บทที่ 556 เป้าหมาย
ลูเซียนไม่สนว่าพวกเขาตั้งใจจะลดความระแวดระวังตัวของเขาหรือถูกข่าวกรองปลอมหลอกกันแน่ เขาเพียงร่าย ‘เวทแปลงกายเปเลอร์’ แล้วกล้ามเนื้อของเขาก็เริ่มพองขยาย ก่อนที่ร่างกายเขาจะถูกแสงจันทร์พร่าเลือนปกคลุม ยิ่งขับเน้นประกายวิบวับบนมือซ้ายที่ออกเป็นสีเทาเงิน

ก่อนที่ทั้งสองจะหายตัวไป พวกเขาเป็นเพียงผู้พิทักษ์ราตรีระดับบิชอปและอัศวิน ไม่ว่าจะในกรณีใด ทั้งคู่ไม่อาจทานทนการมาถึงของทูตสวรรค์ชั้นสูงสุดผู้ที่พลังมหาศาลสามารถฉีกกระชากพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ ได้ ดังนั้น เหล่าทูตสวรรค์ที่พวกเขายืมพลังมานั้นน่าจะอยู่ในระดับกลาง ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้จากจำนวนปีกด้านหลังพวกเขา เพราะฉะนั้น พลังของทั้งสองในยามนี้จึงอยู่ที่ระดับสูงเป็นอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะได้รับพลังเสริมจากบาเรียร์ของ ‘วิมานบนดิน’ พลังของพวกเขาย่อมไม่ถึงระดับเก้า

ลูเซียนกลายเป็นแสงจันทร์พร่าเลือนขณะพุ่งตัวเข้าหาคนทั้งสองด้วยรูปลักษณ์ของเงาจำนวนนับไม่ถ้วน เขารวดเร็วมากเสียจนทั้งสองไม่อาจบอกได้ว่าร่างเงาไหนคือตัวจริง

ปีกบนแผ่นหลังมินสค์เปล่งประกายขึ้น แล้วร่างของเขาก็ถูกห่อหุ้มด้วยเกล็ดสีแดงโลหิต ดวงตาทั้งสองข้างของเขาแผ่รัศมีสีทอง ปลดปล่อยจิตสังหารของสัตว์อสูรชั้นสูง เขาพ่นลำแสงสีแดงหนาออกมาซึ่งสามารถกลืนกินร่างเงาทั้งหมดได้ อุณหภูมิร้อนสูงถึงกับทำให้แสงศักดิ์สิทธิ์บิดเบี้ยวไปเล็กน้อย

จากร่างของจูเลียนา ดาบยาวสีเงินประดับเนตรศักดิ์สิทธิ์หลายเล่มพลันกระเด้งออกมา

พวกมันลอยวนรอบกายจูเลียนา คุ้มกันนางที่อยู่ตรงกลาง ไม่ว่าอะไรก็ตามที่พยายามผ่านพวกมันเข้าไปจะถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที

มันคือ ‘ปราการคมดาบ’ เวทป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดยามต่อกรกับอัศวินที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ระดับหก แสงจันทร์เลือนลางถูกพวกมันตัดเฉือนเป็นชิ้นๆ

ในตอนนั้นเอง ปีกทูตสวรรค์ของจูเลียนาก็กางออกโดยที่นางไม่ได้ควบคุม และอัญเชิญเสาแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ให้ฟาดลงใส่ร่างเงาหนึ่งในนั้น

จูเลียนาเบิกตาโพลงในทันใดเมื่อพบว่าลูเซียนยกมือซ้ายขึ้นมาต้านทานลำแสงที่หนากว่าร่างของเขา แต่ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือการที่เสาแห่งแสงแตกกระจายและละลายหายไปกับ ‘วิมานบนดิน’ รอบๆ นั้น

‘มือซ้ายของเขามันอะไรกัน’

