จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 945 : ตั้งโต๊ะเจรจา (2)!
“เสี่ยวเม่ยเม่ยอยู่ที่ใด”หลิงหยุนถามย้ำอีกครั้ง..
เหตุผลที่หลิงหยุนต้องถามย้ำถึงสองครั้งก็เพราะว่าเขาเคยถามเรื่องนี้กับเย่ซิงเฉินมาแล้วถึงสองครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบจากนางเลยสักครั้ง..
ก่อนหน้านี้หลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินเคยพบกันมาก่อนแล้วถึงสองครั้งและทุกครั้งมักจะจบลงด้วยการที่ธิดาพรรคมารทำให้เขาโมโหจนแทบคลั่ง..
แต่การพบกันครั้งที่สามนี้ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายเลือกให้เย่ซิงเฉินถามคำถามก่อน และตัวเขาเองก็ตอบคำถามของนางอย่างตรงไปตรงมา เขาจึงเชื่อว่าเย่ซิงเฉินเองก็ควรจะให้คำตอบที่น่าพอใจแก่เขาเช่นกัน!
เย่ซิงเฉินควรจะต้องตอบคำถามของเขาอย่างตรงไปตรงมาเหมือนที่เขาตอบนางเช่นกัน!
เย่ซิงเฉินถึงกับอึ้งไปและพูดไม่ออก หลังจากที่นางช่วยหลิงหยุนจัดการกับศัตรูแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมจากไปใหน เห็นได้ชัดว่านางเองก็ต้องการที่จะเจรจาพูดคุยกับหลิงหยุนอย่างเป็นการเป็นงานเช่นกัน
ในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็ต้องการที่จะเจรจาพูดคุยกันเช่นนี้ทั้งสองฝ่ายจึงควรที่จะต้องมีความจริงใจต่อกันบ้างไม่ใช่หรือ และการที่หลิงหยุนเริ่มต้นด้วยการถามเรื่องของเสี่ยวเม่ยเม่ยนั้น ก็เป็นเพียงแค่การทดสอบเย่ซิงเฉินเท่านั้น!
หากเย่ซิงเฉินยังคงไม่ตอบคำถามนี้ของเขาระหว่างเขากับนางก็คงไม่มีอะไรต้องเจรจากันอีก!
และทันทีที่หลิงหยุนเริ่มต้นด้วยการถามคำถามนี้บรรยากาศภายในโต๊ะหินก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที ต่างฝ่ายต่างก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา และเวลานี้นอกจากเสียงหวีดหวิวของสายลมที่กำลังพัดแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย..
แต่นับว่ายังโชคดีที่มีไข่มุกราตรีทำหน้าที่ทอแสงนวลเป็นประกายทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดนั้นดูนุ่มนวลลงกว่าที่เป็นจริง..
ดวงตาเป็นประกายของหลิงหยุนนั้นจ้องลึกลงไปในดวงตาของเย่ซิงเฉิน และกำลังรอคอยคำตอบจากนางอยู่
เย่ซิงเฉินเองก็ไม่หลบสายตาของหลิงหยุนเช่นกันนางจ้องตาหลิงหยุนตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะยิ้มมุมปากเล็กน้อยคล้ายกำลังเย้ยหยัน..
ทั้งสองคนต่างก็จ้องมองกันอยู่เช่นนั้นแม้จะเป็นเพียงแค่ชั่วขณะ แต่ก็ดูเหมือนเนิ่นนาน..
ท้ายที่สุดเย่ซิงเฉินก็ต้องเป็นฝ่ายถอนสายตาจากหลิงหยุนก่อนและแสร้งเหลือบสายตาขึ้นมองไปยังน้ำตกสีขาวด้านหลังหลิงหยุนแทน
จากนั้นนางจึงถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นห่วงนางมากมายเช่นนี้!”
หลิงหยุนไม่สนใจคำพูดไร้สาระของเย่ซิงเฉินและเลือกที่จะไม่ตอบโต้..
