ทุกคนจดจ่อกับสถานการณ์ตรงหน้าเกินกว่าจะตระหนักได้ว่าฉินเหว่ยกำลังแอบมุ่งหน้าเข้าหาฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ
“ไปลงนรกเสีย !”
กระบี่เล่มยาวปรากฏในมือของฉินเหว่ยและแทงตรงไปหมายจะเอาชีวิตของฉินอวี้โม่ให้ได้
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเหว่ย ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็เรียกสติกลับคืนมาทันที อย่างไรก็ตาม กระบี่ของฉินเหว่ยเข้าใกล้ฉินอวี้โม่จนแทบจะจ่อหัวใจนางแล้ว
“รนหาที่ตายเสียแล้ว !”
ซิวซึ่งอยู่ด้านข้างแค่นเสียงเย็นชา ร่างของมันพุ่งตรงไปและสองนิ้วของมันรับกระบี่ของฉินเหว่ยไว้ได้อย่างง่ายดาย
ในขณะเดียวกัน เพลิงร้อนแรงปรากฏในมือของมันก่อนปล่อยตรงไปที่ฉินเหว่ย
“อ๊ากกก !”
เพลิงของซิวพุ่งตรงไปที่แขนข้างขวาของฉินเหว่ยและความร้อนแผดเผาผิวบริเวณนั้นในทันที
ฉินเหว่ยส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและกระบี่ในมือของเขาก็แหลกสลายกลายเป็นเถ้าปลิวว่อน
“อ๊ากกก!”
พร้อมด้วยเสียงร้องดังสนั่นอีกครา แขนที่ถูกเปลวไฟเผาไหม้ของฉินเหว่ยก็ถูกตัดขาดโดยฝีมือของฉินมู่ยวี่ซึ่งอยู่กลางอากาศ
การสูญเสียแขนข้างหนึ่งทำให้ฉินเหว่ยหมดสติจากความเจ็บปวดทันที
ฉินเหยียนและคนอื่น ๆ ก็ตกตะลึงอย่างที่สุดและมองฉินมู่ยวี่ด้วยสีหน้าที่งุนงง
“เหอะ เพลิงของเจ้ายังอันตรายไม่เปลี่ยน หากข้าไม่ตัดแขนของเขาทิ้ง เกรงว่าทั่วทั้งร่างของเขาคงจะถูกแผดเผาจนสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน !”
ฉินมู่ยวี่แค่นเสียงในลำคอขณะมองแขนข้างที่ถูกตัดขาดของฉินเหว่ยซึ่งกลายเป็นเถ้าปลิวว่อนลงพื้นแล้ว สีหน้าของนางบิดเบี้ยวอย่างยิ่ง
“ถึงอย่างไรข้าก็สู้ความโหดเหี้ยมของเจ้าไม่ได้”
ซิวกล่าวขึ้นเบา ๆ และโล่งใจเมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ปลอดภัยดี
“เหยียนเอ๋อร์ พาฉินเหว่ยและคนของเจ้าตามข้ามา”
ฉินมู่ยวี่เพียงชำเลืองมองฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ด้วยหางตา นางทราบดีว่าไม่มีโอกาสคว้าชัยในวันนี้ได้และวางแผนที่จะถอนกำลังออกไปก่อน
“ฉินอวี้โม่ เมื่อใดที่เจ้าเหยียบเข้ามาที่ดินแดนเทพมายา เมื่อนั้นจะเป็นเวลาตายของเจ้า !”
หลังจากกล่าวทิ้งท้าย ฉินมู่ยวี่ก็โบกมือเบา ๆ ก่อนที่ฉินเหยียนและพวกจะอันตรธานหายไปต่อหน้าทุกคน
“เราควรกลับไปหารือกันก่อนว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
หลังจากยืนยันได้ว่าฉินมู่ยวี่และพวกจากไปแล้ว ซูวั่งชวนและคนอื่น ๆ ต่างก็โล่งใจ ฉินอวี้โม่เองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกันและไม่กังวลอีกต่อไป นับเป็นเรื่องดีที่นางจะได้พักจากความวุ่นวายสักระยะหนึ่งและไม่ต้องประมือกับฉินมู่ยวี่ผู้นั้น
พรวดดด !
