จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 946 : ตั้งโต๊ะเจรจา (3)!
ดูเหมือนเย่ซิงเฉินจะอ่านใจหลิงหยุนออกนางจึงยิ้มออกมาพร้อมกับเอื้อมมือไปยกกาน้ำชาขึ้นมารินใส่ถ้วย แล้วจึงพูดขึ้นว่า
“คำถามนี้..วันข้างหน้าหากเจ้าได้พบนาง ค่อยถามนางเองไม่ดีกว่ารึ”
เย่ซิงเฉินนับว่าฉลาดล้ำลึกนักเพียงคำพูดไม่กี่คำก็สามารถหยุดคำถามของหลิงหยุนในเรื่องนี้ได้
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดในใจแต่ก็ไม่มั่นใจนัก ‘หรืออาจารย์ของเสี่ยวเม่ยเม่ยจะเป็นแม่ของข้างั้นรึ!’
หลังจากที่คิดได้เช่นนั้นหลิงหยุนก็มองเย่ซิงเฉินอย่างอารมณ์ดี และรีบถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น “แล้วเมื่อไหร่นางจะได้ออกมา”
เย่ซิงเฉินตอบโดยไม่คิดที่จะปิดบัง“วันๆ นางก็เอาแต่ฝึกวิชา ข้าว่าหากไม่มีอะไรผิดพลาด นางคงจะสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้ในเร็วๆนี้ และถึงตอนนั้นนางก็จะออกมาเอง”
หลิงหยุนแอบคิดคำนวณอยู่ในใจเงียบๆนับตั้งแต่ที่เสี่ยวเม่ยเม่ยหายตัวไป ก็น่าจะราวสามเดือนได้แล้ว ด้วยร่างกายที่ถูกชำระล้างด้วยพลังอมตะของตนเองนั้น หากนางได้ฝีกวิชาที่เหมาะสม ก็น่าจะสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้ไม่ยากนัก
แม้เรื่องที่หลิงหยุนได้รับพลังอมตะจากพู่กันจักรพรรดิจะเป็นเรื่องที่ดีมากแต่ก็ใช่ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆ
ผู้ที่ได้รับประโยชน์ในครั้งนั้นมีทั้งเฉิงเม่ยเฟิงเสี่ยวเม่ยเม่ย เกาเฉินเฉิน เสี่ยวเม่ยหนิง ถังเมิ่ง ตี้เสี่ยวอู๋ ถังเทียนห่าว แม้กระทั่งตู้กู่โม่ และหลินเมิ่งหานที่ตั้งใจมาช่วยหลิงหยุนในครั้งนั้นก็ได้รับประโยชน์ไปไม่น้อยด้วยเช่นกัน
แต่ผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดก็เห็นจะเป็นไป๋เซียนเอ๋อที่ครั้งนั้นยังไม่กลายร่างเป็นมนุษย์ ฉินจิวยื่อ แล้วก็หนิงหลิงยู่
เวลาผ่านไปเพียงแค่สองสามเดือนเสี่ยวเม่ยหนิงก็สามารถเข้าสู่ด่านกลางของขั้นโฮ่วเทียนได้แล้ว ส่วนตี้เสี่ยวอู๋นั้นเวลานี้อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-6 แล้ว และใกล้ที่เข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-7 ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายได้ตลอดเวลา..
สำหรับตู้กู่โม่นั้น..ครั้งแรกที่ได้รับพลังอมตะเข้าไป อีกทั้งยังได้ดื่มน้ำลายมังกรเข้าไปด้วย เวลานี้เขาจึงสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้แล้ว ในขณะที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นอยู่ในระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9 แล้ว
แทบไม่ต้องพูดถึงไป๋เซียนเอ๋อที่สามารถกลายร่างได้สำเร็จและความแข็งแกร่งของนางนั้นก็เป็นเรื่องที่หลิงหยุนไม่อาจคาดเดาได้ เพราะแม้แต่เขาเองก็ยังไม่สามารถมองเห็นขั้นกำลังภายในของไป๋เซียนเอ๋อ..