ยังไม่ทันที่ความคิดตกตะลึงนั้นจะผุดขึ้นในหัวจูเลียนาได้ครบประโยค นางก็เห็นลูเซียนใช้หมัดซ้ายต่อยปราการดาบอย่างจัง

ดาบยาวสีเงินทั้งหลายหมุนวนและตัดเฉือนทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พวกมันกลับพังทลายลงทันทีที่โดนมือซ้ายของลูเซียนแตะต้อง

เมื่อไร้ซึ่งสิ่งกีดขวางใดอีก หมัดซ้ายข้างนั้นจึงต่อยโดนใบหน้าจูเลียนาอย่างจังในขณะที่นางไม่มีเวลาพอจะร่ายเวทศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ

เสียงกระดูกแตกหักดังขึ้นสามครา ใบหน้าซีกขวาของจูเลียนาพลันยุบลงไปเป็นหลุมลึก ชิ้นเนื้อสีแดงและขาวสาดกระเซ็นเกลื่อนพื้น เวทป้องกันและเสริมพลังใดๆ ที่นางร่ายให้กับตนเองกลับกลายเป็นสูญเปล่าไปโดยสิ้นเชิง

กลุ่มแสงเจิดจ้าบริสุทธิ์แผ่พุ่งออกจากร่างจูเลียนา พยายามจะหลบหนีไป แต่กลับต้องดับแสงไปเพราะหมัดซ้ายที่ต่อยมาอีกครั้ง

จูเลียนาหงายหลังตึง ในดวงตาเบิกโตเย็นเยียบของนางฉายชัดถึงความกลัว ตื่นตระหนก และเกลียดชังยากเกินจะแก้ไข

เป็นตอนนั้นเองที่ ‘มังกรแดง’ มินสค์เคลื่อนกายเข้าหาลูเซียนจากทางด้านหลัง

เมื่อเห็นสภาพย่ำแย่ของจูเลียนา เขาก็ถูกความเกลียดชังและความกลัวเข้าครอบงำ ในใจนึกลังเลว่าเขาควรจะโจมตีต่อไปหรือหลบหนีไปพร้อมกับ ‘วิมานบนดิน’ ดี

หลังจากลังเลอยู่ครู่สั้นๆ เขาก็เลือกที่จะถอย เขามีโอกาสแก้แค้นเสมอหลังจากราชาทูตสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่กับพระคาร์ดินัลหลวงซาร์ดทำสำเร็จตามแผน มีเพียงการรักษาชีวิตเอาไว้ให้ได้เท่านั้นที่เขาจะสามารถทรมานภรรยา ลูกศิษย์ สหาย และครอบครัวของศาสตราจารย์เพื่อให้เจ้าศาสตราจารย์ร้องขอความตาย!

แต่เมื่อเขาหมุนตัวกลับ ก็สัมผัสได้ถึงมืออันทรงพลังที่กดทับลงบนตัวเขา เขาจึงอ้าปากและพ่นลืมหายใจมังกรออกมาอีกครา

มันเป็นเปลวไฟที่มีอุณหภูมิร้อนสูงจนสามารถเผาผลาญทุกอย่าง แต่มันกลับดับลงราวกับเปลวไฟบนเทียนไขภายในพลังจากมือซ้ายของลูเซียน

มือซ้ายนั้นจับหมับเข้าที่ศีรษะของมินสค์อย่างรวดเร็ว แล้วเกล็ดสีแดงแข็งแกร่งก็ดูราวกับจะได้เผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าหวาดหวั่นที่สุดและหดหายไปเอง

ลูเซียนเพิ่มพละกำลังลงไปโดยไม่ลังเล หลังจากเกิดเสียงดังกร๊อบ ลำคอของมินสค์ก็ถูกบิดจนแยกออกเป็นสองส่วน

ในขณะที่สติกำลังเลือนหายไป มินสค์ก็รู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง

‘มือซ้ายของเขาหาใช่ทำได้เพียงลบล้างคำสาป!’

