จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 943 : ดื่มชาท่ามกลางภูเขา!
“ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือเป็นผู้มีวรยุทธ ในชีวิตก็ไม่ควรจะมีเพียงแค่เรื่องรบราฆ่าฟัน ต้องมีความสุทรีย์บ้าง.. เจ้าว่าจริงหรือไม่”
หลิงหยุนยืนนิ่งพร้อมกับหันไปมองบรรยากาศรอบๆแล้วจึงร้องถามเย่ซิงเฉิน..
หลิงหยุนได้แต่หวังว่า..สถานที่งดงามแห่งนี้จะช่วยให้การสนทนาระหว่างเขากับเย่ซิงเฉินนั้นเป็นไปได้ด้วยดี และราบรื่น เพราะถึงแม้จะไม่สามารถนั่งร่างโคลงกลอนอย่างสุนทรีย์ได้ แต่อย่างน้อยบรรยากาศเช่นนี้ ก็น่าจะเอื้ออำนวยให้การสนทนาเป็นไปได้อย่างสมานฉันท์
แต่ที่ทำให้หลิงหยุนประหลาดใจก็คือหลังจากที่เย่ซิงเฉินได้ยินคำพูดของหลิงหยุน นางก็ดูเหมือนจะอึ้งไปครู่ใหญ่ และไม่ตอบคำถามของหลิงหยุน คล้ายกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่ส่ายหน้าพูดอะไรไม่ออกเพราะคิดไม่ถึงว่าเย่ซิงเฉินจะหมกมุ่นครุ่นคิดจริงจังเช่นนี้..
ในเมื่ออีกฝ่ายกำลังตกอยู่ในภวังค์เช่นนี้หลิงหยุนจึงไม่ต้องการขัดจังหวะ จึงเดินสำรวจดูรอบๆ บริเวณแทน..
แววตาของหลิงหยุนเป็นประกายเจิดจรัสและยิ่งสำรวจดู เขาก็ยิ่งพบว่าสถานที่แห่งนี้ช่างมีบรรยากาศที่สุนทรีย์ เหมาะแก่การร่ายโคลงกลอน และวาดภาพยิ่งนัก
ภูเขาลูกนี้อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของยอดเขาเทียนเหมาเฟิงและห่างจากที่นั่นราวหนึ่งกิโลเมตร เขาลูกนี้ตั้งอยู่ระหว่างยอดเขาสองลูกที่ไม่มีชื่อ น้ำตกสีขาวไหลเป็นทางลงจากหน้าผาสูงกว่าสามสิบเมตร ด้านล่างเป็นห้วยน้ำลึกที่มีน้ำใสสะอาด และน้ำจากห้วยนี้ก็ไหลต่อไปทางภูเขาด้านตะวันออกเฉียงใต้..
น้ำตกแห่งนี้ถึงจะไม่ใหญ่โตนักแต่ก็ไหลลงมาด้วยความเร็วสูง น้ำตกที่ไหลลงกระทบห้วยน้ำลึกด้วยความแรง จึงเกิดเป็นละอองน้ำสีขาวกระจายไปทั่ว เสียงของน้ำที่ตกกระทบกันนั้น ก็ดังจนกลบเสียงพูดคุยกันจนสิ้น ทัศนียภาพเช่นนี้ทำให้ยามค่ำคืนในป่าแห่งนี้งดงามยิ่งนัก..
ภูเขาลูกนี้ล้อมรอบไปด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่มอากาศจึงสดชื่นมากกว่าปกติ หากผู้ใดได้เข้ามาที่นี่ก็จะรู้สึกสดชื่น และจิตใจเบิกบาน..
‘ดูเหมือนพลังชีวิตบริเวณนี้จะหนาแน่นกว่าที่ข้าคิด..’
หลิงหยุนเดินไปหยุดอยู่หน้าก้อนหินสูงใหญ่ก้อนหนึ่งและได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆ
จากนั้นจึงเดินวิชาพลังลับหยิน-หยางและเริ่มดูดซับเอาพลังชีวิตที่กระจายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งรอบๆ ตัวเข้าไป
เวลานี้ได้ผ่านจากช่วงเวลาแห่งการต่อสู้กับความเป็นความตายบนยอดเขาเทียนเหมาเฟิงมาร่วมชั่วโมงแล้วพลังปราณของหลิงหยุนจึงฟื้นคืนมามากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ แม้ร่างกายจะยังคงเหนื่อยล้าอยู่บ้าง แต่พลังปราณเท่านี้ก็เพียงพอสำหรับการเอาชีวิตรอดหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น..
หรือพูดง่ายๆก็คือว่า.. หากธิดาพรรคมารจะเปลี่ยนใจหันมาโจมตีหลิงหยุนในเวลานี้ เขาก็สามารถรับมือได้ไม่ยาก..
