สาวน้อยวิ่งไปกอดแขนแม่ด้วยความหวาดกลัว และผู้เป็นแม่ก็คว้ามือสาวน้อยมาจับไว้แน่นทันที
แม่ลูกคู่นี้คือคนที่ลั่วชิวเคยเจอบนขบวนรถไฟที่มุ่งหน้าไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
พวกเขาเป็นครอบครัวที่เล่านิทาน…แต่ตอนนี้ชายหัวหน้าครอบครัวนี้หายตัวไปแล้ว
ตกดึก ลมข้างนอกค่อนข้างแรง และน้ำในทะเลสาบก็เย็นกว่าปกติอยู่บ้าง แต่แสงไฟจากบ้านพักตากอากาศ รวมทั้งโซฟานุ่มๆ ในตัวบ้านกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นกับผู้เป็นแม่คนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
เธอแปลกใจที่ได้เจอชายหนุ่มบนขบวนรถไฟคนนั้นอีกครั้งที่นี่ แต่การหายตัวไปของสามีก็กลบความแปลกใจและดีใจอย่างที่สุดนี้ไว้ทั้งหมด
“พวกเราตั้งใจจะใช้ทางเขาฝั่งนี้ข้ามไป ก็จะถึงบ้านเก่าของสามีฉันพอดี ระหว่างทางเขาคิดจะลงรถไปแวะทำธุระส่วนตัวสักหน่อย แล้วให้พวกเรารออยู่บนรถ…แต่ครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไม่กลับมา ฉันได้แต่ลงจากรถไปตามหาเขา แต่ว่า…”
แม่ของสาวน้อยปิดหน้าตนเองด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ร้องไห้สะอึกสะอื้น “แต่เจอแค่โทรศัพท์ที่เขาทำตกบนพื้น”
“แจ้งตำรวจหรือยังครับ?” ในบรรดาคนหนุ่มสาว ไรอันเป็นคนแรกที่เอ่ยปากถามหลังจากฟังจบ
ผู้เป็นแม่ของเด็กหญิงส่ายหน้า ก่อนล้วงมือถือออกมาพร้อมพูดว่า “ไม่รู้ว่าทำไม หน้าจอถึงแสดงผลอยู่นอกพื้นที่สัญญาณตลอด…ฉันพาลูกมาด้วย ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ก็เลยได้แต่มาขอความช่วยเหลือค่ะ”
พวกคนหนุ่มสาวต่างมองหน้ากัน แล้วเอลลีก็ล้วงโทรศัพท์ออกมา พูดอย่างงงงันว่า “ของฉันก็ไม่มีสัญญาณเหมือนกัน”
“ของฉันก็เหมือนกัน” กลอเรียก็ก้มหน้าดูโทรศัพท์ของตัวเอง
“ของผมก็เหมือนกัน”
“ของผมก็…”
ลั่วชิวเห็นพวกไรอันสี่คนมองมาทางตนเป็นตาเดียว จึงล้วงโทรศัพท์ตัวเองออกมา ก่อนส่ายหัวแล้วบอกว่า “ผมคิดว่าของผมก็เป็นเหมือนกัน”
“ที่นี่ไม่อยู่ในพื้นที่บริการเหรอ?” ไรอันพูดอย่างงงงัน “แต่เมื่อกี้ก่อนเข้ามาในนี้ เครือข่ายก็ยังใช้ได้อยู่เลย ใช้ไม่ได้ตั้งแต่เมื่อไร…”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถกปัญหาเรื่องสัญญาณนะ แต่เราควรคุยกันว่าจะช่วยผู้หญิงคนนี้ยังไงดี” จู่ๆ เอลลีก็กัดนิ้วหัวแม่โป้งตนเองแล้วพูดว่า “จริงสิ คุณลั่วชิวคะ ที่นี่ยังมีเครื่องมือสื่อสารอื่นๆ อีกหรือเปล่าคะ? ฉันหมายถึงโทรศัพท์บ้านน่ะค่ะ”
