จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 941 : วัตถุพื้นที่!
“อ่อ..ที่แท้เจ้าก็อยากรู้เรื่องนี้เองรึ”
หลิงหยุนตอบกลับไปด้วยความรู้สึกโล่งใจและรีบยกมือขวาไปไพล่หลังไว้อีกข้างทันที และเวลานี้มือทั้งสองข้างของหลิงหยุนก็ไขว้อยู่ด้านหลังทั้งคู่ เขาหรี่ตาลงพร้อมกับยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย
สีหน้าท่าทางของหลิงหยุนเวลานี้ในสายตาของธิดาพรรคมารนั้น เขาดูประหนึ่งเด็กเจ้าเล่ห์ที่กำลังหลอกลวงหญิงชราไม่เท่าทันคนอยู่..
“ความจริงๆก็ไม่มีอะไรมาก! เห็นแก่เจ้าที่อยากรู้อยากเห็นมาก ข้าจะบอกให้ก็แล้วกัน.. นี่เป็นมายากลชั้นสูงที่สามารถเสกสิ่งของจากความว่างเปล่าได้!”
ความจริงหลิงหยุนแทบอยากจะหัวเราะออกมาแต่เขากลับปั้นหน้าพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เสกสิ่งของจากความว่างเปล่างั้นรึ”
เย่ซิงเฉินไม่ใช่คนโง่..สีหน้าและแววตาของนางนั้นบ่งบอกว่าไม่เชื่อคำพูดของหลิงหยุน และร้องตะโกนออกมาด้วยความรู้สึกขบขันปนโมโห..
“เจ้าเลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว!ในโลกนี้มีด้วยรึที่จะเสกสิ่งของขึ้นมาได้จากความว่างเปล่า”
“หากเป็นเช่นนั้นจริง..ข้าว่าควรจะใช้ชื่อว่ามายากลเรียกทรัพย์น่าจะถูกต้องกว่าไม่ใช่รึ”
หลิงหยุนถึงกับนิ่งอึ้งไปและได้แต่คิดในใจว่า ‘หรือธิดาพรรคมารจะจับได้แล้วว่าข้าเสกของออกมาได้อย่างไร’
“นี่..ถึงแม้ว่าจะผู้คนในโลกโซเชียลจะพากันให้ฉายาเจ้าว่า เป็นผู้วิเศษที่สามารถเสกสิ่งของจากความว่างเปล่าได้ แต่ข้าจะบอกอะไรให้.. เจ้าอาจจะตบตาคนอื่นได้ แต่ตบตาข้าไม่ได้แน่!”
ธิดาพรรคมารไม่ได้หลงกลไปกับคำพูดของหลิงหยุนนางชะโงกหน้ามองเลยไปด้านหลังของหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เว้นแต่เจ้าจะสามารถเสกสิ่งของจากมือขวาให้ข้าเห็นต่อหน้าได้ข้าจึงจะยอมเชื่อว่าเจ้าสามารถเสกสิ่งของจากความว่างเปล่าได้จริง!”
คำพูดของธิดาพรรคมารทำให้หลิงหยุนแทบอยากจะถอดแหวนพื้นที่มาไว้ที่นิ้วมือข้างขวาทันที..
หลิงหยุนคิดไม่ถึงว่าเย่ซิงเฉินจะสังเกตดูเขาอย่างละเอียดเช่นนี้และสามารถจับได้ว่าสิ่งของต่างๆ ล้วนปรากฏออกมาจากมือด้านซ้ายของเขาเท่านั้น นางสังเกตเห็นว่าไม่ว่าสิ่งของจะปรากฏขึ้น หรือหายไป หลิงหยุนมักจะใช้มือซ้ายของตนเองเสมอ นั่นเพราะหลิงหยุนสวมแหวนพื้นที่ไว้ที่นิ้วกลางข้างซ้ายนั่นเอง
หลิงหยุนรู้ดีว่าต่อให้เขาย้ายแหวนมาใส่ที่นิ้วนางข้างขวาแทนนั่นก็เท่ากับเป็นการตอบคำถามของนางได้อย่างชัดเจนเช่นกัน หลิงหยุนยังรู้ดีอีกว่า หากเขาไม่ตอบคำถามของนาง ดูท่านางคงไม่ยอมหยุดแน่..