ธิดาพรรคมารเฝ้ามองตามร่างของหลิงหยุนไปและพบว่าจู่ๆ หลิงหยุนก็เรียกกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมา และฟันฉับเข้าตรงกลางของก้อนหินจนขาดเป็นสองท่อนอย่างไม่ลังเล จนครึ่งหนึ่งนั้นกลายเป็นพื้นที่เรียบ และมันวาวราวกับกระจก แล้วหลิงหยุนก็ได้โต๊ะหินหนึ่งตัว..
ชัวะ..ชัวะ.. ชัวะ..
หลิงหยุนยังคงไม่หยุดเพียงแค่นั้นเขาตวัดกระบี่อีกราวสิบกว่าครั้ง จัดการผ่าหินที่เหลือครึ่งหนึ่งออกเป็นสองท่อน แล้วเริ่มตัดแต่งให้หินทั้งสองก้อนกลายเป็นม้านั่ง หลังจากเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงใช้เท้าข้างหนึ่งเกี่ยวม้าหินตัวหนึ่งขึ้น ก่อนจะเตะลอยไปตกลงอีกฝั่งของโต๊ะหิน
หลังจากได้โต๊ะหินและม้าหินแล้ว หลิงหยุนจึงเรียกกระบี่โลหิตแดนใต้เก็บเข้าไปในแหวนพื้นที่ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่ม้าหินตัวหนึ่ง และโบกมือร้องเรียกเย่ซิงเฉินให้มานั่งด้วยสีหน้ายิ้มแย่มแจ่มใส..
“นี่..มานั่งคุยกันตรงนี้ดีกว่า!”
ครั้งแรกที่เย่ซิงเฉินเห็นหลิงหยุนชักกระบี่ออกมานั้นนางยังคิดว่าหลิงหยุนต้องการจะชักกระบี่ขึ้นมาสู้กับตนเองด้วยซ้ำไป แต่เมื่อพบว่าหลิงหยุนใช้กระบี่ในมือตัดแต่งโต๊ะและม้าหิน นางถึงกับทำสีหน้าแปลกประหลาด..
เย่ซิงเฉินได้แต่คิดในใจว่า..เพิ่งจะผ่านการต่อสู้ที่แสนหนักหน่วงมาไม่เท่าไหร่ อีกทั้งร่างกาย และพละกำลังของหลิงหยุนก็ยังไม่น่าจะฟื้นตัวเต็มร้อย แต่เขากลับมีอารมณ์สุนทรีย์มานั่งทำโต๊ะกับม้านั่งสำหรับนั่งคุยกันอีกหรือนี่
‘หัวสมองของเจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่!’
จุดประสงค์ที่ทั้งคู่มาที่นี่นั้นเย่ซิงเฉิน และหลิงหยุนต่างก็รู้กันดีว่าคงไม่พ้นเรื่องราวเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ และต่างฝ่ายต่างก็มีเรื่องที่ต้องการจะสอบถามกันและกัน!
เย่ซิงเฉินจ้องมองหลิงหยุนที่นั่งอยู่บนม้าหินด้วยท่าทางสบายอกสบายใจนางถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเท้าเดินข้าไปยืนข้างโต๊ะหินฝั่งตรงข้ามหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า..
“ดูเหมือนเจ้าจะมีอารมณ์สุนทรีย์มากสินะ!”novel-lucky
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มและหัวเราะออกมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเย่ซิงเฉินพร้อมกับตอบไปว่า
“ก็แน่อยู่แล้ว!บางครั้งเราก็ต้องใช้ชีวิตไปตามอารมณ์ความรู้สึกบ้างไม่ใช่รึ แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าทำเช่นนี้!”
และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลิงหยุนทำเช่นนี้จริงๆเมื่อครั้งที่อยู่บนเกาะเตียวหยู หลิงหยุนก็ใช้กระบี่โลหิตแดนใต้ และกระบี่มังกรขาวขุดถ้ำเพื่อทำเป็นบ้าน ทำหม้อ ทำกระทะ แล้วก็โต๊ะ และม้านั่งจากหิน..
“ต่อให้เจ้าเป็นนักมายากลที่เก่งกาจ..”หลิงหยุนพูดพร้อมกับยกมือข้างซ้ายขึ้นกระดิกนิ้วทั้งห้า แล้วจึงพูดต่อว่า
“ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าการนั่งคุยกันนั้นถึงอย่างไรสะดวกสบายกว่าการยืนคุยกันไม่ใช่รึ”
เย่ซิงเฉินไม่สามารถตอบโต้หลิงหยุนได้เพราะสิ่งที่เขาพูดมานั้นนางเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงได้แต่ทำสีหน้าท่าทางเฉยชา และไม่สนใจอะไรอีก
แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลิงหยุนได้เผชิญหน้ากับธิดาพรรคมารครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งที่สามแล้วที่เขาได้พบกับนาง หลิงหยุนจึงค่อนข้างเข้าใจอุปนิสัย และบุคลิกของนางดี อีกทั้งยังคุ้นเคยกับท่าทีเย็นชาเช่นนี้ดีด้วย เขาจึงไม่ใส่ใจอะไรนัก..