เย่ซิงเฉินจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก“เสี่ยวเม่ยเม่ยเป็นคนขององค์กรนักฆ่า นางจะอยู่ที่ใด หรือเป็นเช่นใดในเวลานี้ เรื่องของนางก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเจ้าไม่ใช่รึ”
หลิงหยุนได้ฟังจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เสี่ยวเม่ยเม่ยเคยบอกกับข้าว่า นางได้ออกจากองค์กรนักฆ่าแล้ว และจะไม่กลับไปทำงานให้กับองค์กรนักฆ่าอีก!”
เย่ซิงเฉินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก“อ่อ.. นางบอกกับเจ้าเช่นนั้นรึ”
“นางเป็นเพียงนักฆ่าหญิงระดับล่างขององค์กรนักฆ่าเท่านั้นเหตุใดเจ้าต้องจริงจังกับเรื่องของนางถึงเพียงนี้ด้วย”
หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของเย่ซิงเฉินก็นึกโกรธขึ้นมาอย่างมากจนแทบอยากจะยกมือขึ้นตบโต๊ะ แต่ก็เพียงแค่ทำสีหน้าจริงจัง และตอบกลับไปเพียงสั้นๆ
“เสี่ยวเม่ยเม่ยเป็นผู้หญิงของข้า!”
หลิงหยุนพูดความจริง!
ในคืนวันเชงเม้งที่เฉิงเม่ยเฟิงถูกตระกูลซันลักพาตัวไปนั้นเสี่ยวเม่ยเม่ยก็อยู่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาจนได้รับบาดเจ็บสาหัส หลิงหยุนเองก็เป็นผู้ที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บสาหัส และช่วยชีวิตของนางไว้ ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างก็ยอมรับกันและกัน..
และก่อนที่หลิงหยุนจะลงไปสำรวจก้นหลุมยักษ์นั้นเขาก็ได้ส่งเฉิงเม่ยเฟิงกับเสี่ยวเม่ยเม่ยให้ไปอยู่กับนางฉินจิวยื่อที่บ้าน เพื่อให้แม่ของเขาช่วยคุ้มครองความปลอดภัยให้กับพวกนาง ครั้งนั้นหลิงหยุนก็ใช้ข้ออ้างให้หญิงสาวทั้งสองคนไปทำความรู้จักกับแม่สามี..
เช่นนี้แล้วเสี่ยวเม่ยเม่ยจะไม่ใช่ผู้หญิงของเขาได้อย่างไรกัน
ความจริงแล้ว..หลิงหยุนเองก็ตั้งใจไว้ว่าหลังจากที่กลับขึ้นมาจากหลุมยักษ์แล้ว ก็จะรีบไปรับตัวเฉิงเม่ยเฟิงกับเสี่ยวเม่ยเม่ยกลับไปอยู่ที่บ้าน และใช้เวลาอย่างมีความสุขอยู่กับพวกนางทั้งสองคน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่กลับขึ้นมาจากหลุมยักษ์ หญิงสาวทั้งสองคนกลับหายตัวไปทั้งคู่ คนหนึ่งถูกอารามจิ้งซินพาตัวกลับไป ส่วนอีกคนก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย..
แต่ในช่วงเวลานั้น..หลิงหยุนเองก็ต้องไปช่วยเกาเฉินเฉินที่ปักกิ่ง จึงยังไม่มีเวลาออกตามหาหญิงสาวทั้งสองคน แต่ตอนนี้เกาเฉินเฉินก็ปลอดภัยแล้ว ส่วนเฉิงเม่ยเฟิงนั้นไปเป็นศิษย์ของอารามจิ้งซิน หลิงหยุนจึงเชื่อว่านางน่าจะปลอดภัยไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะช่วยเสี่ยวเม่ยเม่ยก่อน..