จู่ ๆ ซิวก็กระอักเลือดคำโตออกมาและมีใบหน้าที่ซีดเผือด
“ซิว เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ !?”
ฉินอวี้โม่เอื้อมมือออกไปช่วยพยุงร่างอสูรมายาของตนทันที สีหน้าของนางในตอนนี้เต็มไปด้วยความกังวล
“ข้าไม่เป็นไร”
ซิวส่ายหน้าเบา ๆ และกล่าว “นายหญิง การวิวัฒนาการของข้ายังไม่เสร็จสมบูรณ์ ทว่าข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของฉินมู่ยวี่จึงได้ฝ่าทะลวงออกมาในระหว่างกระบวนการ เมื่อครู่นี้ข้าต่อสู้กับนางและใช้พลังไปมาก โชคดีที่ก่อนหน้านี้ท่านปลดผนึกที่สองของกายเทพมายาได้ ข้าจึงได้รับผลประโยชน์มามากมาย มิฉะนั้นข้าก็คงจะไม่ใช่คู่มือของฉินมู่ยวี่แม้แต่น้อย”
การวิวัฒนาการอันยาวนานของซิวยังไม่เสร็จสมบูรณ์ มันเพียงเก็บตัวมานานและเข้าใกล้จุดนั้น เมื่อครู่มันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของฉินมู่ยวี่และมันจึงโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง อีกทั้งมันกังวลว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะต่อกรกับอีกฝ่ายไม่ได้ มันจึงฝ่าผ่านกระบวนการวิวัฒนาการออกมาเพื่อพยายามข่มขวัญให้ฉินมู่ยวี่กลัว
และเป็นจริงดังที่คิดไว้ การปรากฏตัวของมันทำให้ฉินมู่ยวี่รู้สึกกดดันขึ้นมาได้จริง ๆ อีกทั้งด้วยวิธีการรับมือที่ถูกต้อง พวกนางจึงยอมถอยกลับไปแต่โดยดี อย่างไรก็ตาม ซิวได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะการกระทำนั้น
ฉินอวี้โม่ทั้งจนปัญญาและซาบซึ้งใจเมื่อได้ยินวาจาของซิว อสูรมายาแห่งโชคชะตาของนางมักจะโง่เขลาจนยอมปกป้องนางโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองเมื่อทราบว่านางตกอยู่ในอันตราย
“หึ ที่แท้เจ้าก็วางมาดเสแสร้ง”
ฉินอวี้โม่กำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างออกไปเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นในหู
เมื่อหันกลับไป นางก็พบว่าฉินเหยียนผู้ซึ่งจากไปพร้อมฉินมู่ยวี่ก่อนหน้านี้กลับปรากฏตัวขึ้นมาอีกครา
“ฉินเหยียน เจ้ากลับมาหาที่ตายรึไง !?”
