หอหลงเฟิ่ง

เทือกเขาหลงเฟิ่ง

นับตั้งแต่การมีอยู่ของภูมิภาคทางเหนือ ดินแดนแห่งนี้ก็เป็นดินแดนโบราณที่มีชื่อเสียงอย่างมากของภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะเมื่อเขตหลงเฟิ่งถูกค้นพบ ผืนดินกว้างใหญ่แห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่ยอดนิยมมากที่สุดไปเลย

ในตอนนี้เขตหลงเฟิ่งก็กำลังเปิด จำนวนผู้คนที่มีจึงมาถึงจุดสูงสุดจนน่ากลัว มีเสียงเหาะแหวกอากาศไม่สิ้นสุดบนท้องฟ้าภายในรัศมีหลายแสนลี้ เงาร่างพุ่งผ่านขอบฟ้าจากทุกทิศทางราวกับฝูงตั๊กแตนมุ่งเข้าสู่เทือกเขาหลงเฟิ่ง

ชื่อของเขตหลงเฟิ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างมากในภูมิภาคทางเหนือ ใครก็ตามที่ถือว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่จะไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไปโดยง่าย แน่นอนว่าจุดสำคัญก็คือความน่าดึงดูดในของเขตหลงเฟิ่งเอง

เมื่อมู่เฉินกับไฉ่เซียวมาถึงเขตหลงเฟิ่ง ก็ทันเวลาที่ได้เห็นภาพยิ่งใหญ่ตระการตาของฝูงคนที่ดูราวฝูงตั๊กแตน จำนวนน่าตกใจทำให้แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย

คนเหล่านี้ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา พวกเขามาจากขั้วอำนาจหลากหลายและแน่นอนว่าเป็นยอดฝีมือในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของขั้วอำนาจที่พวกเขาสังกัด แต่เมื่อมาถึงที่นี่ ไม่ว่าจะเจิดจรัสแค่ไหน พวกเขาต่างก็ถูกบดบังไว้ด้วยจำนวนคนที่มากมายขนาดนี้

มู่เฉินอุทานอย่างตกใจ เขาเคยได้พบกับจอมยุทธ์อัจฉริยะรุ่นใหม่บางคนจากทวีปเป่ยชาง แต่ไม่ว่าจะด้วยปริมาณหรือคุณภาพ ก็ช่างห่างไกลเมื่อเทียบกับทวีปเทียนหลัวภูมิภาคทางเหนือ

สถานที่แห่งนี้คือการรวมตัวของวีรบุรุษแห่งมหาพันภพแท้จริง

หลังจากมาถึงที่นี่ มู่เฉินก็เข้าใจว่าภูมิภาคทางเหนือกว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน กระทั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ยังเป็นแค่มุมเล็กๆ นอกจากนี้ภูมิภาคทางเหนือยังเป็นส่วนหนึ่งของทวีปเทียนหลัวเท่านั้น ทวีปนี้สมกับเป็นมหาทวีปจริงๆ

“มุ่งหน้าไปที่เมืองหลงเฟิ่งกันก่อนเถอะ ที่นั่นเป็นที่ที่ใกล้ที่สุดของทางเข้าเขตหลงเฟิ่งน่ะ” มู่เฉินชี้ไปที่ส่วนลึกของเทือกเขาหลงเฟิ่ง ในสถานที่ห่างไกลเขาสามารถมองเห็นโครงร่างน่าอัศจรรย์ของเมืองยิ่งใหญ่ได้อย่างเลือนราง

ไฉ่เซียวมองไปรอบๆ อย่างสนใจ ก่อนที่จะพยักหน้า

เมื่อเห็นท่าทางเห็นด้วยนั่น มู่เฉินก็ออกตัวเป็นคนแรก ราวสิบนาทีต่อมาเขาก็ชะลอความเร็วลงมองตรงไป ความตะลึงใจเล็กน้อยตีกวน ที่เบื้องหน้าเขาเห็นภูเขาสูงตระหง่านจำนวนมากที่ดูเหมือนจะถูกบีบอัดเข้ากันอย่างรุนแรงด้วยแรงอันทรงพลัง สามารถมองเห็นรอยมือขนาดยักษ์บนภูเขาเหล่านั้น

บนยอดเขาเหล่านั้นเป็นเมืองโบราณตั้งอยู่จนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด เมืองนี้เต็มไปด้วยร่องรอยการถูกทิ้งร้างไปตามกาลเวลา กำจายรัศมีโบราณและอ้างว้างออกมาปกคลุมทั่วบริเวณ