ในเมื่อเป็นถึงธิดาพรรคมารก็ต้องวางตัวเย็นชาห่างเหินเช่นนี้อยู่แล้ว หากสามารถเข้าถึงตัวได้ง่ายๆ ก็คงจะกลายเป็นหญิงสาวทั่วไป..
ยิ่งไปกว่านั้น..เทพธิดาในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ซึ่งหลิงหยุนรู้จักนั้น ก็มักจะทำตัวห่างเหินเย็นชาเช่นนี้ เขาจึงคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“ดูสิ..ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว อีกทั้งยังแวดล้อมไปด้วยภูเขาและแม่น้ำเช่นนี้ ช่างเป็นบรรยากาศที่แสนสดชื่นมากจริงๆ!”
หลิงหยุนจงใจเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวบนท้องฟ้าแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างแรง..
“แต่เพียงแค่นี้ยังไม่พอ..”
พูดยังไม่ทันจบ..ที่ฝ่ามือซ้ายของหลิงหยุนก็ปรากฏแสงสว่างเจิดจ้า และทำให้บริเวณโต๊ะหินโดยรอบนั้นสว่างไสวไปด้วย
หลิงหยุนจัดการวางไข่มุกราตรีไว้ที่มุมโต๊ะหินด้านหนึ่ง..
นี่เป็นการเจรจาระหว่างเขากับธิดาพรรคมารหลิงหยุนจึงต้องสร้างบรรยากาศให้รื่นรมย์ และน่าเจรจามากขึ้น!
“นี่เจ้ามีอะไรจะพูดก็รีบๆพูดมา!พูดจบข้าก็จะได้รีบไป เจ้าอยากมีอารมณ์สุนทรีย์ก็เชิญมีไปคนเดียว ส่วนยายเฒ่าอย่างข้าไม่อยากเสียเวลามานั่งกินลมชมจันทร์กับเจ้าด้วย!”
คิดไม่ถึงว่าเย่ซิงเฉินจะไม่เคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศที่หลิงหยุนทุ่มเทและพยายามรังสรรค์ขึ้นมาอย่างมาก และไข่มุกราตรีที่สามารถทำให้หญิงสาวคนอื่นถึงกับตื่นเต้นจนพูดไม่ออกนั้น กลับไม่มีความหมายอะไรเลยแม้แต่น้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่ซิงเฉิน..
เมื่อเห็นว่าเย่ซิงเฉินซึ่งเป็นถึงธิดาพรรคมารนั้นไม่มีท่าทีสนใจใยดีกับไข่มุกราตรีเลยแม้แต่น้อย เขาก็ได้แต่ทำหูทวนลม และตอบกลับไปว่า
“ใครว่าข้าจะชวนเจ้ากินลมชมจันทร์เล่า”
หลิงหยุนมองตาเย่ซิงเฉินพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ข้าจะชวนเจ้าดื่มชาชั้นเลิศต่างหากล่ะ!”
ทันทีที่พูดจบ..ชุดน้ำชาซึ่งมีทั้งกาน้ำชา ถ้วยน้ำชาสองใบ และถาดรองนั้นก็ถูกเรียกออกมาจากแหวนพื้นที และหลิงหยุนก็ค่อยๆ วางมันลงบนโต๊ะหิน
“นั่งลงดื่มชากันก่อนสิ!นี่เป็นชาต้าหงเผาชั้นเลิศเชียวนะ!”
หลิงหยุนจัดการแกะซองและเทใบชาลงไปในกา..
ครั้งนี้เย่ซิงเฉินถึงกับตกตะลึงอย่างมากจริงๆ!นางคิดไม่ถึงว่าในแหวนพื้นที่ของหลิงหยุนนั้นจะมีของเหล่านี้อยู่ด้วย!
ในยามค่ำคืน..คนสองคนที่ยังไม่สามารถระบุสถานะได้ว่าจะเป็นศัตรู หรือว่าเป็นมิตรกันแน่ แต่กลับชักชวนกันนั่งดื่มชาท่ามกลางหุบเขาลึก!
แม้ว่าเย่ซิงเฉินจะได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับหลิงหยุนมามากมายแต่นางก็นึกไม่ถึงจริงๆว่าหลิงหยุนจะเป็นผู้ชายที่มีอารมณ์สุนทรีย์เช่นนี้..