เมื่อเห็นฉินเหยียนปรากฏตัว สีหน้าของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ซูน่าเป็นคนแรกที่กล่าวออกไปขณะที่ทุกคนเข้ามาใกล้เพื่อปกป้องฉินอวี้โม่ด้วยกัน
“ฉินเฟิง ข้ามีบางอย่างต้องบอกท่าน”
ฉินเหยียนเมินเฉยต่อสายตาของทุกคนและกล่าวกับฉินเฟิงด้วยน้ำเสียงเย็นชาเพื่อบอกว่ามีบางอย่างที่ต้องการบอกเขา
“พูดมาเถอะ”
ฉินเฟิงสบตานางทว่าไม่สังเกตเห็นสีหน้าแสดงถึงความรู้สึกใด ๆ เพียงนึกถึงเรื่องที่บิดาบุญธรรมของตนตกอยู่ในเงื้อมมือของฉินมู่ยวี่ เขาก็ไม่สบอารมณ์นัก แม้ทราบว่าเรื่องนั้นไม่เกี่ยวข้องกับฉินเหยียน เขาก็ยังไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องที่คิดจะหนีไปพร้อมกับฉินเหยียนก่อนหน้านี้
หากเขาไม่สามารถช่วยบิดาบุญธรรมของตนเองได้ การต่อสู้ของเขาก็คงไม่มีวันสิ้นสุดลง
“มาตรงนี้ก่อนเถอะ เรื่องนี้ไม่สามารถให้คนอื่นได้ยินได้”
ฉินเหยียนกวักมือเรียกฉินเฟิงเข้าไปใกล้
แน่นอนว่าฉินเฟิงไม่ลังเลและก้าวเดินเข้าไปหานาง
“ฉินเฟิง…”
ฉินหวยและคนอื่น ๆ กล่าวเรียกอย่างเป็นกังวลและพยายามหยุดยั้งเขาไว้
“ปล่อยเขาไปเถอะ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นแทรกฉินหวยและทุกคน
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ฉินเหยียน ฉินเฟิงก็มองแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากมายผสมปนเปกัน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับนางด้วยความรู้สึกใด
“พี่เฟิง ข้าจะช่วยดูแลท่านลุงฝูหยาจือ ก่อนที่ท่านจะมาช่วยเขา ข้าจะช่วยดูมิให้เขาตกอยู่ในอันตราย และข้าจะอยู่ที่ชนเผ่ามายาเพื่อรอการมาถึงของท่าน”
หลังจากกล่าวจบ ฉินเหยียนก็หันหลังกลับไปและหายตัวไปต่อหน้าทุกคน
ฉินเฟิงชะงักค้างไปชั่วขณะ เขาไม่คิดเลยว่าฉินเหยียนจะกล่าววาจาเช่นนั้น ทว่าเขาเชื่อมั่นในวาจาของฉินเหยียนและเชื่อว่าในเมื่อนางกล่าวออกมาแล้ว นางก็จะทำตามวาจาที่ให้ไว้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงความยากลำบากที่นางอาจต้องเผชิญ เขาก็รู้สึกไม่ดีนัก
“ศิษย์พี่ เรากลับกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่มองเห็นท่าทีของฉินเฟิงและอดกล่าวบางอย่างไม่ได้
วาจาของฉินเหยียนเมื่อครู่ ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ยิน เพียงดูจากสีหน้าของฉินเฟิงในตอนนี้ นางก็พอจะคาดเดาได้บางอย่าง สตรีผู้นั้นมีความรักแท้จริงให้ฉินเฟิงอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
“ฉินเหยียนจะบอกฉินมู่ยวี่เรื่องอาการของท่านซิวรึไม่ ? พวกนั้นจะกลับมาจู่โจมโดยที่เราไม่ทันตั้งตัวรึไม่ ?”
ซูน่ากล่าวด้วยความกังวล นางไม่คิดเลยว่าฉินเฟิงและทุกคนจะปล่อยให้อีกฝ่ายจากไปง่าย ๆ เช่นนี้
“ไม่ต้องห่วง นางไม่ทำเช่นนั้นหรอก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวด้วยความมั่นใจว่าฉินเหยียนจะไม่นำเรื่องนั้นไปบอกอาจารย์ของนางอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นแววตามั่นใจของฉินอวี้โม่ ซูน่าก็เพียงย่นปากเล็กน้อยและไม่กล่าวสิ่งใดต่อ ในเมื่อฉินอวี้โม่มั่นใจเช่นนั้น นางก็เลือกที่จะเชื่อตามนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟิงก็มิได้กล่าวสิ่งใดและฉินเหยียนก็คงจะไม่กลับมาอีก
“ซิว เจ้าอยากกลับไปจำศีลต่อรึไม่ ?”