ชายขอบของเมืองมีเจดีย์หินจำนวนมากที่มีความสูงประมาณหมื่นจั้ง สะเก็ดความผันผวนของคลื่นหลิงที่หลงเหลือบางจางยังสามารถสัมผัสได้จากเจดีย์เหล่านั้น ความผันผวนนั้นมู่เฉินคุ้นเคยดี เพราะนั่นคือคลื่นพลังงานของค่ายกล

ในสมัยโบราณที่นี่จะต้องมีค่ายกลทรงพลังชวนตะลึงแน่นอน แต่เมื่อเวลาผ่านไปค่ายกลทรงพลังที่เคยเย้ยฟ้าก็ลบหายไปตามเวลา

กลิ่นอายเกรียงไกรของเมืองทำให้ผู้คนรู้สึกทึ่ง แม้แต่บนท้องฟ้ายังมีร่างแสงเหาะทะยานเข้าไปในเมืองโบราณอยู่เรื่อยๆ ราวกับฝูงตั๊กแตน ทว่าเมืองก็ไม่ได้แออัดอะไร

มู่เฉินกับไฉ่เซียวเข้าไปในเมืองก่อนจะพลิ้วลงบนถนนหินปูนโบราณที่เต็มไปด้วยผู้คน ทันทีที่ทั้งสองปรากฏตัว สายตาร้อนแรงนับไม่ถ้วนก็พุ่งมาจากรอบด้าน

แน่นอนว่าเป้าหมายของสายตาเหล่านั้นก็คือไฉ่เซียวที่มากับมู่เฉิน

ไฉ่เซียวคุ้นเคยกับสายตาแบบนี้อยู่แล้ว นางจึงไม่ใส่ใจ ทว่ามู่เฉินกลับมีท่าทางจนปัญญา เพราะเมื่อสายตาเหล่านั้นมองไฉ่เซียวก็สาดใส่เขาด้วย อย่างที่คิดไว้ความเป็นศัตรูในดวงตาของพวกเขาเปล่งออกมาอย่างไม่อาจปกปิด

“ต้นตอหายนะ”

มู่เฉินทำได้แต่ทอดถอนหายใจ

ไฉ่เซียวถลึงตามองมู่เฉิน ร่องรอยทรงเสน่ห์ทำให้แม้แต่มู่เฉินยังใจกระตุก ไม่ต้องพูดถึงสายตาที่มาจากรอบด้านซึ่งดูเหม่อลอยไปเลยทีเดียว

ดังนั้นก่อนที่สายตาเหล่านั้นจะทวีความร้อนแรงขึ้น มู่เฉินก็หนีบไฉ่เซียวรีบออกไป

แม้การมีไฉ่เซียวอยู่ด้วยจะกลายเป็นจุดสนใจมากเกินไป แต่ก็เป็นเรื่องง่ายที่พวกเขาจะได้ข้อมูลจากรอบตัวนาง นางทำเพียงถามคนส่งๆ ด้วยรอยยิ้ม จากนั้นอีกฝ่ายหนึ่งก็จะพรั่งพรูข้อมูลที่รู้ออกมาไม่หยุดราวกับตกอยู่ในมนตร์สะกด

“ไปดูที่หอหลงเฟิ่งกันเถอะ”

เมื่อเห็นคนโชคร้ายอีกคนที่ตกอยู่ในมนตร์สะกดของไฉ่เซียว เขาก็มองไปทางทิศเหนือ จากข้อมูลที่ไฉ่เซียวได้มาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะมีหอหลงเฟิ่งอยู่ในเมืองโบราณแห่งนี้

ข้อมูลล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับเขตหลงเฟิ่งล้วนมาจากที่นั่น

ทั้งสองคนเดินไปในเมืองโบราณที่คึกคักก่อนที่จะหยุดก้าวเดินที่ด้านเหนือของเมืองโบราณ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นหอสีเหลืองตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าสายตา

หอนี้มีโครงสร้างเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งถูกตกแต่งด้วยภาพมังกรและหงส์ฟ้า รัศมีกดขี่แท้จริงที่มีจากมังกรและหงส์ฟ้าแผ่ออกมาเบาบาง แม้แต่ในตอนนี้ยังมีผู้คนจำนวนมากเหาะตรงมายังสถานที่แห่งนี้