‘เฮ้อ..ข้าน่าจะมีแหวนพื้นที่สักสองวง..’ หลิงหยุนได้แต่แอบคิดในใจเงียบๆ
แต่หลิงหยุนก็ไม่ได้ตกอกตกใจอะไรและพูดออกมาด้วยท่าทีสงบนิ่งเช่นเคย “คิดไม่ถึงว่าคนอย่างธิดาพรรคมารจะดูทีวี แล้วก็เล่นอินเทอร์เน็ตด้วย”
เสียงหัวเราะดังกังวานใสของเย่ซิงเฉินดังขึ้นนางหัวเราะจนร่างงดงามนั้นสั่นไหว และหน้าอกทั้งสองข้างสั่นกระเพื่อมในขณะที่ตอบกลับหลิงหยุน
“ข้าไม่ได้มาจากยุคดึกดำบรรพ์นี่นา..เหตุใดจึงจะดูทีวี แล้วก็เล่นอินเทอร์เน็ตไม่ได้เล่า”
หลิงหยุนไม่ตอบ..แต่มือทั้งสองข้างยังคงไพล่อยู่ด้านหลัง และเดินตรงไปยังหม้อเสินหนง ภายใต้สายตาของเย่ซิงเฉิน มือข้างซ้ายของหลิงหยุนค่อยๆ เอื้อมออกไปยกหม้อเสินหนงขึ้น และเรียกมันเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่
ครั้งนี้..หลิงหยุนทำทุกอย่างช้าๆ ราวกับภาพสโลว์โมชั่น เพื่อให้เย่ซิงเฉินเห็นภาพได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
ไม่เพียงหม้อเสินหนงเท่านั้นหลิงหยุนยังเดินตรงไปยังจุดที่โทคุงาวะ มุโตะถูกฆ่า และเรียกดาบยาวเล่มนั้นเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่เช่นกัน ท้ายที่สุดเขาก็เดินเข้าไปใกล้พลองม่วงทองของเฉินเจี้ยนห่าว
ไม่ว่าจะเป็นดาบยาวของโทคุงาวะหรือพลองม่วงทองของเฉินเจี้ยนห่าว อาวุธทั้งสองชนิดก็ล้วนแล้วแต่ทำจากเหล็กน้ำดี และดูเหมือนว่าจะใช้ช่างตีเหล็กที่ชำนิชำนาญ และเก่งที่สุดอีกด้วย จึงนับว่าเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยม มีหรือที่หลิงหยุนจะยอมหลับหูหลับตาทิ้งไปได้..
แม้ว่าจะได้ทำการขยายพื้นที่ในแหวนแล้ว..แต่พลองม่วงทองของเฉินเจี้ยนห่าวก็ยาวถึงสี่เมตร จึงไม่สามารถนำเข้าไปเก็บในแหวนพื้นที่ซึ่งมีความกว้างเพียงแค่สองเมตรได้
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หลิงหยุนล้มเลิกความคิดเวลานี้กำลังของหลิงหยุนก็ฟื้นคืนมาบางส่วนแล้ว เขาจึงต้องการจะนำพลองเหล็กนี้กลับไปให้ได้
‘อาวุธชนิดนี้เหมาะกับตี้เสี่ยวอู๋นัก..เฉินเจี้ยนห่าวขอบใจเจ้ามาก!’
“เจ้ายังยืนเฉยอยู่ทำไมเล่า!มาช่วยข้าเร็วเข้า!”
ในเมื่อมียอดฝีมือที่ล้ำเลิศอยู่ข้างๆหลิงหยุนจึงร้องเรียกเย่ซิงเฉินให้มาช่วยทันที..
ด้วยพละกำลังของยอดฝีมือทั้งสองพลองม่วงทองจึงถูกพับครึ่งได้อย่างง่ายดายไม่ต่างจากการพับลวดเส้นหนึ่งเท่านั้น
“เอาล่ะ..คราวนี้เจ้าดูให้ดีล่ะ!”