เมื่อมองไปที่ซิวที่หน้ายังซีดเผือดอย่างชัดเจน ฉินอวี้โม่ก็กล่าวอย่างเป็นกังวล
“ไม่ ต่อให้ข้ากลับไปเก็บตัว มันก็ไม่มีทางวิวัฒนาการได้ต่อ ข้าจะพักผ่อนและปรับสภาวะร่างกายของตัวเองในภายหลัง หลังจากนี้เมื่อเราไปที่ดินแดนเทพมายา ข้าจะข้ามผ่านการลงทัณฑ์สายฟ้าและวิวัฒนาการได้อย่างแน่นอน”
ซิวส่ายหน้าปฏิเสธอย่างช้า ๆ ก่อนหน้านี้มันฝ่าออกมาจากช่วงการเก็บตัวกลางคัน ต่อให้มันกลับไปในตอนนี้ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ใด ๆ เพราะเหตุนั้นมันจึงเลือกที่จะไม่กลับไปเก็บตัวต่อ ถึงอย่างไรมันก็ไม่ได้พูดคุยกับฉินอวี้โม่อย่างจริงจังมานานแล้ว มันจึงเลือกใช้โอกาสนี้อย่างสบาย ๆ และใช้เวลาไปกับพวกนาง
“ข้าจะเข้าไปในคฤหาสน์เพื่อเล่นกับเจ้าตัวน้อยทั้งสองก่อน หลังจากท่านจัดการสิ่งต่าง ๆเสร็จสิ้นก็ค่อยมาพบข้าในคฤหาสน์ ข้าคิดว่าข้าควรบอกเรื่องบางอย่างกับท่าน”
หลังจากกล่าวกับผู้เป็นนาย ซิวก็มุ่งหน้าเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวทันที
มารยาและหานอวี้เองก็เอ่ยบอกฉินอวี้โม่ก่อนกลับเข้าไปในคฤหาสน์หลังน้อยเช่นกัน
จากนั้นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองเพลิงมายาก่อนหาพื้นที่กว้างและนั่งลงด้วยกัน
ฉินอวี้โม่นั่งในตำแหน่งหลักและคนอื่น ๆ ก็นั่งเรียงรายกัน สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่นางเป็นตาเดียวเพื่อรอให้นางกล่าวอะไรออกมา
“ทุก ๆ คน ในที่สุดฉินมู่ยวี่ก็ไปจากโลกมายาพร้อมฉินเหยียนและพวกของนางแล้ว ต่อไปโลกมายาของเราก็จะกลับคืนสู่สภาวะเดิมของมัน”
ฉินอวี้โม่กล่าวความคิดของตนเองออกไปพร้อมรอยยิ้มทันที
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ยิ้มอย่างพึงพอใจเช่นกันก่อนที่พวกเขาจะคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง “ขอแสดงความยินดีกับท่านเทพมายาที่สามารถกอบกู้โลกมายากลับคืนมาได้”
“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ อย่ามีพิธีรีตองอะไรเลย”
เมื่อเห็นการกระทำของทุกคน ฉินอวี้โม่ก็ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาและบอกให้พวกเขาลุกขึ้นตามเดิม
“ฮ่า ๆ ๆ อวี้โม่ อย่าส่ายหน้าไปเลย พวกเราก็แค่มีความสุขมาก”
ซูน่าสังเกตเห็นความจนปัญญาของฉินอวี้โม่ นางทราบดีว่าฉินอวี้โม่ไม่สนใจการแสดงความเคารพเช่นนี้ นางจึงยิ้มและกล่าวออกไป
“ใช่แล้ว พวกเรามีความสุขยิ่งนักเมื่อคิดว่าโลกมายาจะได้ฟื้นฟูกลับคืนอย่างที่เคยเป็นในอดีต และเราก็ไม่ต้องต่อสู้ขัดแย้งกันอีกต่อไป”
ฉินขุยและฉินจินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม โลกมายาจะได้พัฒนากลับคืนสู่ความรุ่งเรืองดังก่อนหน้านี้และพวกเขาไม่ต้องต่อสู้กันอีกต่อไป พวกเขาจะได้ฝึกยุทธ์ด้วยจิตใจที่สงบซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาพึงพอใจเป็นที่สุด
ฉินอวี้โม่มองทุกคนด้วยแววตาผ่อนคลายและยิ้มบาง ๆ