“เจ้าคงกำลังคิดว่าจะหาน้ำจากที่ใหนสินะ!แต่เจ้าน่าจะเคยเห็นในทีวีแล้วนี่!”
หลิงหยุนเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงของเย่ซิงเฉินแล้วก็ได้แต่แอบยิ้มอยู่ในใจ และพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยพร้อมกับเรียกยันต์ธาราออกมาปิดไว้ที่กาน้ำชา และร้องสั่งให้ยันต์ออกฤทธิ์
เมื่อในกามีน้ำแล้วหลิงหยุนก็จัดการยกกาน้ำชาไปวางไว้บนฝ่ามือข้างซ้าย และเริ่มเดินพลังหยางไปที่มือข้างซ้าย จากนั้นฝ่ามือข้างซ้ายของเขาก็ค่อยๆ ร้อนขึ้น และน้ำในกาก็เริ่มเดือดปุดๆ
ไม่นานนัก..กลิ่นหอมหวนของชาต้าหงเผาก็เริ่มโชยออกมา หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับจ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่งามของเย่ซิงเฉิน
“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องความสะอาด!ข้าเพิ่งจะฆ่าคนมาก็จริง แต่อย่าลืมว่าเนื้อตัวข้าไม่มีเลือดเลยสักหยด เจ้าก็เห็นไม่ใช่รึ”
แน่นอนว่าเย่ซิงเฉินนั้นเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ได้ดีในเมื่อตัวนางเองก็ไม่สวมรองเท้า และไปใหนมาใหนด้วยเท้าเปล่าโดยที่ไม่เปื้อนฝุ่นเช่นกัน การที่หลิงหยุนสามารถสังหารคนโดยไม่มีเลือดติดตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร..
หลังจากที่น้ำในกาเดือดและกลิ่นหอมของใบชาอบอวลไปทั่วแล้ว หลิงหยุนจึงวางกาน้ำชาลง และร้องบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง..
“ข้าต่อสู้กับศัตรูมาตั้งนานปากคอแห้งผากไปหมดแล้ว มานั่งดื่มชาแก้กระหายกันก่อน แล้วค่อยๆ คุยกันไปไม่ดีกว่ารึ!”
หลิงหยุนพูดต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“ในโลกนี้.. เจ้าเป็นคนแรกที่ได้ดื่มชาที่ข้าชงนะ!”
แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่แสดงความรู้สึกออกมาตรงๆแต่ความจริงแล้วเขารู้สึกซาบซึ้งใจในตัวเย่ซิงเฉินมากที่ช่วยเขาในคืนนี้ แม้ว่าเขาเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่านางจะเป็นมิตร หรือว่าเป็นศัตรูกันแน่..
“เชิญดื่มสิ..นี่คือชาหงเผาเชียวนะ!”
แต่จู่ๆหลิงหยุนก็ส่ายหน้าไปมา.. แล้วน้ำเต้าวิเศษก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา ทันทีที่หลิงหยุนเริ่มรินน้ำลายมังกรลงไปในกาน้ำชา กลิ่นหอมหวนของมันก็เริ่มตลบอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ
เย่ซิงเฉินสูดดมกลิ่นหอมเข้าไปอย่างแรงจนผ้าคลุมหน้าสีดำถูกดูดเข้าไปแนบกับรูจมูกของนาง กลิ่นหอมเย้ายวนเตะจมูกนั้นทำให้น้ำลายในปากของเย่ซิเฉินถึงกับพุ่งกระจายออกมา และยากที่จะอดกลั้นไว้ได้จนต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่นั้นลงลำคอไป
เรือนร่างงดงามของเย่ซิงเฉินชะโงกเข้าไปใกล้หลิงหยุนทันทีนางจ้องมองน้ำเต้าวิเศษในมือหลิงหยุนพร้อมกับถามเสียงสั่น
“นี่..นี่คือ..”
หลิงหยุนมองอย่างนึกขึ้นจากนั้นจึงยกกาขึ้นรินน้ำชาใส่ถ้วยให้กับเย่ซิงเฉิน แล้วพูดขึ้นว่า..
“ยังจะถามอะไรมากมายรีบดื่มเร็วเข้า!”
ในใจของหลิงหยุนนั้นได้แต่แอบคิดว่า..‘ใครๆ ต่างก็เรียกข้าว่าพี่หลิงหยุน เจ้ายังห่างไกลข้านัก!’
จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 944 : ตั้งโต๊ะเจรจา (1)!
ความจริงแล้วที่หลิงหยุนเลือกสถานที่ซึ่งมีบรรยากาศสวยงามเช่นนี้อีกทั้งยังนำชุดน้ำชาออกมา ส่วนหนึ่งก็เพราะต้องการขอบคุณเย่ซิงเฉินที่ช่วยเหลือตนเองในครั้งนี้ และที่สำคัญเพื่อให้เย่ซิงเฉินมีอารมณ์เบิกบาน..