ฉินจิวยื่อนั้นหลังจากที่หลิงหยุนชำระล้างไขกระดูกให้แล้วก็สามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-2 ได้แล้ว และยังมีพลังอมตะอยู่ในร่างกายมากมาย ไม่เพียงเท่านั้น.. ใบหน้าของฉินจิวยื่อเวลานี้ยังอ่อนเยาว์ลงถึงสิบปี..
แต่ผู้ที่ฝึกฝนได้ก้าวหน้ารวดเร็วที่สุดนั้นคงหนีไม่พ้นหนิงหลิงยู่!
เพราะทันทีที่ได้รับพลังอมตะเข้าไปจำนวนมากร่างกายของนางก็ได้เปลี่ยนเป็นกายอัปสร การฝึกบ่มเพาะของนางจึงสามารถก้าวหน้าได้รวดเร็วจน่าอัศจรรย์ ในช่วงเวลาเพียงแค่สั้นๆ หนิงหลิงยู่ก็สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-8 ได้แล้ว!
เรียกได้ว่านับตั้งแต่ที่หลิงหยุนได้ใช้พลังอมตะชำระล้างไขกระดูกในร่างกายให้ทุกคนนั้นตราบใดที่พวกเขาเริ่มฝึก ก็จะสามารถก้าวหน้าได้รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์!
แต่เกาเฉินเฉินถังเมิ่ง และถังเทียนห่าวซึ่งยังไม่ได้ผ่านการฝึกนั้น แม้จะได้รับพลังอมตะเข้าไป พลังปราณภายในร่างกายจึงยังไม่ถูกพัฒนา
ดังนั้นหากวิชาที่เฉิงเม่ยเฟิงและเสี่ยวเม่ยเม่ยได้ฝึกฝนนั้น ไม่ใช่วิชาที่ด้อยจนเกินไป ก็จะสามารถก้าวหน้าได้รวดเร็วอย่างแน่นอน!
แต่ต่อให้วิชาที่พวกนางได้ฝึกฝนจะล้ำเลิศมากเพียงใดก็คงจะไม่มีวิชาสำหรับบ่มเพาะวิชาใหนจะดีไปกว่าวิชาบ่มเพาะของหลิงหยุนเป็นแน่!
แต่ช่างน่าเสียดายที่เวลานี้หญิงสาวทั้งคู่กลับต้องไปฝึกวรยุทธของสำนักอื่น..
‘ช่างน่าเสียดายนัก..นี่เท่ากับเป็นการเสียเวลาในชีวิตไปโดยไม่เกิดประโยชน์จริงๆ!’
หลิงหยุนได้แต่ถอนหายใจ..เพราะเขาเป็นผู้ที่ชำระล้างร่างกายให้หญิงสาวทั้งสองคน แต่กลับถูกผู้อื่นฉกฉวยไปเช่นนี้ เขาแทบอยากจะบุกทั้งสำนักจิ้งซิน และพรรคมารไปพร้อมๆกัน เพื่อไปนำตัวหญิงสาวทั้งสองคนของเขากลับมา!
เย่ซิงเฉินได้แต่หัวเราะคิกคักดูเหมือนนางจะอ่านออกว่าหลิงหยุนกำลังคิดอะไรอยู่ จึงร้องถามออกมาอย่างนึกขัน
“เจ้าไม่ควรตำหนิผู้อื่น..ใครใช้ให้เจ้าสร้างศัตรูขึ้นมามากมายเช่นนี้เล่า แล้วก็ไม่มีความสามารถที่จะปกป้องคนรอบตัวของตนเองได้!”
แม้ดูเหมือนว่าคำพูดของเย่ซิงเฉินจะเป็นการพูดลอยๆแต่ก็มีสาระสำคัญที่บ่งบอกถึงต้นเหตุของปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ครั้งนั้นนอกจากเขาแล้ว ก็มีเพียงฉินจิวยื่อคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถปกป้องคนรอบตัวเขาได้..