หลิงหยุนนั่งยองๆลงที่พื้นพร้อมกับร้องตะโกนบอกเย่ซิงเฉิน และมือซ้ายของเขาก็ยื่นออกไปสัมผัสกับพลองม่วงทอง แต่ความจริงแล้วก็คือนิ้วกลางข้างซ้ายของเขาต่างหากที่สัมผัสเข้ากับพลองม่วงทอง
แว้บ..
แล้วพลองม่วงทองที่ถูกพับเหลือเพียงแค่สองเมตรนั้นก็หายวับเข้าไปในแหวนพื้นที่ของหลิงหยุนทันที..
หลังจากผ่านการต่อสู้ไปสองคืนลูกธนูเงินในแหวนพื้นที่ของหลิงหยุนก็ได้ถูกใช้ไปจำนวนมาก จึงเหลือพื้นที่ว่างพอที่จะใส่พลองเหล็กที่พับครึ่งเหลือเพียงสองเมตรนี้ได้..
‘ใช่แล้ว..เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ! เพราะแหวนวงนั้น.. นั่น.. นั่นมัน..’
เย่ซิงเฉินยกมือขึ้นปิดปากด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจแม้นางอยากจะพูดออกมา แต่ก็พูดไม่ออก..!
หลิงหยุนค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองเย่ซิงเฉินพร้อมกับแบมือซ้ายออก และพูดในสิ่งที่เย่ซิงเฉินกำลังคิดออกมา
“นี่คือแหวนพื้นที่!ภายในแหวนวงนี้มีพื้นที่สำหรับเก็บสิ่งของ แม้ว่าจะไม่ใช่พื้นที่ที่ใหญ่โตมากมาย แต่ก็เพียงพอที่จะเก็บของได้จำนวนมากทีเดียว!”
หลิงหยุนอธิบายด้วยสีหน้าภาคภูมิใจเพราะหากไม่ใช่เพราะพลังอมตะที่พู่กันจักรพรรดิถ่ายเทให้ เขาก็คงไม่สามารถสร้างแหวนพื้นที่วงนี้ขึ้นมาได้ เขาต้องลำบากยากเย็นมากเพียงใดกว่าจะสร้างแหวนพื้นที่วงนี้ได้สำเร็จ เขาไม่เคยลืม..
และการที่เขาตัดสินใจสร้างแหวนพื้นที่วงนี้ก็นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างที่สุด!
ไม่เช่นนั้นแล้วหลิงหยุนคงจะไม่สามารถแบกเอาสมบัติล้ำค่ามากมายติดตัวไปใหนต่อใหนได้ และหากไม่มีแหวนพื้นที่ เขาคงต้องหากล่องขนาดใหญ่ หรือถุงใบโตๆ พกพาสิ่งของที่จำเป็นจริงๆ ไปใหนต่อใหนด้วย และหากไม่มีแหวนพื้นที่ เขาคงต้องแบกกระบี่โลหิตแดนใต้ติดตัวไปตามที่ต่างๆ และคงจะต้องกลายเป็นตัวประหลาดสำหรับคนในโลกใบนี้เป็นแน่
“จริงรึมีแหวนพื้นที่อยู่จริงงั้นรึ..? แล้วพื้นที่ข้างในมันสามารถจุได้มากเท่าไหร่?” เย่ซิงเฉินร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ และไม่อยากจะเชื่อ
“ก็ไม่มากนัก..มันก็คล้ายๆ กับห้องเก็บของที่มีขนาดสองเมตรครึ่งได้..” หลิงหยุนตอบไปตามตรงอย่างไม่คิดที่จะปิดบัง
แม้แหวนพื้นที่จะเป็นไพ่ใบหนึ่งในมือของหลิงหยุนแต่เขาก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิดเย่ซิงเฉินที่เฉลียวฉลาดได้ จึงได้แต่ตอบไปตามความจริง เพื่อคลายความอยากรู้อยากเห็นของนาง
“โอ้โห..พื้นที่กว้างใหญ่เพียงนี้ ไม่เท่ากับขนของในบ้านเกือบทั้งหมดไปใหนต่อใหนได้เชียวรึ”
เย่ซิงเฉินถึงกับร้องตะโกนออกมาอย่างตกใจเพราะคำตอบที่เปิดเผยของหลิงหยุนนั้น เท่ากับเปิดประตูอีกบานซึ่งเธอไม่เคยได้รู้ได้เห็นมาก่อน..