สามารถทำให้ธิดาพรรคมารมีสีหน้าตกใจเช่นนี้ได้สิ่งที่หลิงหยุนลงแรงทำไปมากมายนั้นจึงนับว่าไม่เสียแรงเปล่า หลิงหยุนรู้สึกเหมือนได้บรรลุเป้าหมายเล็กๆ และได้แต่แอบภูมิใจอยู่เงียบๆ
แต่หลิงหยุนยังคงก้มหน้านิ่งและไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเย่ซิงเฉิน เขาค่อยๆ รินชาลงไปในถ้วยอย่างช้าๆ จากนั้นจึงยกถ้วยชานั้นไปวางไว้ตรงหน้าของธิดาพรรคมาร พร้อมกับผายมือเป็นการเชื้อเชิญ และพูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ดื่มชาก่อนสิ..”
ตลอระยะเวลาตั้งแต่มาถึงที่นี่นั้นเย่ซิงเฉินก็เอาแต่จ้องมองอากัปกิริยาของหลิงหยุนด้วยสายตาเย็นชา จนกระทั่งหลิงหยุนเรียกน้ำเต้าวิเศษออกมา สายตาของนางจึงเริ่มเปลี่ยนไป และค่อยๆ เลื่อนมาจับอยู่ที่ถ้วยชาตรงหน้า แต่ก็ยังไม่ยกขึ้นดื่ม..
หลิงหยุนจึงยื่นมือออกไปหยิบชาถ้วยนั้นขึ้นมาพร้อมกับยกขึ้นเทใส่ปากตนเองแล้วจึงเหลือบมองเย่ซิงเฉินเล็กน้อย
ทั้งคู่มองตากันนิ่งราวห้าวินาทีหลิงหยุนจึงยิ้มและถามขึ้นว่า “เจ้าเกรงว่าในน้ำชาจะมียาพิษงั้นรึ”
“หึ..”
ทันทีที่ได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนเย่ซิงเฉินก็ถึงกับยิ้มออกมาทันที นางเหลือบมองหลิงหยุนพร้อมกับตอบไปด้วยรอยยิ้มสดใส..
“จากแฟ้มข้อมูลของเจ้าที่เข้าได้มา แม้เจ้าจะสังหารยอดฝีมือไปมากมาย แต่ก็ไม่เคยมีประวัติว่าเจ้าใช้ยาพิษสังหารผู้ใดตายเลยสักคน ข้าคงจะไม่ใช่ผู้ที่โชคดีเช่นนั้นแน่”
ระหว่างที่การสนทนาเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นนั้นเย๋ซิงเฉินจึงเอี้ยวตัวเล็กน้อย และค่อยๆ นั่งลงบนม้าหินซึ่งอยู่ตรงข้ามหลิงหยุน..
หลิงหยุนได้ฟังคำตอบของเย่ซิงเฉินก็ถึงกับใจสั่นแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และได้แต่แอบถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้นว่า
“องค์กรนักฆ่าคงจะมีอำนาจอิทธิพลกว้างขวางมากเลยสินะ”
ไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่ายหลิงหยุนจึงได้พูดต่อว่า “ข้าคิดว่าผู้ใดก็ตามหากอยู่ต่อหน้าพรรคมารโดยเฉพาะเจ้า.. คงจะไม่ต่างจากคนที่เปลื้องผ้าล่อนจ้อน และไม่สามารถที่จะปิดบังอะไรได้เลยสินะ!”
คำพูดประโยคนี้ของหลิงหยุน..บ่งบอกว่าเขากำลังเริ่มเปิดการเจรจากับเย่ซิงเฉินอย่างเป็นทางการแล้ว
แต่เย่ซิงเฉินกลับนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกลับไป..นางเพียงแค่เอื้อมือขวาที่ขาวผ่องราวหิมะนั้นออกไปหยิบถ้วยชาซึ่งหลิงหยุนได้รินให้ใหม่ และวางไว้ด้านหน้าด้วยนิ้วกลางกับนิ้วโป้ง แล้วจึงยกขึ้นดื่ม..
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็รีบเปิดเนตรหยิน-หยางและจิตหยั่งรู้ออกทันที เขาต้องการฉวยโอกาสที่เย่ซิงเฉินยกถ้วยชาขึ้นดื่มนี้ แอบดูใบหน้าของนาง..
‘เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะสามารถปิดผ้าคลุมหน้าไว้ไม่ให้ผู้อื่นเห็นได้ตลอดเวลาข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะสามารถดื่มชาได้โดยไม่ต้องเปิดผ้าคลุมหน้าออก..’