หลังจากที่แสงสว่างจากร่างมินสค์ถูกทำลายลงเช่นเดียวกัน ลูเซียนก็ค้นตัวทั้งสองคนแต่กลับไม่พบอะไรที่เป็นประโยชน์เลย

‘ภายใต้การเสริมพลังจาก “วิมานบนดิน” ผู้พิทักษ์ราตรีระดับห้าทั้งสองคนจะมีพละกำลังในระดับแปด นั่นน่ากลัวไม่น้อย แต่ว่าถ้าแกนพลังหลักในพระราชวังเนคโซที่ควบคุมปราการคุ้มกันเมืองตกอยู่ในมือเรา อิทธิพลก็น่าจะอ่อนลง’ ลูเซียนสรุปในใจ

พระราชวังเนคซมีสองแกนพลังศักดิ์สิทธิ์ แกนหนึ่งมีไว้สำหรับการป้องกันภายใน เพื่อที่ราชินีจะไม่ถูกผู้มีพลังระดับตำนานสังหารในทันที ส่วนอีกแกนนั้นมีไว้ป้องกันภายนอก ซึ่งควบคุมปราการแห่งพลังศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งเมือง หากว่าแกนพลังภายในคริสตจักรแห่งอาภาไม่ถูกทำลายลง ย่อมมีเพียงแกนพลังหลักนี้ที่จะส่งผลต่อปราการป้องกันได้ มันคือภารกิจของเขาในการเข้าควบคุมแกนพลังหลักพร้อมกับนาตาชาและมอร์ริส

ในตอนที่เขากำลังจะเข้าไปในพระราชวังเนคโซ จู่ๆ ลูเซียนก็หยุดชะงัก ราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง เพราะเขาหยุดใช้เวทมนตร์ เขาจึงค่อยๆ ออกจากอาณาเขตวิมานบนดินและกลับมาสู่นครเรนทาโตที่อยู่คู่ขนานกัน

ภายในคริสตจักรหลวงแห่งบรูว์สตัน นครซัลลีแวร์ เมืองหลวงของอาณาจักรบริแอนน์…

เนื่องจากมีผู้ศรัทธาเพียงสองคนที่เข้ามาสวดภาวนา พระคาร์ดินัลที่ทำหน้าที่เผยแพร่คำสอนจึงไม่มีระเบียบนัก แต่ฉับพลันนั้น เขาก็เห็นสุภาพบุรุษท่านหนึ่งยืนขึ้นและเดินตรงไปทางด้านหลังตัวโบสถ์พร้อมกับข้าวของสีดำ

“เจ้าไปไม่ได้…” พระคาร์นัลพยายามจะหยุดเขา แต่แล้วก็พบว่านิ้วมือของเขาบิดเบี้ยวผิดรูปไป และเครื่องใน กล้ามเนื้อ เส้นเลือด กับสมองของเขาก็ถูกสนามแม่เหล็กรุนแรงสีดำยืดขยายไปคนละทิศทาง

เขาถูกแยกส่วนออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนภายในหนึ่งวินาที ณ บริเวณที่มีแสงวิบวับจากกระแสไฟฟ้า

เพียงก้าวเดียว บรูคก็ก้าวผ่านห้องโถงใหญ่ไป และภาพมายาสะท้อนของ ‘อาณาจักรแม่เหล็กไฟฟ้า’ ก็ปรากฏขึ้นรอบกายเขา ครอบคลุมที่พักของบีเวอร์เอาไว้

บีเวอร์โพล่งออกมาด้วยความตกตะลึง “บรูค?”

เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายอย่างยิ่งที่จักรพรรดิแห่งการควบคุมลอบโจมตีเขา บุรุษผู้นี้มิเกรงกลัวว่าจะเกิดสงครามขึ้นเช่นนั้นหรือ

ภายในพระราชวัง อัศวินร่างท้วมผู้หนึ่งลอยอยู่กลางอากาศและมองไปทางคริสตจักรหลวงแห่งบรูว์สตันไกลออกไป เพียงเพื่อจะพบว่าเหล่าปีศาจเหมือนจะปรากฏกายขึ้นภายในอาคารที่ได้รับการป้องกันจากพลังศักดิ์สิทธิ์ ณ บัดนี้ กระแสไฟฟ้าสีเงินระเบิดโพลงและแผ่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ราวกับว่าฟากฟ้าและผืนดินถูกจับพลิกคว่ำ

“บรูคยังมีเวทมนตร์อื่นๆ อีก บีเวอร์ไม่มีทางเอาตัวรอดได้นานหรอก เราจะไปช่วยเขาหรือไม่ บีเดรนกา” อัศวินร่างกำยำที่ดูเหมือนหมีตัวใหญ่เอ่ยถามขึ้น

บีเดรนกา ‘ค้อนแห่งการลบล้าง’ หัวเราะขัน “หากว่าบรูคไม่จำกัดวงแคบในการแสดงผลของเวทมนตร์ เราคงทำได้เพียงเปิดปราการศักดิ์สิทธิ์ของทั้งเมืองเพื่อป้องกันซัลลีแวร์จากการถูกขุดรากถอนโคน บีเวอร์หาใช่นักบุญด้วยซ้ำ และเขาก็มิได้ตั้งตัว อย่างเขาจะไปรับมือคนผู้นั้นได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าโฮลต์ให้การช่วยเหลือบรูคอยู่ด้วย เราควรเฝ้ารอและดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเรนทาโต ข้าไม่อยากเผชิญหน้ากับบรูค”

“สิ่งต่างๆ ได้เกิดขึ้นแล้ว บีเวอร์ที่น่าสงสาร แม้ว่าเขาจะเปิดใช้วงแหวนเวทเคลื่อนย้าย แต่มันจะไม่มีกำลังเสริมใดๆ หากข้าเป็นเขา ข้าคงเริ่มวิ่งหนีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้วล่ะ” บาเซอร์ ‘อัศวินแห่งความพินาศ’ กล่าวเสียงเย็นเยียบ “ข้าจะไปหยุดยั้งเหล่าขุนนางกับนักบวชคนอื่นๆ ไว้จนกว่าสิ่งที่เฟอร์นันโดพูดถึงจะเริ่มขึ้น หากว่ามันไม่น่าเชื่อถือพอ เราจะ…”

เบเดรนกากำลังจะเอ่ยตอบ แต่แล้วรูม่านตาของเขาก็หดลงอย่างแรง เขาเปิดใช้งานปราการศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ทั้งเมืองถูกปกคลุมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์อันบริสุทธิ์

หลังจากเกิดเสียงดังตูม คริสตจักรหลวงแห่งบรูว์สตันก็ระเบิดออก แล้วกระแสเพลิงกับแสงก็ไหลทะลักท่วมท้นเมืองทั้งเมือง

ปราการศักดิ์สิทธิ์แตกร้าวทันทีหลังจากนั้นไม่กี่วินาที บริเวณโล่งว่างใกล้กับคริสตจักรกลายเป็นหลุดใหญ่ยักษ์

“เขตขุนนางคงจะถูกทำลายไปแล้วหากว่าข้าช้าไปเพียงเสี้ยววินาที…” เบเดรนกากล่าว รู้สึกว่าโชคเข้าข้างไม่น้อย “เป็นเรื่องดีที่เราไม่พยายามไปหยุดบรูค”

บุรุษผู้อยู่ในจุดสูงสุดของชั้นตำนานและอยู่ในสิบอันดับแรกของบัญชีกวาดล้างย่อมมิใช่เล่นๆ

ยอร์ซนาร์ ‘บทเพลงสนธยา’ หยุดมือหลังจากบีบบังคับให้เอริกากับทอร์เรนส์ย้ายสมรภูมิไปนอกเมืองโคคัส โดยไม่คิดยื่นมือช่วยทั้งฝ่ายศาสนจักรหรือสภาเวทมนตร์