หลิงหยุนยิ้มออกมาเล็กน้อยแต่ในใจนั้นกลับรู้สึกพอใจอย่างมาก เพราะหลังจากที่เขากับเย่ซิงเฉิน – ธิดาพรรคมาร ได้พูดคุยกัน ต่างฝ่ายต่างก็เริ่มคุ้นเคยกัน และดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเป็นไปในทางที่ดี
อีกทั้งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้มารน้อยแสดงความตกใจออกมาได้เช่นนี้!
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า..ในวันข้างหน้าหากเขาเริ่มเข้าสู่การบ่มเพาะพลังอย่างแท้จริงนั้น เขาจะสามารถสร้างแหวนพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่โตจนสามารถใส่ตึกใหญ่ๆ ทั้งหลังได้ทีเดียว!
แต่แน่นอนว่า..สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะพูดในเวลานี้ได้!
“นี่..เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นความลับของเจ้า เหตุใดเจ้าจึงบอกกับข้า ความจริงแล้ว.. เจ้าไม่จำเป็นต้องบอกข้าก็ได้!”
หลังจากที่หายตกใจ..ธิดาพรรคมารก็เอ่ยถามหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยของนางจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหลิงหยุน..
“เพราะเจ้าช่วยชีวิตของข้าไว้ไงเล่า!หากเจ้าไม่ปรากฏตัวในคืนนี้ ข้าคงต้องตายไปแล้ว หรือไม่อย่างน้อยก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสกว่านี้..”
หลิงหยุนตอบไปตามความจริงแม้ว่าเขาจะยังมีไพ่ใบใหญ่อยู่ในมือที่ยังไม่ได้ใช้ แต่ในสถานการณ์ที่สามรุมหนึ่งเช่นนั้น อย่างน้อยเขาก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก..
จากนั้นหลิงหยุนก็ลุกขึ้นยืนเขาจ้องมองเย่ซิงเฉินที่ยืนอยู่ตรงหน้า และผ้าแพรสีม่วงซึ่งมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวก็ปรากฏขึ้นในมือข้างซ้ายของเขา
“ผ้าของเจ้า..ข้าขอคืนให้กับเจ้า!”
หลิงหยุนก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับยื่นสิ่งของในมือให้กับเย่ซิงเฉินเขาไม่ทันสังเกตเห็นว่าเย่ซิงเฉินนั้นถึงกับมีสีหน้าอึ้งไป และพูดอะไรไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง..
จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 942 : ผ้าแพรสีม่วง!
ผ้าแพรสีม่วงซึ่งมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวเช่นนี้มีหรือที่เย่ซิงเฉินจะจำไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นของใช้ส่วนตัวของนางเอง..
ในวันที่หลิงหยุนเปิดคลินิกสามัญชนนั้นเย่ซิงเฉินได้พาคนขององค์กรนักฆ่าไปสร้างความวุ่นวายที่นั่น ด้วยการส่งตัวผู้ป่วยหนักยี่สิบสองรายไปที่คลินิกของหลิงหยุน และบีบให้เขาต้องลงมือรักษาคนไข้หนักเหล่านั้น แต่หลิงหยุนกลับสามารถรักษาทุกคนให้หายได้ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆnovel-lucky
ในเมื่อแผนของเย่ซิงเฉินล้มเหลวนางจึงจากไปโดยไม่แม้แต่จะร่ำลาหลิงหยุน และได้ทิ้งผ้าแพรผืนนี้ไว้ในรถแทน..
และข้อความที่เขียนอยู่บนผ้าแพรนั้นนางเองก็จำได้เป็นอย่างดี ‘นี่เจ้าเด็กน่ารังเกียจ.. ในเมื่อครั้งนี้เจ้าเป็นฝ่ายชนะ! รถหรูสิบกว่าคันที่เจ้านำกลับไป ข้าจึงขอมอบให้เป็นของขวัญในวันเปิดคลินิกของเจ้าก็แล้วกันก็แล้วกัน!’