แต่ครั้งนั้นก่อนที่จะตัดสินใจลงไปสำรวจหลุมยักษ์หลิงหยุนเองก็ได้วางแผน และคำนวณเวลาไว้อย่างรอบคอบแล้ว แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะใช้เวลาอยู่ในก้นหลุมยักษ์นานกว่าที่คาดการไว้มาก อีกทั้งฉินจิวยื่อเองก็ต้องเดินทางไปที่สำนักกระบี่เทวะเทียนซานอย่างกะทันหัน และจนป่านนี้ก็ยังไม่กลับมา..
ทุกอย่างจึงกลับกลายเป็นอย่างที่เห็น!
หลิงหยุนดึงตัวเองออกจากภวังค์และถามพร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กน้อย “แล้วข้าในเวลานี้เล่า”
เย่ซิงเฉินเข้าใจคำถามของหลิงหยุนได้ดีว่าเขาต้องการให้นางประเมินความแข็งแกร่งของเขาในเวลานี้..
แววตาของเย่ซิงเฉินนั้นปรากฏความชื่นชมขึ้นมาเล็กน้อยนางจ้องหน้าหลิงหยุนนิ่งพร้อมกับตอบไปว่า
“เจ้าก้าวหน้ารวดเร็วเกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิดได้..”
ในเมื่อหลิงหยุนถามถึงเรื่องความแข็งแกร่งของตนเองเย่ซิงเฉินจึงแสดงความคิดเห็นเฉพาะเรื่องนี้เท่านั้น ไม่ได้พูดถึงปัจจัยอื่นๆ รอบตัว
หลิงหยุนเองก็ดูเหมือนไม่ใส่ใจที่อยากจะรู้เรื่องอื่นนักและรีบถามต่อทันที “ด้วยเหตุนี้น่ะรึ.. เจ้าจึงยอมตกลงที่จะเจรจากับข้า!”
“เจ้าผิดแล้ว!ข้าตกลงเจรจากับเจ้านั้น ไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของเจ้า แต่เป็นเพราะกระบี่โลหิตแดนใต้เล่มนั้นต่างหาก!”
คำพูดของเย่ซิงเฉินนั้นเป็นการเตือนหลิงหยุนว่ากระบี่โลหิตแดนใต้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่นางต้องการเจรจากับเขา..
และต่อให้หลิงหยุนจะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม! ในสายตาของคนในยุทธภพ.. เขาก็คือคนของพรรคมารไปแล้ว!
หลิงหยุนทำเสียงเย้ยหยัน“ก็แค่กระบี่เล่มหนึ่งเท่านั้น! สำคัญอะไรนักหนา”
ความหมายของหลิงหยุนก็คือว่า..คนที่ถือกระบี่โลหิตแดนใต้ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนของพรรคมารเสมอไป
“ไม่ใช่แค่นั้น..แต่เพราะเจ้าแซ่หลิงด้วยต่างหาก!”
ทันทีที่ประโยคนี้หลุดจากปากเย่ซิงเฉินหัวใจของนางก็เต้นแรงราวกับกลอง ไม่เคยมีครั้งใหนที่เย่ซิงเฉินรู้สึกบีบหัวใจเหมือนครั้งนี้มาก่อน แต่นางยังคงรักษาสีหน้าให้เรียบเฉย และไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา ดวงตาคู่งามของนางจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหลิงหยุน คล้ายกำลังจับสังเกตปฏิกิรยาของหลิงหยุนที่จะแสดงออกมา..
หลิงหยุนร้องถามออกมาอย่างนึกประหลาดใจ“ข้าแซ่หลิงแล้วยังไงรึ มีอะไรพิเศษ?”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นตีหน้าซื่อและร้องถามออกมาเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกตกใจที่ซ่อนอยู่ภายใน..