แม้ว่าจะไม่สามารถเห็นใบหน้าทั้งหมดของนางได้แต่หากได้เห็นแค่คางกับริมฝีปาก เพียงเท่านี้ก็นับว่าคุ้มค่าสำหรับการดื่มชานในคืนนี้แล้ว!
แต่ดูเหมือนว่าเย่ซิงเฉินจะอ่านความคิดของหลิงหยุนออกนานแล้วเช่นกันดวงตาคู่สวยของนางเหลือบมองหลิงหยุนในขณะที่ริมฝีปากภายใต้ผ้าคลุม ก็แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อยเช่นกัน..
เย่ซิงเฉินส่งสายตาดุดันเป็นการเตือนหลิงหยุนว่าอย่าได้ฉวยโอกาสแอบดูใบหน้าของนางเลย เพราะเขาจะไม่มีทางทำได้สำเร็จแน่!
เย่ซิงเฉินยกถ้วยชาขึ้นไว้ใต้จมูกและสูดดมกลิ่นหอมของชาผ่านผ้าคลุมหน้า ทันทีที่สูดกลิ่นหอมนั้นเข้าไป ดวงตาของนางก็เป็นประกายสดใสขึ้นมาทันที
“ช่างเป็นชาที่มีกลิ่นหอมหวนยิ่งนัก!”
เย่ซิงเฉินเอ่ยชื่นชมอย่างจริงใจและไม่รู้ว่านางเคลื่อนไหวเช่นไร แต่ถ้วยชาในมือขวาของนางนั้นก็ได้หายไปต่อหน้าต่อตาหลิงหยุน!
จังหวะที่แขนเรียวงามและขาวราวหิมะของเย่ซิงเฉินเคลื่อนไหวนั้นลำคองามระหงส์ของนางก็เชิดขึ้น แล้วถ้วยชาในมือก็ถูกสอดเข้าไปใต้ผ้าคลุมหน้า เมื่อดึงออกมาถ้วยชาก็ว่างเปล่าแล้ว..
ตลอดทุกขั้นตอนการเคลื่อนไหวของเย่ซิงเฉินนั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาของหลิงหยุนทั้งสิ้น แต่เขากลับมองไม่เห็นผิวเนื้อที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าเลยแม้แต่นิ้วเดียว หลิงหยุนจึงรู้สึกผิดหวังอย่างมาก..
จากการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วคล่องแคล่วนั้นเห็นได้ชัดว่าเย่ซิงเฉินนั้นคุ้นเคยกับการดื่มกินผ่านผ้าคลุมหน้ามาอย่างช่ำชอง เพราะฉะนั้น.. หากนางไม่ต้องการให้ผู้ใดเห็นใบหน้าของนาง คนผู้นั้นก็ยากที่จะสามารถเห็นได้..
ยิ่งไปกว่านั้น..เย่ซิงเฉินยังมีพลังปราณปกคลุมอยู่รอบตัวตลอดเวลา ต่อให้นางเปิดผ้าคลุมหน้าออก คนธรรมดาก็จะเห็นใบหน้าของนางได้เพียงลางเลือนเท่านั้น คล้ายๆ กับเห็นดอกไม้ที่อยู่ท่ามกลางหมอกหนา ยากนักที่จะเห็นใบหน้าของนางได้อย่างชัดเจน
หลิงหยุนได้แต่ร้องออกมาอย่างผิดหวัง“เจ้าทำตัวลึกลับตลอดเวลาเช่นนี้ ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างเลยหรือยังไง”
“คนเราเกิดมามีใบหน้าก็เพื่อให้ผู้คนได้มองอีกอย่างมันก็เป็นเพียงแค่เนื้อหนังเท่านั้น เหตุใดเจ้าต้องยุ่งยากปกปิดมันด้วย!”
หลิงหยุนถอนหายใจออกมาเสียงดังและพูดขึ้นด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่เสียดาย และไม่เข้าใจ..
เมื่อน้ำชาที่มีกลิ่นหอมหวนนั้นเข้าไปในปากแล้วเย่ซิงเฉินก็ไม่รีบร้อนที่จะกลืนมันลงไปเร็วนัก นางปล่อยให้กลิ่นหอมนั้นอบอวลอยู่ในปากครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆกลืนลงลำคอไป..
ทันทีที่น้ำชาซึ่งมีน้ำลายมังกรผสมอยู่นั้นไหลผ่านลำคอไปพลังชีวิตจากน้ำลายมังกรก็เริ่มออกฤทธิ์ทันที และเมื่อผสมผสานเข้ากับปราณปีศาจในร่างกายของเย่ซิงเฉิน ก็ราวกับมีดักแด้วิ่งไปตามเส้นลมปราณต่างๆ ในร่างกายของนางอย่างรวดเร็ว..