“ต้องขออภัยด้วย ไม่มีหรอกครับ”
ทันใดนั้นลั่วชิวก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ดูสถานการณ์แล้วคงได้แต่รอให้มีสัญญาณ หรือรอให้ฟ้าสางในวันพรุ่งนี้ ถ้ายังไม่มีสัญญาณก็ค่อยออกไปหาตำรวจมาช่วยเหลือกัน แน่นอนว่าหากไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับคุณผู้ชายที่หายตัวไป แล้วเขาสามารถหาที่นี่เจอได้ด้วยตนเอง นั่นก็ถือว่าดีที่สุดเลยครับ”
“พวกเรามีคนเยอะขนาดนี้ ตอนนี้ก็น่าจะออกไปช่วยกันหาได้ไม่ใช่เหรอ…” จู่ๆ ไรอันก็มีท่าทางกระตือรือร้น แต่พอเห็นสายตาของเลห์แมนเพื่อนสนิท เขาจึงลดเสียงลงพูดว่า “ฉันก็แค่เสนอความเห็นบ้างเท่านั้นเอง”
สำหรับแม่ของเด็กหญิงแล้ว บางทีเธอคงอยากได้ความช่วยเหลือโดยเร่งด่วน เธอจึงใช้สายตาอ้อนวอนมองทุกคน
กลอเรียมองความมืดมิดยามค่ำคืนด้านนอกห้องรับแขกโดยทันที แล้วยกมือมาลูบแขนของตัวเอง พลางพูดอย่างลังเลว่า “แถวนี้ไม่มีบ้านพักอื่นแล้วจริงๆ เหรอคะ?”
แม่ของเด็กน้อยแววตาเศร้าหมองไปทันที…คิดแล้วก็จริง บางทีอาจจะเจออันตรายก็ได้ นับประสาอะไรกับสถานการณ์ที่มีคนหายตัวไปแบบนี้
เธอรู้ว่าไม่สามารถฝืนใจใครได้
“คุณนายแม็กกี้ ไม่ทราบว่าคุณยังจำจุดที่สามีคุณหายตัวไปได้ไหมครับ?” ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดดังมาจากโต๊ะอาหารด้านหลัง
อเล็กซ์
“ฉันจำได้ค่ะ!”
อเล็กซ์ใช้ผ้าเช็ดปากบนโต๊ะอาหารเช็ดปากตัวเอง หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ถ้าไม่รังเกียจ ผมลองกลับไปหาจุดเดิมเป็นเพื่อนคุณก็ได้นะครับ”
“ผม ผมก็ไปช่วยได้เหมือนกันครับ” ไรอันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง เขาพูดพร้อมค่อยๆ ชูมือของตัวเองขึ้น
เหมือนจะเรียกความกล้าให้ได้มากพอ
ในระหว่างที่ยังคลุมเครืออยู่นั้น สายตาของเอลลีดูเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย เห็นไรอันเอ่ยปากไปแล้ว เลห์แมนก็ขมวดคิ้วลุกขึ้นเสนอตัวเองทันที “ถ้างั้น ผมก็ไปเป็นเพื่อนคุณด้วยแล้วกัน มีเพิ่มมาอีกคนดีกว่าขาดไปหนึ่งคน แต่กลอเรียกับเอลลีรออยู่ที่นี่โอเคไหม?”