นับตั้งแต่วันนั้นมา..หลิงหยุนจึงกล้าให้ถังเมิ่ง และตี้เสี่ยวอู๋นำรถหรูเหล่านั้นออกไปขับเล่นได้..
เย่ซิงเฉินคิดไม่ถึงว่าเวลาล่วงเลยไปนานแล้ว แต่หลิงหยุนกลับพกผ้าแพรผืนนี้ติดตัวไปใหนต่อใหนด้วยตลอดเวลา!
เพียงแค่คิดเช่นนั้น..ใบหน้าของเย่ซิงเฉินที่อยู่ภายต้าผ้าคลุมสีดำ ก็เริ่มร้อนผ่าว และเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมาทันที อีกทั้งหัวใจก็เต้นเร็วขึ้นอีกด้วย
การที่ได้เห็นของใช้ส่วนตัวของตนเองถูกเด็กหนุ่มตรงหน้าเก็บไว้อย่างดีเช่นนี้ในใจของเย่ซิงเฉินก็รู้สึกชุ่มชื่นใจ และดีใจจนพูดอะไรไม่ออก..
ในเวลานั้นเอง..สายลมบนยอดเขาเทียนเหมาเฟิงที่ยังคงพัดดังหวีดหวิว ก็ได้พัดเอากลิ่นหอมจากผ้าแพรสีม่วงในมือของหลิงหยุนให้ลอยอบอวลไปทั่ว
เย่ซิงเฉินจ้องมองด้วยแววตาเป็นประกายนางสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบจิตใจ แต่ก็ยังคงไม่ยื่นมือออกไปรับผ้าแพรผืนนั้น และพูดออกไปด้วยเสียงที่เบาราวกับเสียงกระซิบ
“ก็แค่ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียว..ข้าคิดว่าเจ้าโยนมันทิ้งไปแล้วเสียอีก!”
“ผ้าแพรผืนนี้ไม่เพียงมีกลิ่นหอมแต่ลายมือของเจ้ายังงดงามยิ่งนัก..”
หลิงหยุนยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อเห็นเย่ซิงเฉินยังคงยืนนิ่ง เขาจึงดึงผ้าแพรผืนนั้นกลับมา แล้วค่อยๆ ใช้สองมือคลี่ผ้าแพรผืนนนั้นออกพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“สำหรับข้า..ผ้าแพรที่มีกลิ่นหอมของเจ้านั้น มีค่ายิ่งกว่ารถหรูสิบกว่าคันนั่นเสียอีก แล้วข้าจะโยนทิ้งได้อย่างไรกันเล่า”
หลิงหยุนเป็นใครน่ะหรือรอบกายของเขาล้วนรายล้อมด้วยสาวงามมากมาย มีหรือที่หลิงหยุนจะไม่รู้วิธีพูดให้หญิงสาวรู้สึกประทับใจได้!
หลิงหยุนยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องถามและต้องการคำตอบจากธิดาพรรคมาร เขาจึงต้องหาหนทางสลายความขุ่นข้องหมองใจที่ตนเองเป็นผู้ก่อขึ้นเสียก่อน และลดช่องว่างของความเหินห่างนี้ให้แคบลง..
จากประสบการณ์ของหลิงหยุนที่อยู่กับสาวงามมามากมายเขาไม่เชื่อว่าคำชม และคำพูดของตนเองจะไม่สามารถทำให้ธิดาพรรคมารรู้สึกหวั่นไหวได้ หลิงหยุนเชื่อว่าอย่างน้อยเย่ซิงเฉินก็น่าจะเลิกมองเขาด้วยสายตาเย็นชาเหมือนเช่นทุกครั้ง หรือปฏิเสธที่จะไม่ยอมตอบคำถามของเขา..
แต่ที่สำคัญ..ลายมือของนางนั้นงดงามมากจริงๆ!
เย่ซิงเฉินได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนก็ถึงกับหัวเราะคิกคักนางมองหน้าหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า..