หลังจากที่ทางสภาเวทมนตร์โน้มน้าวมาหลายปี และภายใต้คำสัญญาที่ว่าช่วงชีวิตเขาจะถูกทำให้ยืนยาวขึ้นถึงสามร้อยปี เขาจึงตัดสินใจว่าจะรอจนกว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม

ขณะเฝ้ามองเอริก้าที่กลายร่างเป็นมังกรสายรุ้ง และทอร์เรนส์ที่เผยตัวตนในฐานะทูตสวรรค์แห่งปัญญา ยอร์ซนาร์ก็ถอนหายใจหนัก “การรักษาสถานภาพให้เป็นแบบเมื่อก่อนก็ดีอยู่แล้ว เฟอร์นันโด เรามาดูกันว่าเจ้าจะโน้มน้าวใจข้าอย่างไร”

สถานการณ์คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นในอาณาจักรโคเล็ตต์และแนวชายฝั่งทะเลทางตอนเหนือ ความแตกต่างเดียวคือ ‘ท่านหญิงเพลิงผลาญ’ คือผู้ที่เฝ้ารออยู่ที่แนวชายฝั่งทะเลทางตอนเหนือ และ ‘มัจจุราชพรากวิญญาณ’ ในอาณาจักรโคเล็ตต์ก็ถูกวิเซนเต เจ้าแห่งผีดิบ กดข่มจนหวาดกลัวหัวหด อย่างไรเสียเขาก็ยังมิใช่นักบุญ และเหล่านักเวทศาสตร์มืดระดับตำนานต่างก็ขึ้นชื่อเรื่อง ‘ผู้ช่วย’ จำนานมากมาย

ด้านนอกพระราชวังเนคโซ ซาร์ดค่อยๆ ปรากฏกายขึ้น

ในทีแรกเขายังยืนนิ่งอยู่ขณะเฝ้ามองคริสตจักรแห่งอาภา จนกระทั่งวงแหวนเวทเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่เปล่งแสงขึ้น เขาจึงก้าวออกจากแสงศักดิ์สิทธิ์ของ ‘วิมานบนดิน’ เขาอดแย้มยิ้มไม่ได้ขณะเดินตรงไปยังพระราชวังเนคโซ

“ได้เวลาแล้ว!”

‘ท่านผู้ทรงศีลสูงสุดน่าจะมาถึงพร้อมกับเหล่าพระคาร์ดินัลแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับดักลาสและราชาทูตสวรรค์ที่ “มีประโยชน์มาก” หากท่านไม่ล้มเหลวก็คงจะใช้พลังพระเจ้าเสด็จโดยแลกกับพลังชีวิตที่เหลือเป็นแน่’

เขามีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวมาตั้งแต่ต้น ซึ่งก็คือการทำให้สงครามปะทุขึ้นก่อนที่พลังพระเจ้าเสด็จของพระสันตะปาปาจะฟื้นฟูคืนกลับมา และทำให้พระสันตะปาปาเสียชีวิตเร็วขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากสภาเวทมนตร์ เขาไม่กังวลว่าทางสภาจะไม่ร่วมมือกับเขา เพราะการเริ่มสงครามก่อนเวลาอันควรก็เอื้อประโยชน์ต่อพวกเขาเช่นกัน

‘หลังจากที่พระสันตะปาปาตายและศัตรูถูกกำจัด มันก็จะเป็นเวลาที่ข้าเข้าไปกอบกู้ศาสนจักรพร้อมกับอัศวินชั้นตำนานทั้งเจ็ด ด้วยคุณงามความดีระดับนั้นและสิ่งที่ข้าได้รับมา ข้าจะขึ้นสู่บัลลังก์ของพระสันตะปาปาได้โดยไร้ข้อกังหาและเข้าใจปริศนานั้นอย่างแท้จริง’ ซาร์ดเดินผ่านประตูของพระราชวังเนคโซเข้าไป เขาไม่คิดหวังว่าสภาเวทมนตร์จะถูกทำลายลง แต่เขามั่นใจว่านักเวทระดับตำนานบางคนจะต้องดับดิ้น ซึ่งจะช่วยให้สถานภาพบ้านเมืองเข้าสู่สภาวะสมดุลรูปแบบใหม่