ดูเหมือนว่าจะตกลงกันแบบนี้
คุณแม็กกี้ผู้เป็นแม่ของเด็กน้อยกลับไปยังจุดที่สามีเธอหายตัวไปอีกครั้ง พร้อมกับอเล็กซ์ เลห์แมน และไรอันสามคน
แม้ว่าจะรู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่แม็กกี้ก็เลือกฝากลูกสาวของตนไว้ที่นี่…บางทีอาจเพราะเคยเจอชายหนุ่มคนนี้บนขบวนรถไฟมาแล้วครั้งหนึ่ง หรือต้องการที่ที่ปลอดภัยให้ลูกสาวมากกว่า
ตอนที่คุณนายแม็กกี้กำลังตัดสินใจทำแบบนี้ ในที่สุดก็เหมือนได้ตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ไปแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น หวังว่าเทพธิดาแห่งความโชคดีจะอวยพรให้พวกเราโชคดีในการเดินทางครั้งนี้”
อเล็กซ์ยิ้มพูดอยู่หน้าประตู ก่อนขึ้นรถเก๋งคันที่คุณนายแม็กกี้ขับกลับมา
เอลลีกุมมือของเด็กสาวไว้แน่น เธอมองตามรถที่แม่ขับออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์ จนกระทั่งลับสายตาไปถึงได้หันกลับมา แล้วโผเข้าหาพี่สาวคนนี้
หลังจากเอลลีพูดปลอบใจแล้ว ก็พาเด็กน้อยเข้าบ้านไป แล้วก็เห็นกลอเรียเอาแต่เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องรับแขก เหมือนเธอจะเริ่มเป็นห่วงขึ้นมาแล้ว
เอลลีอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง
แล้วเธอก็มองไปทางชายหนุ่มเจ้าของบ้านพักหลังนี้ทันที แล้วก็เห็นว่าเขากำลังอ่านหนังสือเก่าๆ เล่มหนึ่งอยู่ น่าจะเป็นหนังสือจากบนชั้นหนังสือตรงผนังห้องรับแขกล่ะมั้ง
ท่าทางเขาดูไม่กังวลเลยสักนิด…หมอนี่ใจเย็นเกินไปแล้ว เอลลีก็เริ่มคิดได้
หลังจากผ่านไปไม่รู้นานแค่ไหนแล้ว คุณสาวใช้ก็ยกแก้วชาเดินเข้ามาในห้องรับแขก แล้วย่อตัวลงยกแก้วชามาวางบนโต๊ะ พร้อมพูดเบาๆ ว่า “ดื่มชาดอกไม้สักหน่อยนะคะ นี่เป็นชาดอกกระเจี๊ยบ ช่วยให้ผ่อนคลายและสดชื่นค่ะ”
โยวเย่ส่งแก้วชาไปตรงหน้าทุกคนทีละแก้ว
เอลลีพูดขอบคุณเธอ
ส่วนกลอเรียเริ่มเดินวนไปวนมาอยู่ตลอด ตอนนี้ถึงแม้จะรับแก้วชามาแล้ว ก็แค่ถือไว้ในมือ ดื่มไปด้วยเดินวนไปด้วย เหมือนมีเรื่องบางอย่างกวนใจเธอ คิดเสียจนตกอยู่ในภวังค์
“ไหนดูสิ หนูชื่ออะไรจ๊ะ?”
คุณสาวใช้เดินมาอยู่ตรงหน้าเด็กหญิง
“ลีน่าค่ะ!”
“ลีน่าเป็นเด็กดีนะ” คุณสาวใช้ลูบผมเด็กน้อย “หนูกลัวไหม?”
ลีน่าพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามทันที “พี่คะ พ่อของหนูจะเป็นอะไรไหมคะ?”
“ไม่รู้สิจ๊ะ” โยวเย่ตอบเบาๆ “แต่คนที่ไม่เป็นอะไร ย่อมไม่เป็นอะไร ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ต่อให้ห่วงมากกว่านี้ก็ยังเกิดเรื่องขึ้นอยู่ดี เธออยากให้เกิดเรื่อง หรือว่าไม่อยากล่ะ?”