“ที่ผ่านมาเจ้าเองก็ยะโสโอหังยิ่งนัก!ข้าเองก็ไม่เคยพบเห็นใครที่โอหังเช่นเจ้ามาก่อนเช่นกัน!”
หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของเย่ซิงเฉินแล้วก็ถึงกับขมวดคิ้วจนหน้าผากย่นและได้แต่แอบคิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา ‘นี่จัดว่าเป็นคำชม หรือคำด่ากันแน่!’
จากนั้นก็ได้ยินเย่ซิงเฉินพูดต่อว่า“ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นอยู่กับเจ้านานแล้ว ข้าไม่ได้ต้องการมันกลับคืน! หากเจ้าไม่ชอบ ก็โยนมันทิ้งไปได้เลย!”
แม้เย่ซิงเฉินจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบสบายๆคล้ายกลับไม่แยแส แต่ดวงตาคู่งามของนางนั้นกลับจับจ้องอยู่ที่มือของหลิงหยุน และกำลังหวาดกลัวว่าหลิงหยุนจะยกมันขึ้น และโยนทิ้งให้ปลิวไปตามสายลมจริงๆ
“งั้นรึถ้าเจ้าไม่อยากได้คืน ข้าก็จะโยนทิ้งซะ!”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นถอนหายใจและยกมือขึ้นทำท่าจะโยนผ้าแพรผืนนั้นออกไป..
“นี่เจ้า!”เย่ซิงเฉินเห็นเช่นนั้นก็รีบพุ่งตัวเข้าไปพร้อมกับร้องอุทานออกมาทันที
“ข้าล้อเจ้าเล่น!”หลิงหยุนร้องบอกยิ้มๆ พร้อมกับอวดผ้าแพรในมือให้นางดู
การจะลดช่องว่างของความห่างเหินระหว่างเขากับเย่ซิงเฉินนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยมีหรือที่หลิงหยุนจะกล้าทำให้นางอารมณ์เสียได้!
หากเขาโยนผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ทิ้งไปต่อหน้าเย่ซิงเฉินจริงๆแล้วล่ะก็..หลิงหยุนเชื่อว่านางคงจะโกรธจนอยากจะฆ่าเขาตายแน่! ถึงตอนนั้นเขาคงจะหมดโอกาสได้สอบถามที่อยู่ของเสี่ยวเม่ยเม่ยจากนางแน่!
หลิงหยุนรีบพับผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมืออย่างรวดเร็วจากนั้นจึงยกขึ้นชิดปลายจมูกพร้อมกับทำท่าสูดดมกลิ่นหอมจากผ้าแพรผืนนั้น และพูดออกไปด้วยท่าทางกรุ้มกริ่ม..
“กลิ่นหอมชื่นใจยิ่งนัก!”
จากนั้นหลิงหยุนจึงเงยหน้าขึ้นมองดวงตาคู่งามของเย่ซิงเฉินพร้อมกับพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ทั้งงดงามและมีกลิ่นหอมยิ่งนัก ต่อให้เอาทองกองเท่าภูเขามาแลก ข้ายังไม่ยอมแลกเลย แล้วจะให้ข้าโยนมันทิ้งไปได้อย่างไรเล่า”
“และที่สำคัญที่สุด..นี่เป็นของใช้ส่วนตัวชิ้นเดียวของแม่นางเย่ที่ข้ามีติดตัว! ต่อให้ข้าต้องตายก็จะไม่ยอมโยนมันทิ้งไปอย่างแน่นอน!”
ระหว่างที่พูดนั้น..หลิงหยุนก็จงใจเน้นคำว่า ‘ของใช้ส่วนตัวเพียงชิ้นเดียว’ และคำว่า ‘ที่ข้ามีติดตัว’ พร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่งามของเย่ซิงเฉินซึ่งยังคงเคร่งขรึมเย็นชาเป็นปกติ..
คำพูดของหลิงหยุนประโยคนี้ไม่ต่างจากคำพูดเกี้ยวพาราสีที่ชายหนุ่มใช้เกี้ยวหญิงสาว เย่ซิงเฉินถึงกับสั่นสะท้าน และร้องตะโกนออกไปเสียงดัง..