ทั้งหลิงหยุนและเย่ซิงเฉินซึ่งฝึกมาถึงขั้นนี้แล้วนั้น ต่างก็มีความชำนาญในระดับหนึ่ง จึงไม่จำเป็นต้องจงใจ หรือตั้งใจที่จะเดินลมปราณ แต่ลมปราณในร่างกายนั้นจะสามารถหมุนเวียนได้เองอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาไปในขั้นที่สูงขึ้นได้..
และเพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวเย่ซิงเฉินก็สัมผัสได้ถึงประโยชน์มากมายของน้ำลายมังกร..
ดวงตาคู่งามของเย่ซิงเฉินเป็นประกายขึ้นมาอีกครั้งนางจ้องมองหลิงหยุนซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามพร้อมกับเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ชาถ้วยนี้ช่างยอดเยี่ยมนัก..ขอบคุณเจ้ามาก!”
จากานั้น..เย่ซิงเฉินก็มองลึกลงไปในดวงตาของหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ข้าไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไร เพราะทำเช่นนี้มาตั้งแต่เล็ก จึงคุ้นเคยกับมันไปแล้ว!”
ประโยคหลังนั้นเป็นการตอบคำถามเรื่องผ้าคลุมหน้าซึ่งหลิงหยุนเอ่ยถามก่อนหน้านี้..
หลิงหยุนสังเกตเห็นแววตาเศร้าสร้อยที่ปรากฏขึ้นมาเพียงวูบเดียวในดวงตาของเย่ซิงเฉินเขาจึงไม่ถามต่อ และเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น จากนั้นจึงเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาตรงหน้าเย่ซิงเฉินมารินให้ใหม่
“จากแฟ้มข้อมูลของเจ้าที่ข้าได้มา..ในคืนวันที่ 12 เมษายน ซึ่งเป็นวันเกิดของเสี่ยวเม่ยหนิง – หลานสาวท่านเสี่ยวหมอเทวดา เจ้าได้ให้ของขวัญวันเกิดนางสี่อย่างด้วยกัน – มีไข่มุกราตรีสิบแปดเม็ด โสมหลายพันปีสองต้น สมุนไพรเหอโชวู และของเหลวบางอย่างที่บรรจุอยู่ในกล่องหยก..”
“ในแฟ้มเอกสารนั้นระบุไว้ว่า..ทันทีที่เจ้าเปิดกล่องหยกออก กลิ่นหอมหวนก็โชยออกมา และตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง.. ”
“ภายในแฟ้มเอกสารนั้นยังเขียนไว้อีกว่า..ในคืนงานวันเกิดนั้นของขวัญของเจ้าล้ำค่ากว่าของขวัญของเหล่าคุณชายอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นหลี่ยั่วหมิงแห่งตระกูลหลี่ หลงเทียนยู่ หรือแม้แต่ฮู๋เซ่าป๋ายแห่งสำนักหมอหุบเขาเทวะ..”
“หากข้าเดาไม่ผิด..ของเหลวที่เจ้ารินลงไปในกาน้ำชาเมื่อครู่ กับของเหลวที่ข้าเล่ามานั้นน่าจะเป็นสิ่งเดียวกัน ถูกต้องหรือไม่”
เย่ซิงเฉินนั้นเป็นถึงธิดาพรรคมารนางจึงสามารถสงบสติอารมณ์ให้กลับสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว ระหว่างที่พูดนั้นก็มองลึกลงไปในดวงตาของหลิงหยุนเพื่อจับพิรุธ..
หลิงหยุนเห็นแล้วก็ได้ยิ้มพร้อมกับผายมือออกและพูดขึ้นว่า “ต่อหน้าเจ้า.. ข้ายังจะกล้าปิดบังอะไรอีกเล่า!”
หลังงจากที่ได้ดื่มชาผสมน้ำลายมังกรไปถ้วยหนึ่งแล้วเย่ซิงเฉินก็ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นมาก นางไม่ได้มองหลิงหยุนด้วยสีหน้าเย็นชาเช่นเคย แต่ท่าทีของนางราวกับมิตรสหายที่กำลังสนทนาพาทีกัน..
เมื่อเห็นสีหน้าของหลิงหยุนเย่ซิงเฉินก็ได้แต่ยิ้มเป็นการขอโทษพร้อมกับถามต่อว่า “ของเหลวนั่นคือดูเหมือนจะเป็นน้ำลายมังกรที่เล่าขานกันในตำนานใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่ดูเหมือน..แต่มันคือน้ำลายมังกร!”