เด็กน้อยอึ้งไป เธอเอียงศีรษะ…มันยากที่เธอจะเข้าใจคำพูดของพี่สาวคนสวยคนนี้ เด็กน้อยลีน่าก้มหน้าดื่มชา แล้วก็มองดูรอบๆ อย่างประหลาดใจ
“พี่สาวคนนี้แปลกจังเลยค่ะ”
จู่ๆ ลีน่าก็กระซิบข้างหูโยวเย่ แน่นอนว่าเธอพูดถึงกลอเรีย
“แปลกตรงไหนเหรอ?” โยวเย่ถามด้วยความอยากรู้
ลีน่าตอบทันที “หนึ่ง สอง สาม หนึ่ง สอง สาม เห็นไหมคะ พี่สาวเดินสามก้าวก็หมุนตัวกลับ แล้วก็เดินสามก้าวแล้วก็หมุนตัวกลับ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
“จริงเหรอเนี่ย” คุณสาวใช้อมยิ้มน้อยๆ
เธอลุกขึ้นยืน แล้วสุดท้ายก็ลูบศีรษะลีน่าอีกครั้ง ก่อนเดินมานั่งลงข้างๆ ลั่วชิว
แล้วเธอก็นั่งเงียบๆ อยู่แบบนี้ ไม่มีเสียงและการขยับใดๆ อีกเลย
เอลลีมองอย่างใคร่รู้แวบหนึ่ง…ก็รู้สึกเหมือนกำลังมองหุ่นกระบอก
…
ติ๊กต็อก ติ๊กต็อก เสียงนาฬิกาในห้องรับแขกเดินไปเรื่อยๆ
เหมือนจะคล้ายจังหวะเสียงการเต้นของหัวใจ เข็มนาฬิกาที่ขยับแต่ละครั้งคล้ายดังเข้าไปถึงใจคน
กลอเรียไม่รู้ว่านั่งลงไปตั้งแต่เมื่อไร บางทีคงเดินจนเหนื่อยแล้ว จึงก้มหน้าดูโทรศัพท์ แล้วก็มองเอลลีอีก ดูเหมือนว่าเธออยากจะหาเรื่องคุยสักหน่อย แต่อ้าปากหลายครั้ง จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พูดออกมาแม้แต่คำเดียว
สายตาของเด็กน้อยลีน่ากลับมามองที่ห้องรับแขก…ถึงเวลานอนของเธอตั้งนานแล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องที่เจอมาทั้งหมด ได้รบกวนเวลาพักผ่อนตามปกติของเธอ
ลีน่าสวมชุดเดรสลายดอกเล็กๆ ถุงเท้าสีขาวและรองเท้าสีแดง ตอนนี้เธอค่อยๆ ไถตัวลงจากโซฟา
แล้วเธอก็เห็นกระเป๋าหนังสี่เหลี่ยมใบใหญ่หนึ่งใบ มันวางอยู่ตรงมุมที่เชื่อมต่อห้องรับแขกกับห้องอาหาร
ลีน่าจึงเดินดุ่มๆ ไปทางกระเป๋าใบนั้นอย่างเผลอไผล
ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ
เธอยื่นมือออกมาจะไปลูบกระเป๋าเล็กๆ ใบนี้
ใกล้แล้ว
ป้าบ!
ทันใดนั้นเอง ลีน่าก็ได้ยินเสียงดังขึ้น เธอตกใจจนตัวสะดุ้งโหยงทันที แล้วรีบหันไปมอง
เสียงปิดหนังสือในมือของพี่ชายคนนั้นดังขึ้นกะทันหัน แล้วพี่ชายก็หันมาพูดกับเธอเบาๆ ว่า “แตะต้องของของคนอื่นตามใจชอบ ไม่ใช่สิ่งที่เด็กดีเขาทำกันนะ”
ลีน่าแลบลิ้น แล้วรีบเอามือสองข้างไพล่หลังอย่างรวดเร็ว
ลั่วชิวยิ้มน้อยๆ ก่อนหยิบลูกอมเม็ดหนึ่งจากกล่องขนมบนโต๊ะชาข้างๆ ตัวไปให้ “กินไหม?”
ลีน่าพยักหน้าแล้วรีบเดินไปหาเจ้าของร้านลั่ว
ทันใดนั้นเอง กระเป๋าด้านหลังเธอก็…เริ่มขยับเล็กน้อย