เรียกได้ว่า..เวลานี้ต่างฝ่ายต่างก็ปกปิดความรู้สึกภายในที่แท้จริงของตนเอง!
แต่สำหรับหลิงหยุนแล้ว..หากเขาได้เข้าวงการบันเทิง ก็คงจะต้องกลายเป็น Dram King อย่างแน่นอน เพราะสามารถแสดงสีหน้าออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ..
เย่ซิงเฉินจ้องมองหลิงหยุนอยู่นานแต่ก็ไม่พบความผิดปกติ หรือพิรุธใดๆ บนใบหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย นางจึงได้แต่แอบผิดหวัง และถอนสายตากลับมา
“ก็ไม่มีอะไรพิเศษนี่..ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเอง”
จู่ๆเย่ซิงเฉินก็หยุดพูดเรื่องนี้ และกลบเกลื่อนด้วยการยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นจิบ แต่แล้วก็ถึงกับขมวดคิ้ว และร้องอุทานออกมา
“ชาเย็นหมดแล้ว..”
ท่ามกลางป่าเขาที่มีลมพัดแรงเช่นนี้ไม่แปลกที่น้ำชาซึ่งร้อนจนเดือดจะเย็นลงอย่างรวดเร็ว!
“ไม่ยาก..”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเรียกยันต์ธาราออกมาเติมน้ำเข้าไปในกาและจัดการทำให้ร้อนแล้วรินลงไปในถ้วยชาของเย่ซิงเฉินทันที แต่ครั้งนี้หลิงหยุนไม่ได้รินน้ำลายมังกรลงไปในกาน้ำชาด้วย..
เวลานี้เย่ซิงเฉินกำลังรู้สึกผิดหวังและหลิงหยุนเองก็กำลังรู้สึกผิดหวังไม่น้อยไปกว่านาง!
คำถามเมื่อครู่ของเย่ซิงเฉินนั้นเรียกได้ว่าเป็นการเรียบเคียงถามอีกฝ่าย เพื่อที่จะหาข้อสรุปว่าอีกฝ่ายเป็นมิตร หรือว่าเป็นศัตรูของตนกันแน่น และจะนำไปสู่การตัดสินใจว่าทั้งคู่จะสามารถร่วมมือกันได้ หรือต้องกลายเป็นคู่ต่อสู้ของกันและกันต่อไป..
การที่เย่ซิงเฉินยกประเด็นเรื่องกระบี่โลหิตแดนใต้ขึ้นมาพูดนั้นเพราะเวลานี้หลิงหยุนได้ใช้กระบี่เล่มนี้สังหารชาวยุทธไปมากมาย และทั่วทั้งยุทธภพต่างก็ปฏิเสธไม่ยอมรับหลิงหยุน หากหลิงหยุนแสดงเจตจำนงออกมาอย่างชัดเจนว่าต้องการเข้าร่วมกับพรรคมาร เย่ซิงเฉินจะรู้สึกยินดีอย่างมาก..novel-lucky
แต่คำตอบของหลิงหยุนนั้นกลับแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ต้องการให้ดึงตนเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับพรรคมาร เพียงเพราะแค่เขาเป็นผู้ครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้!
คำตอบของหลิงหยุนชัดเจน..กระบี่ก็คือกระบี่ คนก็คือคน เขาแยกสองเรื่องนี้ออกจากกันอย่างชัดเจน!
ส่วนเรื่องแซ่ของหลิงหยุนนั้น..ก็นับว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนทั้งคู่!
หากเย่ซิงเฉินบอกเป้าหมายของตนเองออกไปตรงๆหรือหลิงหยุนมีความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวเย่ซิงเฉินมากกว่านี้สักหน่อย ทุกอย่างก็คงจะเป็นไปในทางที่ดีกว่านี้มาก!