จากประสาทสัมผัสที่มี มู่เฉินรู้สึกได้ว่าถึงคนที่มาทางนี้แข็งแกร่งกว่าคนอื่นในเมืองโบราณแห่งนี้ เห็นได้ว่าจอมยุทธ์ส่วนใหญ่ที่มีสิทธิ์มาที่นี่เป็นหัวกะทิในจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ ส่วนคนที่ไม่เข้มแข็งพอก็ไม่กล้าย่างกรายมาเพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความอับอายให้กับตัวเอง

แต่มู่เฉินไม่หยุดฝีเท้าเนื่องจากเหตุผลแค่นี้ เขามองหอหลงเฟิ่งนิ่งมุ่งหน้าตรงเข้าไป

เมื่อเข้ามาแล้ว ทิวทัศน์ก็ขยายกว้างขึ้นพร้อมกับเสียงเซ็งแซ่ลอยเข้ามาในโสตประสาท เมื่อยกสายตาขึ้นมอง ก็เห็นชั้นลดหลั่นจัดว่างไม่สม่ำเสมอ ทุกชั้นเต็มไปด้วยจอมยุทธ์ที่เปี่ยมล้นด้วยคลื่นหลิงทรงพลัง สำหรับชั้นสูงขึ้นไปก็ยิ่งมีแรงกดดันคลื่นหลิงน่ากลัวแผ่ออกมา

เมื่อมู่เฉินกับไฉ่เซียวเข้าไปในหอหลงเฟิ่ง เสียงเซ็งแซ่ที่อยู่ตามชั้นต่างๆ ก็เบาบางลง สายตาตกตะลึงจำนวนมากพุ่งตรงมาที่ไฉ่เซียวข้างกายมู่เฉิน

มู่เฉินคงสีหน้าสงบนิ่ง มองหามุมนั่งลงกับไฉ่เซียวอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลที่พวกเขาได้มาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะมีใครบางคนกระจายข้อมูลในหอหลงเฟิ่งนี้และสิ่งที่พวกเขาต้องทำทั้งหมดก็คือรอ

ตอนแรกมู่เฉินต้องการแค่หาข้อมูลแบบเงียบๆ แต่เมื่อมีดาวฤกษ์อย่างไฉ่เซียวส่องทาง เขาก็รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกลายเป็นเป้าความสนใจจากเหล่าจอมยุทธ์แล้ว บางทีอาจมีคนเริ่มสืบค้นหาตัวตนของเขาแล้วก็ได้

และเป็นอย่างที่มู่เฉินคาดไว้ สายตาคุ้นเคยคู่หนึ่งพุ่งลงมาจากชั้นบนพร้อมกับไอเย็นเยือกทันทีที่เขาก้าวย่างเข้ามาในหอหลงเฟิ่งนี้

หลิ่วเหยียนนั่งที่ชั้นบนมองมู่เฉินด้วยสายตานิ่งสงบ ก่อนจะกวาดสายตาไปที่ไฉ่เซียวที่ด้านข้าง

บริเวณที่หลิ่วเหยียนอยู่รายล้อมไปด้วยคนจำนวนมากราวกับวงกลมขนาดใหญ่ ทุกคนในส่วนนี้ต่างไม่ใช่จอมยุทธ์ไร้ชื่อของภูมิภาคทางเหนือ แต่ละคนชื่อเสียงขจรขจายเลยทีเดียว

แต่ตอนนี้วงล้อมได้ล้อมรอบร่างคนสองคน คนหนึ่งก็คือหลิ่วเหยียน ทว่าเขายังไม่ใช่จอมยุทธ์เป็นจุดสนใจที่สุด เนื่องจากด้านข้างเขาเป็นร่างระหงงดงามที่ดึงดูดสายตาร้อนแรงนับไม่ถ้วนในหอหลงเฟิ่ง

หญิงสาวผู้นี้สวมชุดกระโปรงยาวสีแดงเพลิง ผิวนางขาวราวกับหิมะ ภายใต้ชุดคือส่วนโค้งเว้าสมบูรณ์ที่ทำให้เลือดในกายเหล่าชายหนุ่มเดือนพล่าน

นางมีดวงหน้าสะคราญโฉม เรียวคิ้วกับดวงตารียาวฉ่ำน้ำอัดแน่นด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหล แค่การกะพริบตาก็ทำให้หัวใจของผู้คนเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว โดยรอบนั้นไม่รู้ว่ามีจอมยุทธ์กี่คนที่ดูเหมือนสุภาพบุรุษภายนอกแต่ในดวงตากลับร้อนรุ่มด้วยเพลิงปรารถนาา สายตาของพวกเขาราวกับอยากจะกลืนกินนางลงท้อง