หลิงหยุนตอบกลับไปตามความจริงด้วยสีหน้าท่าทางที่สงบนิ่ง..ตู้กู่โม่เองก็รู้เรื่องนี้ ตงฟาถิงก็เช่นกัน อีกทั้งคนในครอบครัวก็รู้เรื่องน้ำลายมังกรนี้ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีท่านหมอเสี่ยว เสี่ยวเม่ยหนิง และคนอื่นๆรอบตัวเขาด้วย เรื่องน้ำลายมังกรจึงไม่เป็นความลับอะไรสำหรับเขาอีกแล้ว เขาจึงไม่คิดที่จะปกปิด..
เย่ซิงเฉินมีพอใจอย่างมากที่หลิงหยุนตอบคำถามของนางอย่างซื่อสัตย์จึงถามต่อด้วยความสนอกสนใจ
“เจ้าพบมันที่ก้นหลุมยักษ์งั้นรึ”
หลิงหยุนจิบน้ำชาพร้อมกับตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ข้าคิดว่าเจ้าเองก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าที่ก้นหลุมยักษ์บนเขามังกรนั้น มีค่ายกลมังกรหยิน-หยางอยู่ และที่ใดมีค่ายกลมังกรนี้ ก็ย่อมมีน้ำลายมังกรไม่ใช่รึ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องน่าแปลกนี่!”
ค่ายกลมังกรหยิน-หยางนั้นแม้แต่ตู้กู่โม่ยังดูออก หลิงหยุนจึงมั่นใจว่าเย่ซิงเฉินซึ่งรอบรู้ทุกเรื่องก็จะต้องล่วงรู้เช่นกัน
เย่ซิงเฉินหัวเราะคิกคักนางมองหน้าหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าซื่อสัตย์มากทีเดียว!”
หลิงหยุนยิ้มกริ่มพร้อมตอบกลับไปว่า“ก็ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าจะตอบคำถามของเจ้าตามความจริง!”
เย่ซิงเฉินหันไปมองหลิงหยุนอีกครั้งพร้อมกับถามต่อว่า“แล้วน้ำเต้านั่นล่ะ”
หลิงหยุนตอบกลับอย่างไม่ลังเล“ข้าเอาไว้ใส่น้ำลายมังกร!”
ดวงตาของเย่ซิงเฉินเป็นประกายอย่างมีความสุขในขณะที่ถามขึ้นว่า“มันคงหนักน่าดูเลยสินะ!”
หลิงหยุนยิ้มและรู้ดีว่าเย่ซิงเฉินต้องการจะพูดอะไร
ตอนที่อยู่บนยอดเขาเทียนเหมาเฟิงนั้นหลังจากที่หลิงหยุนได้สังหารโทคุงาวะ มุโตะจนหมดเรี่ยวหมดแรงนั้น เขาได้เรียกน้ำเต้าวิเศษออกมาจากแหวนพื้นที่ แต่กลับไม่สามารถยกขึ้นดื่มได้ จึงต้องเรียกเจสเตอร์ให้มาช่วยยกแทน
และเหตุการณ์ทั้งหมดนั้น..ก็ล้วนอยู่ในสายตาของเย่ซิงเฉินทั้งสิ้น!
“อืมม..หนักมากจริงๆ!” หลิงหยุนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ต่อหน้าธิดาพรรคมารซึ่งสามารถต่อกรกับยอดฝีมือทั้งยุทธภพได้อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้นำระดับสูงขององค์กรใต้ดินที่มีอิทธิพลอำนาจมากมายอย่างองค์กรนักฆ่า จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นที่จะสืบหาข้อมูลของหลิงหยุนได้อย่างละเอียดเช่นนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะรู้ข้อมูลที่เกี่ยวกับหลิงหยุนทุกอย่าง..
หากนางรู้ทุกอย่างแล้วเหตุใดทั้งคู่ยังต้องมานั่งเจรจากันเช่นนีด้วยเล่า
เรื่องที่หลิงหยุนมีน้ำเต้าวิเศษอยู่ในความครอบครองดูเหมือนจะน่าสนใจน้อยกว่าเรื่องพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิอย่างแน่นอน แต่เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดของหลิงหยุน เขาคงไม่โง่ที่จะพูดขึ้นมาอย่างแน่นอน..
และเรื่องกระบี่โลหิตแดนใต้ที่หลิงหยุนใช้สังหารยอดฝีมือไปมากมายนั้นก็คงแพร่สะพรัดออกไปในยุทธภพ และเป็นที่สนใจไม่ต่างจากเรื่องน้ำเต้าวิเศษเช่นกัน!
“เอาล่ะ..เจ้าถามคำถามข้ามามากมายแล้ว และข้าก็ตอบเจ้าทุกคำถาม ถึงคราวที่เจ้าต้องตอบคำถามของข้าบ้าง!”
“เสี่ยวเม่ยเม่ยอยู่ที่ใด”