียนรอจ่ายป๋ายโทรศัพท์ เธอก็หันไปเห็นผู้หญิงสวยวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบห้าปี ผมสั้นดัดลอนคล้องกระเป๋าถือกำลังเดินเข้ามาในโรงจอดรถ
เมื่อเห็นว่าซีเหมินจินเหลียนกำลังมองเธออยู่ สายตาของหญิงคนนั้นก็จ้องมองมาที่เธอ จากนั้นก็ขับรถออกไปจากที่จอดรถ ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้จักยี่ห้อของรถคันนั้น แต่เธอรับรู้ได้ว่าผู้หญิงสวยคนนั้นน่าจะอยากได้ดอกบัวสีแดงเป็นอย่างมาก
“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” จ่านป๋ายรู้สึกสงสัย สายตายังคงจ้องถนนที่เต็มคลุ้งไปด้วยฝุ่นควันจากรถ
“คุณรู้จักเขาเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย
จ่านป๋ายพยักหน้าลง จากนั้นจูงมือเธอขึ้นรถ “ปกติเธออยู่ที่ยุโรป แต่ทำไมถึงกลับมาแล้วล่ะ?”
ซีเหมินจินเหลียนถามด้วยในใจรู้สึกสงสัย “เพื่อนร่วมสายงานของคุณเหรอคะ”
จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้น จากที่ถอยรถอยู่ดีๆ ก็เกือบจะชนกำแพงเข้าให้ “จะพูดอย่างนั้นก็ได้ ว่าแต่คุณเดาถูกได้ยังไงกัน?”
“สีหน้าของคุณเมื่อกี้ก็แปลกมากจริงๆ” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะออกมา “หญิงนักย่องเบาเหรอ?”
“ไม่ใช่ครับ เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปลดล็อคกุญแจ” จ่านป๋ายยิ้ม เขาและเธอไม่ได้มีการรู้จักคบค้ากันมากนัก แต่ก็ถือว่ารู้จักกันบ้าง ซีเหมินจินเหลียนพูดแบบนี้ เขาก็ทำได้แค่ยอมรับ โดยทั่วไปเขาจะร่วมงานกับคนอื่นน้อยมาก แต่กับเธอเขาเคยร่วมมาแล้วครั้งหนึ่ง
“เก่งกว่าคุณอีกเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ฮะๆ…” จ่านป๋ายหัวเราะอย่างได้ใจ “ฝีมือของผม ดีที่สุดในสายนี้แล้วล่ะครับ”
“ขี้โม้!” ซีเหมินจินเหลียนด่าออกมายิ้มๆ
“ไปหาฉินเฮ่าก่อนเถอะครับ จินเหลียน ถ้าหากคืนนี้พวกเราโชคดี เราคงมีเงินเพียงพอที่จะซื้อหุ้นตระกูลหลินทั้งหมดแล้วล่ะครับ!” จ่านป๋ายพูด
“คุณ…หมายความว่ายังไง?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย
“เดี๋ยวคุณไปก็รู้เอง!” จ่านป๋ายยิ้มอย่างมีเลศนัย
ซีเหมินจินเหลียนก่นด่าออกมาประโยคหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ สถานที่ห่างจากงานประมูลไม่ไกลมาก จ่านป๋ายพาเธอไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่า ‘คลับหยก’
พนักงานบริการเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว จ่านป๋ายส่งกุญแจไปให้แล้วคล้องแขนซีเหมินจินเหลียนไว้ เดินเข้าไปข้างใน