ปีศาจสาวคนนี้ทำให้ผู้อื่นไม่อาจหยุดความปรารถนาที่จะได้ครอบครองนาง

“โฮ่ๆ เป็นสาวน้อยที่เลอโฉมยิ่งนัก”

สตรีชุดแดงสังเกตเห็นไฉ่เซียวที่โดดเด่นยิ่งนัก ก่อนจะเหลือบมองมู่เฉินที่ดูไม่คุ้นตาที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นก็ป้องปากหัวเราะด้วยจริตจะก้าน “แต่น้องชายคนนั้นไม่ค่อยคุ้นตาเลยแฮะ เมื่อไรกันที่ภูมิภาคทางเหนือมีผู้เปี่ยมพรสวรรค์โดดเด่นเช่นนี้อยู่โดยที่ข้าไม่ทันสังเกต?”

“มันเป็นแม่ทัพคนใหม่ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ฝีมือใช้ได้ แม้แต่หลิ่วหมิงก็สูญสิ้นวรยุทธเพราะมัน”

หลิ่วเหยียนหัวเราะเบาๆ “ตอนแรกข้ายังตั้งใจเตือนมันว่าอย่าเข้าร่วมศึกมังกรหงส์ แต่ดูเหมือนมันไม่ได้เก็บคำเตือนของข้าไปใส่ใจเลยสักนิด”

เมื่อคนรอบด้านที่มีชื่อเสียงได้ยินคำพูดของหลิ่วเหยียน พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์อิหลักอิเหลื่อระหว่างทั้งสอง หลายคนที่มีความสัมพันธ์ที่อันดีกับหลิ่วเหยียนก็กระตุกยิ้มขณะมองลงไปที่มู่เฉินด้วยแววเยาะเย้ย

“จอมยุทธ์ชั้นสูงจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์นี่เอง” หญิงสาวชุดแดงยิ้ม จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉิน “ดูเหมือนอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะมีจอมยุทธ์ใหม่ที่ทรงพลังไม่น้อยในครั้งนี้แล้ว”

“ฮ่าๆ แม้อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเป็นขั้วอำนาจชั้นยอดในภูมิภาคทางเหนือ แต่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่พวกเขาดูแลไม่สมกับคำยกย่องเลย ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้พวกเขาไม่ได้เข้ามายุ่งกับศึกมังกรหงส์แล้วทำไมครั้งนี้ถึงมาซะกะทันหันล่ะ? หรือเป็นเพราะยังไม่อับอายมากพอ?” จอมยุทธ์คนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีกับหลิ่วเหยียนยิ้ม ในน้ำเสียงอัดแน่นด้วยความก้าวร้าว

เขาไม่คิดจะปกปิดเสียง ตรงข้ามกลับอัดคลื่นหลิงไปอย่างจงใจแล้วส่งไปทั่ว ทันใดนั้นก็ทำให้หอหลงเฟิ่งเงียบลงไปหลายส่วน ผู้ชมจำนวนมากมองไปที่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องชั้นล่าง

ร่างนั้นชะงักไปเล็กน้อยแต่ไม่ได้โกรธเกรี้ยวอะไร ใบหน้าหล่อเหลาค่อนข้างสงบลงในตอนนี้

หลิ่วเหยียนเล่นถ้วยชาไม่มองไปที่มู่เฉินเลย เขาเพียงแค่เผยรอยยิ้มบางก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ให้กับคนที่พูดออกไป

พอเห็นการส่งสัญญาณ จอมยุทธ์ผู้นั้นก็แสยะยิ้มตบเท้า ร่างพุ่งออกไป เขาดูราวกับหอคอยทิ้งตัวลงเบื้องหน้ามู่เฉิน เหยียดมือคว้าไหล่ของมู่เฉินไว้

“พี่หลิ่วเหยียนอยากเชิญเจ้าไปนั่งด้วย ไอ้หนูตามข้ามา”

มือของเขาตะปบลงที่ไหล่มู่เฉิน ทว่าร่างมู่เฉินราวกับศิลาไม่ขยับเขยี้อนเลยสักกระผีก

ร่างมู่เฉินนิ่งไม่ขยับ แต่เสียงสงบพร้อมไอเย็นเยือกกลับดังก้องไปทั่วหอหลงเฟิ่ง

“ถ้าแกอยากลงมือก็มาเอง อย่าโยนสวะมาส่งๆ ไม่กลัวว่าจะดึงให้ชื่อเสียงประมุขน้อยแห่งตำหนักสุดนภาต่ำตมลงเรอะ?”