แต่น่าเสียดายที่ทั้งหลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินต่างก็เป็นคนเฉลียวฉลาดด้วยกันทั้งคู่อีกทั้งยังระมัดระวังตัวไม่แพ้กัน และคำว่า ‘แซ่หลิง’ ก็มีความสำคัญกับทั้งสองคนมากเช่นกัน โอกาสดีๆ ที่หาได้ยากเช่นนี้ จึงต้องสูญไปอย่างน่าเสียดาย!
สำหรับหลิงหยุนที่เพิ่งกลับเข้าตระกูลหลิงนั้นนอกเหนือจากคนสำคัญในตระกูลหลิง และตระกูลฉินแล้ว หลิงหยุนก็มีเหตุผลที่ไม่อาจให้คนนอกล่วงรู้เรื่องนี้อย่างเด็ดขาด..
เหตุผลข้อแรกคือ..เวลานี้ตัวเขาเองยังแข็งแกร่งไม่มากพอ และศัตรูที่แข็งแกร่งจริงๆ ของเขาก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา เขาจึงไม่ต้องการดึงเอาตระกูลหลิงให้ต้องมาตกอยู่ในอันตรายด้วย..
เหตุผลข้อที่สอง..หลิงหยุนเป็นลูกแท้ๆ ของหลิงเสี่ยวซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ใดกันแน่ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าตกอยู่ในกำมือของฝ่ายใด? หลิงหยุนไม่ต้องการให้เรื่องของตนเองต้องเป็นสาเหตุให้พ่อผู้ให้กำเนิดต้องตกอยู่ในอันตราย
แม้ว่าหลิงเสี่ยวจะไม่เคยเลี้ยงดูเขามาอีกทั้งยังไม่เคยแม้แต่จะได้เจอพบหน้ากัน แต่เลือดในกายของหลิงหยุนดูเหมือนจะร้องบอกอยู่ตลอดเวลาว่า ชายผู้นั้นคือพ่อของเขา และเขาก็คือสายเลือดของชายผู้นั้น!
และครั้งหนึ่ง..คนทั้งตระกูลหลิงก็เคยพลีชีพของตนเองปกป้องเด็กน้อยที่ยังไม่ลืมตามาดูโลก หลิงหยุนจึงต้องการที่จะปกป้องพวกเขาเช่นกัน!
แม้หลิงหยุนจะรู้สึกว่า..เย่ซิงเฉินอาจจะเป็นศิษย์ของแม่ผู้ให้กำเนิดเขา แต่ในเมื่อเย่ซิงเฉินไม่พูดอะไรออกมา เขาเองก็ไม่กล้าเสี่ยง..
แต่ต่อให้นางบอกอะไรออกมา..เขาก็คงไม่กล้าเสี่ยงอีกเช่นกัน..
ตราบใดที่ยังไม่ได้พบหน้าแม่แท้ๆของตนเองหรือว่ายังไม่ได้ช่วยหลิงเสี่ยวให้ปลอดภัยก่อน หลิงหยุนก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยง..
เขาไม่กล้าใช้เรื่องนี้เพื่อเดิมพันว่าเย่ซิงเฉินจะเป็นมิตร หรือว่าศัตรูของเขากันแน่!
เพราะหลิงหยุนเองก็รู้มาว่าเมื่อสิบแปดปีก่อนนั้น พรรคมารเองก็ได้แบ่งออกเป็นสองฝักสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือแม่ผู้ให้กำเนิดเขา และอีกฝ่ายก็คือซือกงถูซึ่งเป็นผู้ที่ไล่ล่าเขา และเป็นผู้ที่ทำลายเส้นลมปราณของเขาตั้งแต่เล็ก..
ทั้งสองฝ่ายนั้นต่างก็เป็นศัตรูกัน..หลิงหยุนจึงไม่รู้ว่าเย่ซิงเฉินนั้นอยู่ฝ่ายใดกันแน่
และหากหลิงหยุนเดิมพันผิดก็คงต้องเกิดการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง.. เขาจึงไม่กล้าที่จะเสี่ยง!