เมื่อครู่นี้ตอนที่เดินเข้ามา ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้สังเกตว่าที่แห่งนี้ไม่ได้แตกต่างจากที่ไหน ในเมื่อเป็นคลับ แต่ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครม มีแต่ความเงียบสงัด
มีคนมาต้อนรับแล้วยิ้มแย้มพูด “คุณผู้ชาย”
“จองไว้ชั้นบนห้องวีไอพี!” จ่านป๋ายส่งบัตรไปให้
คนที่มาต้อนรับเบิกตากว้างขึ้น จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงลำบากใจ “คุณผู้ชายครับ วันนี้ชั้นบนห้องวีไอพีมีคนจองไว้แล้วครับ”
“ผมรู้ ก็ผมเป็นคนจองเอง” จ่านป๋ายถาม
“ครับ ถ้าอย่างนั้นคุณผู้ชายเชิญตามมาทางนี้” คนต้อนรับไม่พูดจาไร้สาระต่อไป พูดพลางพาทั้งคู่เข้าไปข้างใน จากนั้นนำทั้งคู่เข้าไปที่ลิฟต์ ลิฟต์ถูกเปิดออกมารอให้ทั้งคู่เดินเข้าไป
“ที่นี่เป็นที่แบบไหนกันแน่” ภายในลิฟต์ข้างใน ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย
“ถ้าพูดให้ดีหน่อยก็เป็นคลับระดับดี แต่ถ้าพูดไม่ดีก็คือ…” จ่านป๋ายยิ้มแห้ง
ซีเหมินจินเหลียนถึงจะโง่อย่างไร แต่ก็รู้ถึงสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ “ฉินเฮ่านัดคุณมาทำอะไรที่นี่?”
“เรื่องยุ่งยากเล็กน้อยในบ้านของเขาน่ะ” ความจริงจ่านป๋ายก็พูดได้อย่างไม่เต็มปากว่าสถานการณ์เป็นยังไง แต่เขารู้นิดหน่อยว่าฉินเฮ่าแพ้ไม่ได้
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง เรื่องของตระกูลฉิน แต่เรียกจ่านป๋ายมาเพื่ออะไรกัน สิ่งที่ไม่เข้าใจกว่านั้นก็คือ จ่านป๋ายจะพาเธอมาทำไม?
ระหว่างรอให้ลิฟต์เปิดออก ซีเหมินจินเหลียนก็มาถึงชั้นบนที่มีโคมไฟแชนเดอเรียคริสตัลแขวนไว้อยู่ มีพนักงานต้อนรับมาคอยรอพร้อมทักทาย จ่านป๋ายคล้องแขนเธอแล้วพาเดินไปที่ทางเดิน มุ่งหน้าไปยังประตูไม้เก่าคลาสสิค
ซีเหมินจินเหลียนยังคงตกใจกับการตกแต่งของคลับที่นี่ เมื่อพนักงานต้อนรับพาทั้งคู่มาที่หน้าประตู ก็ได้ผลักประตูตรงหน้าแล้วยืนเคารพอยู่อีกฝั่ง
“จ่านมู่หรง ถ้าคุณยังไม่มาอีก เรื่องของพวกเราก็จะล้มเลิกให้หมด” ฉินเฮ่าเมื่อเห็นจ่านป๋ายก็พูดขึ้นมา พร้อมถอนหายใจยกใหญ่
จ่านป๋ายเดินเข้ามาพร้อมกับซีเหมินจินเหลียน ที่นี่น่าจะเป็นห้องพักผ่อนระดับวีไอพี ฉินเฮ่านั่งพิงโซฟาอยู่คนเดียว เมื่อเห็นทั้งคู่ได้แต่ถอนหายใจ จากนั้นรีบกำชับกับพนักงาน “เตรียมของกินมาหน่อย บอกฉินซินว่า สี่ทุ่มครึ่งค่อยเริ่ม!”
พนักงานต้อนรับรับทราบแล้วเดินออกไปพลางปิดประตูอย่างสนิท จ่านป๋ายหยิบกล้วยบนโต๊ะขึ้นมาลูกหนึ่งแล้วส่งให้ซีเหมินจินเหลียน พร้อมคุยกับฉินเฮ่าว่า “พวกเรายังไม่ได้กินข้าว ก็รีบมาที่นี่เลย…”