และธิดาพรรคมารเองก็มักจะย้ำอยู่เสมอว่านางรู้ว่าเสี่ยวเม่ยเม่ยนั้นอยู่ที่ใดในเมื่อเวลานี้ธิดาพรรคมารก็มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเขาอีกครั้งแล้ว มีหรือที่หลิงหยุนจะไม่ถามเรื่องนี้?
ผู้หญิงของเขา..ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นผู้หญิงของเขา! ต่อให้เขายังช่วยนางออกมาไม่ได้ ก็ไม่ยอมให้ผู้ใดพูดจาดูถูกนางเช่นนั้น..
หลิงหยุนเองก็มีกำแพงที่ไม่อาจให้ผู้ใดก้าวข้ามได้แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นธิดาพรรคมารก็ตาม!
ฝ่ามือขาวนวลของเย่ซิงเฉินฟาดลงบนโต๊ะหินอย่างแรงจนโต๊ะหินถึงกับสั่น แล้วทั้งไข่มุกราตรี และชุดชาบนโต๊ะ ต่างก็กระดอนขึ้นด้วยแรงกระแทกนั้น..
แต่น่าประหลาด..ที่สิ่งของทั้งหมดบนโต๊ะซึ่งกระดอนสูงขึ้นเกือบหนึ่งฟุตนั้น กลับค่อยๆ ลอยลงยังตำแหน่งเดิมอย่างนิ่มนวล ไข่มุกราตรีก็ไม่บุบสลาย แม้แต่กายังไม่มีน้ำชาหกกระเด็นออกมาแม้แต่หยดเดียว..
“นี่เจ้า!”
เย่ซิงเฉินร้องตะโกนออกมาอย่างขุ่นเคืองใจหน้าอกทั้งสองข้างกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง
“ข้าพูดอะไรผิดงั้นรึ”
หลิงหยุนร้องถามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับยักไหล่ขึ้นอย่างไม่ยี่หระต่อท่าทีของธิดาพรรคมาร
“ฮึ่ม..”
เย่ซิงเฉินทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจแล้วจัดการยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว!
แต่หลิงหยุนกลับยิ้มออกมาและค่อยๆ ยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นดื่มตามเย่ซิงเฉิน ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับถามขึ้นว่า
“นี่เจ้าหึงข้างั้นรึ”
“เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไร”
เย่ซิงเฉินเห็นได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนและได้เห็นท่าทางของเขา ก็ถึงกับกัดฟันกรอด และได้แต่คิดในใจว่านางน่าจะทำให้กาน้ำชารดลงบนศรีษะของหลิงหยุนแทน
ธิดาพรรคมารพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ห้วน..“เสี่ยวเม่ยเม่ยปฏิบัติภารกิจล้มเหลว หนำซ้ำยังทรยศต่อองค์กรนักฆ่า นางได้ถูกองค์กรนักฆ่าสังหารตายไปแล้ว!”
หลังจากที่พูดออกไปแล้วเย่ซิงเฉินก็จ้องหน้าหลิงหยุนพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างพอใจ แต่ก็คอยระมัดระวังการจู่โจมจากหลิงหยุน..
ในเมื่อหลิงหยุนทำให้นางขุ่นเคืองใจก่อนเย่ซิงเฉินจึงตั้งใจที่ทำให้หลิงหยุนโมโหด้วยเช่นกัน!
แต่เย่ซิงเฉินกลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าหลิงหยุนยังคงสงบนิ่ง และค่อยๆ รินชาลงไปในถ้วย แล้วยกขึ้นดื่ม จากนั้นจึงตอบเย่ซิงเฉินกลับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลอ่อนโยน
“เวลาของพวกเราสองคนตอนนี้เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่ง!ข้าว่าเจ้าอย่าหาเรื่องทะเลาะกับข้าจะดีกว่า..”