เขาแย้มยิ้ม ‘สรุปแล้ว ดักลาส บรูค และเฟอร์นันโด พยายามอย่างหนักและสังหารอนาสตา มาเรีย บีเวอร์ และคนที่เหลือซึ่งจงรักภักดีต่อท่านผู้ทรงศีลสูงสุด ข้าจะขอบคุณพวกเจ้าก็แล้วกัน’

เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน หากไร้ซึ่งพระคาร์ดินัลหลวงบางคนที่พระสันตะปาปาสอนสั่งด้วยตนเอง และไร้ซึ่งพระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงกับผู้พิทักษ์หัวรุนแรง มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่แผนการร้ายของเขาจะถูกเปิดเผย ใครบ้างจะเชื่อข่าวลือจากนักเวทระดับตำนานที่เหลือรอดมากันเล่า

‘มือซ้ายของลูเซียนไม่เพียงแต่ลบล้างคำสาปเท่านั้น มันค่อนข้างแปลกทีเดียว แต่จูเลียนากับมินสค์น่าจะหยุดเขาเอาไว้ในวิมานบนดินได้สักพัก หลังจากที่ข้ามีเวลา ข้าจะไปรับช่วงต่อเครื่องรางมงกุฎสุริยันของมัสเคลินย์เอง’ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่คิดเลยสักนิดว่าจูเลียนากับมินสค์จะมีชีวิตรอดกลับมา หรือพูดให้ถูกต้องก็คือ เขาไม่ต้องการให้ทั้งสองเหลือรอดกลับมา

‘ตอนนี้ มาเริ่มจากการรวบรวมอัศวินชั้นตำนานทั้งเจ็ดจากพระราชวังเนคโซกันก่อนเถิด’

‘อีกอย่าง ข้าต้องหาตัว “คนร้าย” สำหรับเรื่องที่คริสตจักรแห่งอาภาถูกพิชิตได้อย่างง่ายดาย หลังจากที่ข้าสังหารนางและได้รับดาบแห่งสัจธรรมมา ทุกอย่างก็จะปลอดภัย’

ซาร์ดรู้ดีว่านักเวทระดับตำนานนั้นเก่งกาจยอดเยี่ยมอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของการรักษาชีวิต ส่วนพวกนักบวช พวกเขามีเพียงเวทศักดิ์สิทธิ์ไม่กี่บท ซึ่งรวมถึงพลังพระเจ้าเสด็จและแสงพิพากษา ที่สามารถกำจัดดวงวิญญาณกับเครื่องรางกักพลังของเหล่านักเวทได้ สิ่งต่างๆ คงจะง่ายขึ้นหลังจากที่เขาได้ดาบแห่งสัจธรรมมา

“ถึงเวลาฆ่าสัตว์ที่ถูกขุนจนอ้วนแล้ว”

ขณะกล่าว เขาก็ยื่นมือขวาออกมาทาบบนปราการศักดิ์สิทธิ์ของพระราชวังเนคโซ ปีกเทวทูตหกปีกบนแผ่นหลังของเขากางออกช้าๆ

ปีกแห่งแสงของเขากางออกอย่างสง่างามแตกต่างจากนักบวชทั่วไป และแสงนั้นก็ดูศักดิ์สิทธิ์ไร้ข้อจำกัด

ชั่วพริบตาถัดมา ก็เหมือนกับว่าเขาได้หลอมละลายไปกับแสงศักดิ์สิทธิ์นั้น แล้วเขาก็เดินผ่านปราการป้องกันเข้าไปได้อย่างไร้ปัญหาใดๆ

……………………………………