“นี่เจ้า…”
ตั้งแต่โตเป็นสาวมาเย่ซิงเฉินยังไม่เคยถูกชายใดพูดจาลวนลามเช่นนี้มาก่อน แต่คำพูดของหลิงหยุนนั้นก็คือความจริงที่เธอเองไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน จึงได้แต่กระแทกเท้าลงพื้นอย่างขุ่นเคืองใจ และเมินหน้ามองไปทางอื่น ไม่ยอมมองหน้าหลิงหยุนอีกเลย
หลิงหยุนเห็นเย่ซิงเฉินมีท่าทีโมโหเช่นนั้นก็ได้แต่คิดในใจว่า ‘สาวงามนั้น.. แม้จะโมโหก็ยังน่ามองยิ่งนัก!’
หลิงหยุนรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างตนเองกับเย่ซิงเฉินเท่านี้น่าจะกำลังพอเหมาะพอดีแล้ว จึงรีบเอ่ยขึ้นในขณะที่สายตาก็จับจ้องอยู่ที่ลำคอขาวนวลของนาง
“แม่นางคนงาม..ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล หากเจ้าไม่รีบที่จะจากไปนัก เราไปหาสถานที่พูดคุยกันก่อนดีหรือไม่ บนยอดเขานี้ลมพัดแรงเกินไป!”
อาจเป็นเพราะได้ยินคำว่า‘แม่นางคนงาม’ หรืออย่างไร.. ร่างของเย่ซิงเฉินถึงกับกระตุกอีกครั้ง แต่ก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นเคย
“เจ้าเรียกใครว่าแม่นางคนงามเจ้าเองไม่ใช่รึที่พูดว่าข้าหน้าตาน่าเกลียด?”
แม้ปากจะพูดออกไปเช่นนั้นแต่ภายในใจของนางนั้นกลับเบิกบานราวกับดอกไม้บาน..
หลิงหยุนถูกตอบโต้กลับเช่นนั้นจึงได้แต่ยิ้ม และพูดต่อโดยไม่สนใจที่จะแก้ตัว “ซิงเฉิน.. ข้าเกรงว่าหากอยู่บนยอดเขาเช่นนี้ อาจมีศัตรูตามมา เหตุใดพวกเราไม่ลงเขาไป แล้วค่อยหาสถานที่เงียบๆคุยกันเล่า หรือเจ้าคิดเห็นเช่นไร?”
หลิงหยุนเริ่มต้นจากการเรียกเย่ซิงเฉินว่าแม่นางเย่มาเป็นแม่นางคนงาม และท้ายที่สุดก็ลองเรียกชื่อของนางเฉยๆดู ทำให้เย่ซิงเฉินรู้สึกว่าหลิงหยุนกำลังพยายามที่จะตีสนิทกับตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ จึงได้แต่ทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจนัก และบอกกับหลิงหยุนว่า
“เรียกข้าว่า..เย่ซิงเฉิน!”
แม้ว่าจะปฏิเสธไม่ให้หลิงหยุนเรียกชื่อนางเพียงอย่างเดียวแต่เย่ซิงเฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอของหลิงหยุน และในเมื่อไม่ปฏิเสธ ก็เท่ากับว่ายอมรับคำเชิญของหลิงหยุนนั่นเอง
“ขอบคุณแม่นางเย่!”
ในเมื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการแล้วหลิงหยุนเห็นว่าไม่ควรเรียกนางว่าเย่ซิงเฉิน เพราะดูห่างเหินเกินไป เขาจึงตัดสินใจที่จะเรียกนางว่าแม่นางเย่ต่อไป..
แต่จนถึงตอนนี้..หลิงหยุนเองก็ไม่แน่ใจว่าระหว่างตนเองกับเย่ซิงเฉินนั้น เป็นมิตร หรือว่าเป็นศัตรูกันแน่ แต่หากพิจารณาจากความช่วยเหลือของนางในคืนนี้ หลิงหยุนก็ยังคงวางใจได้ว่า นางไม่น่าจะใช่ศัตรูในเวลานี้!