เย่ซิงเฉินกัดริมฝีปากล่างแน่นก่อนจะถามขึ้นว่า “หากเสี่ยวเม่ยเม่ยตายไปแล้วจริงๆล่ะ”
“หากเป็นความจริง..ข้าก็บอกกับเจ้าไว้ตรงนี้เลยว่า.. ข้าจะถล่มองค์กรนักฆ่า และเผามันทิ้งซะ! รวมทั้งคนในพรรคมารทั้งหมดด้วย และด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย.. หากเรื่องนี้เป็นความจริง คืนนี้เจ้าจะไม่สามารถออกไปจากหุบเขาเซียนเหยินหลิงได้อย่างแน่นอน!”
“นี่เจ้า..!”novel-lucky
เย่ซิงเฉินถึงกับอึ้งไปและพูดอะไรไม่ออกอีกครั้งเมื่อได้ฟังคำพูดของหลิงหยุน!
แต่ครั้งนี้เย่ซิงเฉินไม่ได้ตบโต๊ะหินเหมือนเช่นเคยนางจ้องมองสีหน้าของหลิงหยุน แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาพร้อมกับตอบหลิงหยุนไปว่า
“ด้วยเกียรติของลูกผู้ชายเชียวรึเจ้าห้ามไม่ให้ข้าออกจากหุบเขาเซียนเหยินหลิง.. เจ้ามีความสามารถพอรึ?”
หลิงหยุนยิ้มเย็นพร้อมกับตอบไปอย่างไม่เกรงกลัว“เจ้าจะลองดูก็ได้!”
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง..หลิงหยุนก็อธิบายให้เย่ซิงเฉินฟังอย่างใจเย็น
“พวกเราทั้งคู่มาที่นี่ก็เพื่อพูดคุยกันไม่ใช่รึในเมื่อเป็นเช่นนี้.. พวกเราทั้งสองคนก็ควรมีความจริงใจในการเจรจาที่มากพอ และเรื่องของเสี่ยวเม่ยเม่ย ก็เป็นเรื่องที่เจ้าต้องแสดงความจริงใจให้ข้าเห็น.. ไม่ถูกต้องรึ?”
“อีกทั้งในวันเปิดคลินิกสามัญชนของข้าเจ้าก็ได้นำผู้ป่วยหนักถึงยี่สิบสองคนไปสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับข้า และใช้ชีวิตของเสี่ยวเม่ยเม่ยบีบบังคับให้ข้ารักษาพวกเขา แล้วเจ้าก็บอกกับข้าเองว่า หากข้าสามารถรักษาผู้ป่วยทั้งหมดได้ เจ้าจะยอมบอกที่อยู่ของเสี่ยวเม่ยเม่ยให้ข้ารู้..”
หลิงหยุนอธิบายเหตุผลสองข้อให้เย่ซิงเฉินฟังด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วจึงถามต่อว่า “นี่เป็นเรื่องที่เจ้าติดค้างข้า! คำถาม หรือเจ้าเห็นว่าข้อเรียกร้องของข้ามากเกินไปอย่างนั้นรึ”
ทั้งสองฝ่ายต่างก็แข็งแกร่งด้วยกันทั้งคู่การต่อรองจึงดูตึงเครียดตั้งแต่เริ่มต้น และหากตกลงกันไม่ได้ ก็คงต้องใช้ความรุนแรง แต่หลิงหยุนไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น
การพูดคุยเจรจาเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นแต่สถานการณ์กลับดูตึงเครียดจนเหมือนจะแตกหักเช่นนี้ ซึ่งหลิงหยุนเองก็ไม่ต้องการ อีกทั้งเย่ซิงเฉินนั้นอาจจะเป็นศิษย์ของแม่ผู้ให้กำเนิดของเขาก็ได้ หลิงหยุนจึงไม่ต้องการทำให้แม่ของเขาไม่พอใจตั้งแต่ยังไม่ได้พบหน้ากัน..