นางมีความสุขยิ่งนักเมื่อได้เห็นโลกมายารวมกันเป็นปึกแผ่นเดียวกัน ไม่ว่าอย่างไร ที่นี่ก็เป็นดินแดนของบรรพชนเทพมายา ในฐานะเทพมายาคนใหม่ นางย่อมมีความสุขกับการที่ได้กอบกู้ดินแดนแห่งนี้กลับคืนมา อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องได้รับการจัดการ
“พวกท่าน ข้าคิดว่าทุกคนคงได้เห็นทัศนคติของฉินมู่ยวี่แล้วและทราบดีว่าเราจะต้องเผชิญกับอะไรในอนาคต ทว่าตอนนี้หอคอยต้องห้ามถูกทำลายไปแล้ว ต่อให้ฉินมู่ยวี่และพวกจะต้องการเข้ามาที่โลกมายาอีก มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก… เพราะฉะนั้นหลังจากนี้ทุกคนจะได้คลายกังวลและไม่ต้องห่วงว่าพวกนั้นจะกลับมาในเวลาอันใกล้นี้”
หลังจากกล่าวกับทุกคนเกี่ยวกับการทำลายหอคอยต้องห้าม ฉินอวี้โม่ก็กล่าวต่อ “ทุกคนก็คงทราบดีแล้วว่าข้าจะไปที่ดินแดนเทพมายาในอีกไม่นาน ปัญหากับฉินมู่ยวี่จะต้องได้รับการสะสางเพื่อที่เราจะได้วางใจอย่างเต็มร้อย เพราะเหตุนั้นก่อนที่ข้าจะไปที่นั่น ข้าอยากจะจัดการเรื่องโลกมายาให้เรียบร้อยเสียก่อน”
เมื่อทุกคนได้ยินวาจาของนาง พวกเขามิได้ขัดจังหวะและนิ่งเงียบเพื่อรอนางพูดต่อ
“สำหรับผู้คนในโลกมายา ข้าไม่คิดที่จะพาไปดินแดนเทพมายาด้วยกันกับข้า ดินแดนเทพมายาเต็มไปด้วยอันตราย ข้าไม่อยากให้พวกท่านต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่มิอาจคาดเดาได้”
ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าและกล่าวการตัดสินใจแรกของตนเองออกไปซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เกิดขึ้นหลังจากการไตร่ตรองเป็นเวลานาน
“ท่านเทพมายา พวกเรายินดีไปที่ดินแดนเทพมายาและฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามไปกับท่าน หากท่านไม่ยอมให้พวกเราไปด้วยและเผชิญสิ่งเหล่านั้นเพียงลำพัง หากท่านเป็นอะไรขึ้นมา พวกเราจะทำอย่างไร ?!”
เลี่ยหยางเป็นคนแรกที่กล่าวค้านการตัดสินใจดังกล่าว ครานี้เขาละทิ้งคำพูดแบบสบาย ๆ ทั้งหมดและกล่าวเรียกฉินอวี้โม่ว่าเทพมายาโดยตรง หลังจากเรื่องราวมากมายที่ผ่านมา เขายอมจำนนต่อฉินอวี้โม่อย่างสุดหัวใจแล้ว และในเมื่อกล่าวสัตย์ปฏิญาณความจงรักภักดีต่อนางแล้ว เขาก็ไม่เกรงกลัวอันตรายใดที่รออยู่เบื้องหน้า
“ใช่ ถูกต้อง พวกเรายินดีบุกน้ำลุยไฟฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างไปกับท่านเทพมายา ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม !”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเลี่ยหยาง หลายคนก็กล่าวเสริมอย่างเห็นด้วย หลังจากสถานการณ์ที่ผ่านมา ทัศนคติของพวกเขาก็แตกต่างไปจากเดิมมาก ลูกผู้ชายย่อมคู่กับความทะเยอทะยานและพวกเขาเต็มใจติดตามฉินอวี้โม่เพื่อมุ่งหน้าไปที่ดินแดนเทพมายา
เมื่อได้ยินคำพูดของทุกคน ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากด้วยความซาบซึ้งใจ นางโล่งใจเป็นอย่างยิ่งที่ทุกคนคิดเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม นางก็มีเหตุผลของนางที่ไม่ยอมให้พวกเขาติดตามไป
.