ทางด้านเย่ซิงเฉินนั้นเมื่อได้ยินหลิงหยุนยังคงเรียกตนเองว่า ‘แม่นางเย่’ ก็ถึงกับกัดฟันกรอด และร้องตะโกนถามเสียงห้วน
“ไปกันได้หรือยัง”
แต่เมื่อหันไปเห็นหลิงหยุนกำลังเก็บผ้าแพรสีม่วงเข้าไปไว้ในกระเป๋าเสื้อเย่ซิงเฉินก็ถึงกับใจสั่น แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร..
“พวกเราเดินลงเขาน่าจะดีกว่า!”
หลังจากเก็บผ้าแพรใส่กระเป๋าเสื้อเรียบร้อยแล้วหลิงหยุนก็ร้องบอก และร่างของเขาก็กางแขน และวิ่งลงจากยอดเขาราวกับนกยักษ์ จุดหมายคือตีนเขาด้านล่าง
หลิงหยุนแทบไม่ต้องหันหลังกลับไปมองเขาเชื่อว่าเย่ซิงเฉินจะต้องกระโดดตามมาอย่างแน่นอน เพราะเขารู้ว่าไม่เพียงตนเองเท่านั้นที่มีคำถามมากมายต้องการจะถามนาง แต่นางเองก็มีคำถามมากมายที่ต้องการจะถามเขาเช่นกัน..
สำหรับยอดฝีมือทั้งสองคน..การลงจากยอดเขาเทียนเหมาเฟิงที่สูงมากกว่าหนึ่งพันเมตรนั้น ทั้งคู่ใช้เวลาเพียงสิบกว่านาทีก็ลงมาถึงตีนเขาแล้ว
“เอาล่ะ..จากนี้วิ่งไปทางทิศตะวันออก!”
เมื่อธิดาพรรคมารตามลงไปถึงตีนเขาแล้วหลิงหยุนจึงรีบยกมือขึ้นชี้ไปทางทิศตะวันออกพร้อมกับร้องตะโกนบอก ก่อนจะกระโดดนำไป และเย่ซิงเฉินก็กระโดดตามไป
ระหว่างทางนั้น..หลิงหยุนก็ได้เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจ และเปิดประสาทสัมผัสทั้งห้าเฝ้าระวังอันตรายไว้ แต่เมื่อไม่พบศัตรูเลยแม้แต่คนเดียว หลิงหยุนจึงมั่นใจว่าคืนนี้ศัตรูของเขาคงจะไม่โผล่มาอีกแล้ว..
“ที่นี่..เป็นพื้นที่ที่ข้าใช้ต่อสู้กับแวมไพร์กว่าห้าร้อยตนเมื่อคืนนี้ รับรองได้ว่าทัศนียภาพที่นี่นั้นงดงามอย่างหาที่ใดเปรียบไม่ได้เชียวล่ะ!”
และสถานที่ที่หลิงหยุนพูดถึงนั้นก็คือภูเขาที่อยู่ตรงหน้าซึ่งหลิงหยุนจะใช้เป็นที่สนทนากับเย่ซิงเฉินนั่นเอง
“อืมม..”
เย่ซิงเฉินพึมพำออกมาเสียงเบาแต่ไม่ใช่เพราะตกใจกับเรื่องแวมไพร์หลายร้อยตนที่หลิงหยุนพูดถึง นางตกตะลึงกับภาพที่อยู่ตรงหน้าต่างหาก..
องค์กรนักฆ่ามีสาขาอยู่ทั้งในยุโรปและอเมริกา เย่ซิงเฉินเองก็มีฐานะสูงส่งในพรรคมาร มีหรือที่จะไม่รู้ว่ามีแวมไพร์อยู่มากมายเพียงใด ไม่แน่ว่านางอาจจะรู้เรื่องเกี่ยวกับแวมไพร์ดีกว่าหลิงหยุนด้วยซ้ำไป!
อีกทั้งการสังหารแวมไพร์หลายร้อยตัวก็เป็นเรื่องที่นางเองทำได้เช่นกัน ยังมีอะไรให้นางต้องตกใจด้วยเล่า
เมื่อเห็นหลิงหยุนนิ่งเย่ซิงเฉินจึงเอ่ยปากถามขึ้นว่า..
“ที่นี่รึ”