ถึงแม้หลิงหยุนจะไม่ได้แสดงอาการอ่อนข้อให้เลยแต่ก็ยอมอธิบายให้เย่ซิงเฉินฟังถึงเหตุผลที่นางควรจะต้องตอบคำถามของเขา..
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของหลิงหยุนเย่ซิงเฉินก็หลือบมองหลิงหยุน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ
“รินชา!”
หลิงหยุนรู้ดีว่าไฟใกล้จุดติดแล้วเขาจึงยิ้มให้พร้อมกับรินชาลงในถ้วยชาของนาง แม้เย่ซิงเฉินจะกำลังดื่มชาที่หลิงหยุนเพิ่งรินให้ และความจริงแล้วนางไม่ได้รู้สึกโกรธหลิงหยุนเลย
เย่ซิงเฉินอ่านข้อมูลของหลิงหยุนมามากและเข้าใจในบุคลิก และอุปนิสัยของเขาดี หลังจากที่ดื่มชากลิ่นหอมหวนเข้าไปแล้ว เย่ซิงเฉินจึงถามขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มสดใส
“ข้าเคยบอกกับเจ้าเช่นนั้นจริงรึถ้าเช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้า..”
ในที่สุดหลิงหยุนก็ได้ฟังประโยคที่รอคอยมานาน..
“เวลานี้เสี่ยวเม่ยเม่ยนับว่าเป็นเพชรน้ำงามของพรรคมารนางกำลังร่ำเรียนวรยุทธกับอาวุโสท่านหนึ่ง และใกล้จะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนในไม่ช้านี้! เจ้าไม่ต้องห่วงนาง..”
“บัดซบ!”หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของเสี่ยวเม่ยเม่ยก็ถึงกับสบถออกมา และไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก..
การได้ยินว่าเสี่ยวเม่ยเม่ยกำลังร่ำเรียนวรยุทธกับอาวุโสของพรรคมารและใกล้จะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนอีกในไม่ช้านั้น เท่ากับเป็นการยืนยันว่านางปลอดภัยดี และไม่มีเรื่องใดต้องกังวลใจ แต่หลิงหยุนกลับรู้สึเจ็บปวดใจอย่างที่สุด!
หลิงหยุนไม่สนใจสายตาของเย่ซิงเฉินที่มองมาและรีบถามขึ้นทันที “เจ้าเป็นคนพาตัวนางไปที่พรรคมารงั้นรึ”
เย่ซิงเฉินตอบกลับไปอย่างภาคภูมิใจ“พรรคมารไม่ใช่ที่ที่ใครจะเข้าไปได้ง่ายๆ”
“เหตุใดเจ้าต้องพาตัวนางไปที่พรรคมารด้วย”
เย่ซิงเฉินยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า“นั่นเพราะตอนที่ข้าพบนางนั้น ร่างกายของนางช่างสมบูรณ์แบบเกินกว่าคนปกติมาก ร่างกายของเสี่ยวเม่ยเม่ยราวกับถูกยอดฝีมือที่มีกำลัภายในสูงส่งชำระล้างไขกระดูกภายในให้.. “
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับกลอกตาไปรอบๆและได้แต่คิดในใจว่า ‘ข้าต่างหากที่เป็นคนชำระล้างไขกระดูกภายในให้กับนางด้วยพลังอมตะ นางจึงได้มีร่างกายที่ล้ำเลิศเช่นนั้น แต่เจ้ากลับนำตัวนางไปฝึกวิชาที่พรรคมารนี่น่ะ!’
หลิงหยุนอดที่จะนึกถึงเฉิงเม่ยเฟิงอีกคนไม่ได้..
หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงถามคำถามที่ค่อนข้างสำคัญ“นางเรียนวิชากับอาวุโสท่านใหนรึ”
ในเมื่อเย่ซิงเฉินเอ่ยถึงพรรคมารขึ้นมาหลิงหยุนจึงต้องการที่ฉวยโอกาสนี้สอดแนมเรื่องราวภายในพรรคมาร..